“หากเป็นเช่นนั้น คราวหลังพวกเราควรระวังคำพูดเอาไว้ตอนที่สนทนากันในตำหนักเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นสืบข้อมูลอันใดไปจากเราได้” เงาทมิฬขมวดคิ้ว สถานการณ์ในตำหนักของพวกเขานั้นยากลำบากกว่าที่ตำหนักอื่น หากพวกเขาพูดอะไรผิดไปแม้แต่คำเดียว แทนที่จะถูกลงโทษ พวกเขาอาจทำให้ฝ่าบาทเดือดร้อนได้ สิ่งสุดท้ายที่ฮองเฮาต้องการเห็นก็คือความผิดพลาดของฝ่าบาท ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เห็นได้ชัดว่าข้ารับใช้ขององค์ชายใหญ่คงกลั่นแกล้งฝ่าบาทแรงจนเกินไป จึงทำให้ฝ่าบาทหาทางตอบโต้ ใครเล่าจะรู้ว่าองค์ชายใหญ่จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ทันทีที่ฮ่องเต้ได้ยินเรื่องนั้น เขาจึงสั่งลงโทษฮองเฮาทันที และเป็นผลให้นางรู้สึกไม่พอใจ และสุดท้ายคนที่ต้องทนทุกข์กับผลที่ตามมาก็คือตัวฝ่าบาทเอง…
อวิ๋นปี้ลั่วพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย “ที่สำคัญอย่าให้นางรู้ว่าฝ่าบาทออกมาตอนกลางคืน ข้ากลัวว่านางจะสะกดรอยตามฝ่าบาท แล้วสุดท้ายเรื่องนี้จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ มือที่ถือเสื้อคลุมของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ชะงักไป จากนั้นเขาจึงยกมือขึ้น แล้วหยิบเสื้อคลุมมาสวมอีกครั้ง น้ำเสียงของเขานั้นเยือกเย็น “ข้าจะหาทางรับมือกับนางเอง พวกเจ้าสองคนไปได้แล้ว”
“เพคะ” อวิ๋นปี้ลั่วเอ่ยอย่างไม่เต็มใจนัก พวกเขาเคยพึ่งพากันและกันในยามที่พบเจอกับเรื่องลำบาก ดังนั้นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของผู้หญิงคนนั้นจึงทำให้สถานการณ์ค่อนข้างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ยิ่งกว่านั้น นางยังเห็นน้ำแกงหัวปลาที่ผู้หญิงคนนั้นทำไว้ตอนที่นางเดินเข้าไปที่นั่นเมื่อเช้า แน่นอนว่ากลิ่นหอมนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่เคยมีในตำหนักแห่งนี้มาก่อน
นางก็อยากทำอาหารอร่อยๆ ให้กับฝ่าบาทเช่นกัน แต่นอกจากนางจะไม่ใช่คนทำอาหารเก่งแล้ว สำหรับนาง การย่องเข้าไปเอาวัตถุดิบจากในห้องเครื่องมาก็นับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นนางจึงสงสัยว่าผู้หญิงคนนั้นสามารถทำได้อย่างไร ยิ่งอวิ๋นปี้ลั่วคิดเช่นนั้น อีกฝ่ายก็ยิ่งดูเป็นอันตรายมากขึ้น ดังนั้นการจับตามองนางคงจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
แต่… ว่าที่พระชายาในอนาคตหรือ
อวิ๋นปี้ลั่วเหยียดยิ้มเย้ยหยัน ในสายตาของฝ่าบาท เขามีเพียงแค่บุตรสาวจากตระกูลเฮ่อเหลียนเท่านั้น ดังนั้นเขาย่อมไม่มีทางชอบผู้หญิงที่อายุห่างจากเขาถึงแปดหรือเก้าปีเช่นนางแน่
แต่คุณหนูใหญ่ของตระกูลเฮ่อเหลียนก็ไม่คู่ควรที่จะได้เป็นพระชายาของพวกเขา
ตลอดช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ มีแค่เพียงเงาทมิฬกับนางเท่านั้นที่คอยอยู่เคียงข้างฝ่าบาทด้วยความรักสุดหัวใจ ส่วนคุณหนูใหญ่ตระกูลเฮ่อเหลียนนั่นน่ะหรือ นางไม่เคยสนใจฝ่าบาทเลยด้วยซ้ำ
ไม่เป็นไร
อวิ๋นปี้ลั่วหลุบตาลงแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทจะต้องเป็นของนาง…
