“หนังเชิงพาณิชย์”
“แนวซูเปอร์ฮีโร?”
“เซี่ยนอวี๋ชอบสร้างหนังหลากหลายแนวจริงๆ ฉันคิดว่าเขาจะสร้างหนังตลกต่อซะอีก ไม่ทันขาดคำก็หันไปทำหนังสืบสวนระทึกขวัญ พอคิดว่าเขาจะเล่นจุดหักมุมให้เต็มที่ เขาก็ดันทำหนังดรามาอีก…”
“คงชอบท้าทายตัวเอง”
“ผมเองก็นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้เซี่ยนอวี๋จะทำหนังเชิงพาณิชย์ คงชอบทำสถิติยอดบ็อกซ์ออฟฟิศที่สูงขึ้นล่ะมั้ง ถึงแนวที่เขาทำก่อนหน้านี้จะทำรายได้ไม่เลว แต่เขาอยากทำเรื่องที่ยากกว่าเดิม”
“…”
เหล่าโจวนำบทภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมนไปยังแผนกภาพยนตร์ หลังจากทุกคนได้อ่านบทภาพยนตร์ในรูปแบบของการประชุมแล้ว ก็พูดคุยกันในทันที บรรยากาศของการประชุมโดยภาพรวมไม่เลว เนื่องจากเซี่ยนอวี๋ประสบความสำเร็จติดต่อกันหลายครั้ง แผนกภาพยนตร์จึงเชื่อมั่นในตัวเซี่ยนอวี๋
“จะว่าไป”
เจ้าหน้าที่ระดับสูงซึ่งอยู่ด้านขวามือของเหล่าโจวกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ที่จริงแล้วหนังของเซี่ยนอวี๋ก็มีความเป็นเชิงพาณิชย์อยู่ในระดับหนึ่งนะ ถึงแม้เรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูจะไม่ใช่หนังวรรณกรรมตามขนบอะไร แต่ครั้งนี้เขาเดินแนวทางหนังเชิงพาณิชย์บริสุทธิ์ ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจอยู่บ้างก็เท่านั้นเอง”
“กลับมาที่ตัวหนังกันบ้าง”
เหล่าโจวเคาะโต๊ะ “ผมรู้สึกว่ามีแววอยู่นะ จังหวะของหนังเรื่องนี้ยอดเยี่ยมมาก ฉากช่วยชีวิตและยืนหยัดของคนธรรมดาตอนท้ายเรื่องน่าประทับใจมาก นอกจากนั้นตัวละครยังมีเส้นทางการเติบโตที่เป็นออริจินัล นี่คือจุดที่หนังซูเปอร์ฮีโรหลายเรื่องมองข้ามไป”
“ถึงยังไงก็เป็นเซี่ยนอวี๋”
หัวหน้าซึ่งนั่งอยู่แถวหลังหัวเราะ “อันที่จริงผมไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่าสไปเดอร์แมนเป็นหนังเชิงพาณิชย์บริสุทธิ์ ต่อให้เซี่ยนอวี๋จะสร้างภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ก็ยังไม่ละทิ้งความลึกซึ้งไปอย่างสิ้นเชิง ประโยคนี้ในหนังโดนใจผมมาก ‘พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง’ ที่จริงที่เป็นสิ่งที่หนังแนวซูเปอร์ฮีโรเรื่องอื่นไม่เคยเอ่ยถึง”
“เหลือก็แค่เงินทุน…”
“น่ากลัวว่าจะเกินร้อยล้าน…”
“หนังซูเปอร์ฮีโรบางเรื่องใช้เงินทุนไม่ถึงร้อยล้าน ถ้าอยากได้สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ดีๆ ก็ต้องทุ่มเงินสักหน่อยไหม ฉันว่าเงินทุนเกินร้อยล้านเป็นพื้นฐานในความสำเร็จของภาพยนตร์ ถ้าฉากของหนังซูเปอร์ฮีโรไม่ตื่นเต้น บทจะดีแค่ไหนก็สู้ไม่ไหวหรอก”
“…”
เงินทุนทะลุหนึ่งร้อยล้านหยวนเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในตลาดภาพยนตร์บลูสตาร์ นี่คือเหตุผลที่ทำไมทุกคนถึงตกตะลึงกับความสำเร็จของภาพยนตร์ของเซี่ยนอวี๋ เหตุใดคนคนนี้ถึงใช้เงินทุนเพียงไม่กี่สิบล้าน ก็ทำรายได้ถึงพันสองพันล้านหยวนในตลาดบ็อกซ์ออฟฟิศได้ทุกครั้ง
การลงทุนน้อยแต่ได้ผลตอบแทนมากมันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ?
และครั้งนี้ ในที่สุดเซี่ยนอวี๋ก็เลิกเกมง่ายอย่างการลงทุนน้อยได้ผลตอบแทนมากอีกต่อไป นี่สิถึงจะเป็นวิธีการปกติในการผลิตภาพยนตร์ ถ้าแม้แต่ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรยังใช้ลูกเล่นเงินลงทุนไม่กี่สิบล้านหยวนอีก ทุกคนคงไม่วายคลางแคลงใจกันต่อไป ต่อให้เซี่ยนอวี๋จะประสบความสำเร็จมาหลายครั้งแล้วก็ตาม
“แต่ต้องมั่นใจว่าจะทำออกมาได้ดี”
มีคนเอ่ยขึ้น “ตีไว้ว่าต้นทุนสร้างอยู่ที่ร้อยล้านหยวน ถ้ามากกว่านี้จะมีความเสี่ยง เอกลักษณ์ของหนังซูเปอร์ฮีโรแตกต่างกับหนังแนวอื่นมาก ถ้าดังจะทำรายได้หลายพันล้าน แต่ถ้าพังขึ้นมาอย่าคิดว่าจะได้ถอนทุนคืน”
ทุกคนพยักหน้า
หลังจากการประชุมในครั้งนี้ หลายเรื่องบรรลุฉันทามติ ในไม่ช้าเรื่องสไปเดอร์แมนก็จะเข้าสู่ขั้นตอนอนุมัติโครงการ ส่วนเหล่าโจวไปหาหลินเยวียนเพื่อแจ้งผลการประชุมและอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ
……
ตอนนี้หลินเยวียนมีความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับภาพยนตร์ เมื่อรู้ว่าเงินทุนของเรื่องสไปเดอร์แมนอยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยล้านหยวน เขาก็รู้สึกว่าเหมาะสมทีเดียว ถึงแม้เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรด้วยกันเองแล้ว เรื่องนี้จะจัดอยู่ในกลุ่มที่เงินทุนค่อนข้างต่ำก็ตาม
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เกิดความขัดแย้ง
เมื่อเหล่าโจวรู้ว่าหลินเยวียนเตรียมจะใช้นักแสดงหน้าใหม่มาแสดงเป็นสไปเดอร์แมน ก็กล่าวอย่างหนักใจอย่างอดไม่ได้ “บริษัทมีนักแสดงอายุน้อยแถมมีชื่อเสียงอยู่แล้ว ทำไมนายต้องใช้นักศึกษาที่กำลังจะจบจากสาขาการแสดงด้วยล่ะ”
“เจี่ยนอี้เป็นเพื่อนรักของผม”
หลินเยวียนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เหล่าโจวได้ยินเช่นนั้นก็พลันชะงักไป ก่อนจะผุดยิ้มขมขื่น คำตอบแบบนี้สมแล้วที่เป็นหลินเยวียน แต่เขากลับทำได้เพียงเอ่ยพลางทอดถอนใจ “ถ้าอย่างนั้นจะต้องลงเวลาลงแรงกับนักแสดงสมทบมากขึ้น อีกอย่างเพื่อนนายต้องเซ็นสัญญากับสตาร์ไลท์”
“ครับ”
หลินเยวียนไม่ได้คัดค้าน
สตาร์ไลท์ไม่มีทางช่วยปั้นศิลปินดาราจากบริษัทอื่นโดยปราศจากผลตอบแทน ภาพยนตร์ซึ่งใช้เงินลงทุนถึงหนึ่งร้อยล้านหยวน หากไม่ใช้นักแสดงนำจากบริษัทตนก็คงจะไม่สมเหตุสมผล ยิ่งไปกว่านั้นเจี่ยนอี้ไม่มีทางปฏิเสธการเข้าสังกัดกับสตาร์ไลท์
“ขอเป็นสัญญาที่ดีหน่อยนะครับ”
หลินเยวียนช่วยเพื่อนเรียกร้องผลประโยชน์
เหล่าโจวพยักหน้า “เรื่องนี้ฉันจะพิจารณาตามความเหมาะสม ในเมื่อนายบอกว่าเป็นเพื่อนรักของนาย ทางแผนกศิลปินคงต้องโอนอ่อนผ่อนตามบ้าง ส่วนเรื่องผู้กำกับกับโปรดิวเซอร์ จะใช้ทีมเดิมของนายก่อนหน้านี้ไหม?”