ท้องฟ้านอกวังหลวงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น แสงจันทร์สาดส่องลงมาผ่านเงามืด
เงาเล็กๆ เอนกายพิงกำแพง ดวงตาไร้อารมณ์ของเขากำลังเงยขึ้นมองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่สูงกว่าเขาหลายเท่า
ขนของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นมีสีแดงเจิดจ้าราวกับเปลวเพลิงอันสว่างไสวและงดงาม
“นายท่าน ท่านจะปล่อยข้าออกไปเมื่อใดหรือขอรับ” สัตว์ศักดิ์สิทธิ์รู้สึกเหมือนถูกทำร้าย มันถูกขังอยู่ในกรงที่ทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับมัน มันวางกรงเล็บลงบนกะหล่ำปลีจำนวนมหาศาล มันทนไม่ไหวต่อไปแล้วเพราะมันต้องกินเจ้าพวกนี้มาตลอดเจ็ดวันเต็ม มันพร้อมทำทุกอย่างให้เขาเป็นการตอบแทน ขอเพียงแค่เด็กชายตัวน้อยยอมปล่อยมันออกไป อันที่จริงแล้วสถานที่แห่งนี้ไม่มีทางสู้พละกำลังของมันได้ แต่สิ่งเดียวที่สามารถกักขังมันเอาไว้ได้ก็คือเด็กชายที่อยู่ตรงหน้ามัน คนคนนี้คือผู้เป็นนายเพียงคนเดียวของมันนั่นเอง!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรายตามองมันก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแสว่า “ข้าเพิ่งจับเจ้าขังได้เพียงแค่เจ็ดวันเท่านั้น” เวลานี้ยังไม่มีใครรู้ว่าเขาล่ากิเลนอัคคีมาได้ เขาตั้งใจว่าจะรอจนกระทั่งเสด็จปู่กลับมา และจัดพิธีล่าสัตว์ของราชสำนักขึ้น เวลานั้นต่างหากคือเวลาที่สมควรบอกทุกคน
“มันผ่านมาตั้งเจ็ดวันแล้วต่างหากขอรับ” กิเลนอัคคีตัวสั่นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จากนั้นจึงเอ่ยว่า “คนพวกนั้นยังปฏิบัติต่อท่านเหมือนเป็นองค์ชายผู้ไร้ค่าอยู่หรือขอรับ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเม้มริมฝีปาก และยื่นผักใบหนึ่งในมือให้กับมัน รอยยิ้มของเขานั้นสง่างามแต่ก็โหดเหี้ยมทีเดียว “ความสนุกเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์มองผักที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับร้องไห้ออกมา “ข้าไม่หิวขอรับนายท่าน” แค่เรอมันก็ได้กลิ่นผักใบเขียวแล้ว ช่างเป็นความทรงจำที่เลวร้ายยิ่งนัก!
เด็กชายตัวน้อยดูเหมือนจะพอใจกับนิสัยที่ดีขึ้นของมัน เขาชักมือกลับแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือพลางบอกว่า “ช่วงนี้ข้าเจอเหยื่อที่น่าสนใจมากตัวหนึ่ง ข้าจะพานางมาขังไว้กับเจ้าเมื่อถึงเวลา”
“เหยื่อที่น่าสนใจหรือขอรับ” ดวงตาของกิเลนอัคคีเป็นประกาย “สัตว์อสูรกลืนเวหาหรือขอรับ”
เด็กชายตัวน้อยส่ายหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ “ไม่ใช่สัตว์อสูร มันเป็นมนุษย์ผู้หญิง”
“ผู้หญิงหรือ” กิเลนอัคคีทำหน้าเหมือนถูกฟ้าผ่า ผู้หญิงคนไหนดวงตกถึงเพียงนี้หนอ
เด็กชายตัวน้อยตอบราวกับยืนยันแล้วจึงพูดต่อ “นางบอกว่านางไม่ชอบถูกขัง ดังนั้นโซ่ในกรงของเจ้าจึงมีประโยชน์ทีเดียว”
กิเลนอัคคี : …
“นายท่าน ท่านเคยคิดหรือไม่ขอรับว่านางอาจจะเกลียดโซ่มากกว่าก็ได้”
นิสัยชอบจับทุกอย่างขังราวกับว่ามันเป็นเหยื่อนี้ช่างน่าเหลือทนจริงๆ!
มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นมนุษย์ผู้หญิงเสียด้วย หลังจากแดนปีศาจล่มสลาย มันก็มักจะถอยหลังทุกครั้งที่เห็นมนุษย์ผู้หญิง…
แต่ดูจากนิสัยของนายท่านแล้ว เขาคงไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เขาคงจับนางมัดแล้วพามาที่นี่ตามใจตัวเองแน่!
แต่กิเลนอัคคีก็ตั้งตัวไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงบ่นพึมพำของเด็กชายที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตรงนั้น “เจ้าคิดว่านางจะชอบการขังแบบไหนหรือ”
“นาง… อาจจะไม่ชอบเลยขอรับ…” แม้กระทั่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างเขาก็ยังเกลียดการถูกขัง นับประสาอะไรกับมนุษย์เล่า
เด็กชายตัวน้อยรับฟังด้วยสีหน้าราบเรียบ “เช่นนั้นข้าคงต้องหารือเรื่องนี้กับนางให้รู้เรื่อง นางปฏิเสธข้าไม่ได้”
กิเลนอัคคี : …
เช่นนั้นท่านจะหารือกับนางไปทำไมหรือ! ไม่มีความจำเป็นเลยด้วยซ้ำ!
ความจริงแล้วนายท่านก็เพียงแค่รู้สึกอยากจับนางมัดแล้วพาตัวมาที่นี่ใช่หรือเปล่า
“นางดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่โชคดีที่นางไม่ได้น่ารำคาญ” เด็กชายตัวน้อยกระชับถุงมือสีดำของตัวเอง “ถ้านางเป็นคนที่ศัตรูส่งมาจริง พวกเราคงได้ลำบากแน่ มันคงใช้เวลาพักใหญ่ทีเดียวกว่าจะจับนางมาขังได้”
การเคลื่อนไหวของกิเลนอัคคีชะงักไปเล็กน้อย “หากนางดูไม่ปลอดภัย เช่นนั้นเราอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวจะดีกว่าขอรับ”
“จะปลอดภัยหรือไม่นั้นไม่ใช่ปัญหา” เด็กชายตัวน้อยเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาลึกล้ำและไร้ซึ่งความเมตตา กลิ่นอายอันสง่างามแทรกอยู่ในสีหน้าของเขา น้ำเสียงของเขาไม่ได้สูงนัก แต่มันก็ฟังดูน่าจดจำทีเดียว “ข้าเพียงแค่ต้องฆ่าคนที่ส่งนางมาซะ แล้วนางก็จะกลายเป็นของข้า”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเด็กชาย กิเลนอัคคีก็หรี่ตาลง หากว่ากันตามนิสัยของนายท่านแล้ว หากเขาพบว่าผู้หญิงคนนั้นทรยศเขาเข้าละก็ มันกลัวว่าคนที่จะต้องตายน่าจะไม่ใช่แค่คนที่ส่งนางมา แต่แม้กระทั่งตัวผู้หญิงคนนั้นเองก็อาจจะต้องตายด้วยเหมือนกัน…
ความโหดเหี้ยมของนายท่านไม่ได้ลดน้อยลงเพราะอาการสูญเสียความทรงจำของชาติก่อน
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาที่เป็นมนุษย์กลับอารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าตัวเขาตอนที่อยู่ในแดนปีศาจเสียอีก
แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ แต่มือของเขาก็เปื้อนเลือดตั้งแต่อายุยังน้อย
เรื่องนี้ย่อมมีความเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตมา วังหลวง… มันเป็นสถานที่ที่สามารถทำให้มนุษย์สูญเสียความเป็นมนุษย์ และปีศาจสูญเสียความชั่วร้าย
ในอดีตนั้น ไม่ว่าใครได้สบตากับนายท่าน พวกเขาย่อมรู้ว่าตัวเองจำเป็นต้องหลบเลี่ยงเขา
แต่ในปัจจุบัน ผู้เป็นนายของมันกลับสามารถพรางตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ภายใต้การพรางตัวนั้นกลับแฝงไปด้วยพิษที่อันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าผู้ใด
คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีมนุษย์ผู้หญิงกล้าเข้าใกล้เขาในเวลานี้ด้วย
ยากจะนึกภาพออกนักว่าสุดท้ายแล้วคนคนนี้จะลงเอยเช่นใด…