“ครับ”
กองถ่ายซึ่งมีผู้เขียนบทเป็นแกนหลัก หลินเยวียนคือจิตวิญญาณของภาพยนตร์ หลินเยวียนมีความสุดโต่งกว่าผู้เขียนบทในกองถ่ายรูปแบบนี้คนอื่นๆ เขาออกแบบฉากไว้ล่วงหน้าด้วยซ้ำไป ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ระบบแนบมาพร้อมกับบทภาพยนตร์ กอปรกับฝีมือการวาดภาพอันวิจิตรงดงามของหลินเยวียน เขาสามารถถ่ายทอดฉากต้นฉบับออกมาได้ตามใจ โดยที่ไม่ต้องใช้การอธิบายเป็นคำพูด ผู้กำกับอย่างอี้เฉิงกงอาจไม่ได้มีความคิดที่แปลกใหม่อะไร ไม่สามารถช่วยหลินเยวียนสร้างสรรค์ฉากได้ แต่ฝีมือในการผลิตผลงานตามแบบนั้นนับว่าดีมากทีเดียว
ในแง่หนึ่ง
หลินเยวียนเป็นทั้งผู้กำกับและผู้เขียนบท
อี้เฉิงกงร่วมงานกับหลินเยวียนมาหลายต่อหลายครั้ง เขาเข้าใจวิธีของหลินเยวียน เขาเพียงแค่ดำเนินการไปตามที่หลินเยวียนต้องการ เขาไม่เคยขัดแย้งกับหลินเยวียนในการสร้างสรรค์ผลงาน นอกเสียจากว่าสมองของเขาเกิดความคิดที่น่าสนใจขึ้นมา
หลังจากส่งเหล่าโจวกลับไป
หลินเยวียนโทรศัพท์หาเจี่ยนอี้ “หนังเรื่องใหม่ได้รับการยืนยันแล้ว นายเป็นพระเอก เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร ฉันจะส่งบทไปให้นายเดี๋ยวนี้แหละ นายเองก็ไปศึกษาดู อีกเรื่องคือนายต้องมาหาฉัน จะได้ไปเซ็นสัญญาศิลปินกับสตาร์ไลท์”
“ฮะ?”
เจี่ยนอี้ซึ่งอยู่ปลายสายชะงักไป “เรื่องเข้าสตาร์ไลท์ฉันไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว แต่เมื่อเย็นวานนายบอกเองไม่ใช่เหรอว่ายังไม่ได้คิดเกี่ยวกับหนังเรื่องใหม่ ทำไมวันนี้มีบทแล้วล่ะ”
“มีแรงบันดาลใจแล้วไง”
“นายนี่มันกวนประสาทจริงๆ”
เจี่ยนอี้ไม่ได้เอ่ยขอบอกขอบใจหลินเยวียน
มิตรภาพระหว่างเขา หลินเยวียน และซย่าฝานนั้นแน่นแฟ้นมาตั้งแต่เด็ก ในเวลาเช่นนี้ถ้าหากพูดมากเกินไปจะแลดูเสแสร้ง เขาเองก็อยากเป็นพระเอกใช่ไหมล่ะ
ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ!
เพียงแต่เขาไม่มีทางใช้มิตรภาพนี้บีบบังคับให้หลินเยวียนตัดสินใจ และในตอนนี้หลินเยวียนตักอาหารป้อนเข้าปากแล้ว ถ้าเขาพูดให้มากความก็รังแต่จะทำให้หลินเยวียนผิดหวัง วิธีตอบแทนหลินเยวียนที่ดีที่สุดคือพยายามแสดงภาพยนตร์ให้ดี รักษาโอกาสที่หลินเยวียนมอบให้
“ตามนี้ก่อน”
หลินเยวียนวางสาย
เขาเปิดคอมพิวเตอร์ เข้าอินเทอร์เน็ตเริ่มต้นค้นหาภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร นี่เป็นการบ้านที่เขาจำเป็นต้องทำ ต้องดูว่าคนอื่นถ่ายทำอย่างไร จึงจะได้ข้อสรุปที่ดีที่สุด
…………………………………………………