ตอนที่ 618 เหลียนเฉียวกลายเป็นทหารพิเศษ
เฉินเฟิงเป็นคนแรกที่พูด เขากล่าวรายงานว่า นอกจากสำนักงานใหญ่ที่กำลังก่อสร้าง โครงการอื่น ๆ ทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์แล้ว
อย่างไรก็ตาม โครงการของสำนักงานใหญ่จะแล้วเสร็จในเดือนกันยายนปีนี้ และคาดว่าตกแต่งพร้อมใช้ก่อนวันปีใหม่
เขากำลังทำงานในโครงการใหม่
หลินม่ายเอ่ยถามเกี่ยวกับรายละเอียดของโครงการใหม่
เฉินเฟิงกล่าวว่าเขากำลังมองหาที่ดินว่างเปล่าของโรงงานและต้องการซื้อเพื่อพัฒนาอาคารใหม่
โครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งแรกของว่านถงกรุ๊ปหรือย่านที่อยู่อาศัยในถนนชิงเหนียนถูกขายหมดภายในหนึ่งเดือนหลังจากวันปีใหม่
หลินม่ายต้องการซื้อที่ดินอีกผืนเพื่อสร้างบ้านและขายมานานแล้ว
แต่ติดตรงที่ก่อนหน้านี้เธอจะต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ตอนนี้การสอบเข้าวิทยาลัยสิ้นสุดลงแล้ว เธอต้องการแสดงความแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเฉินเฟิงจะใจตรงกันกับเธอ
ที่ดินที่เฉินเฟิงกล่าวถึงนั้นชัดเจนอยู่ในใจของหลินม่าย ทำเลบนถนนอู๋เชิงก็ดีไม่น้อย
หลินม่ายเอ่ย “แล้วโรงงานอุตสาหกรรมที่นั่นจะขายที่ดินผืนนั้นให้คุณไหม?”
ที่ดินทำเลดีขนาดนี้ โรงงานอุตสาหกรรมแห่งนั้นคงไม่ยอมขาย
เฉินเฟิงกล่าว “โรงงานอุตสาหกรรมเบายินดีที่จะขายที่ดินผืนนั้นให้ผม แต่มีเงื่อนไขข้อหนึ่งคือผมต้องช่วยพวกเขาสร้างหอพักพนักงาน”
หลินม่ายถามอย่างสงสัย “ทำไมโรงงานอุตสาหกรรมเบาถึงขอให้คุณสร้างหอพักพนักงานให้กับพวกเขาล่ะ? มีข้อแลกเปลี่ยนอะไรในเรื่องนี้?”
ไม่ว่าหน่วยงานไหน ตราบใดที่มีการสร้างหอพักพนักงาน ก็ถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบอันยิ่งใหญ่
ผู้ปฏิบัติงานที่รับผิดชอบการสร้างหอพักพนักงานมักมอบโครงการให้กับผู้รับเหมา และพวกเขาจะได้รับอั่งเปาขนาดใหญ่จากผู้รับเหมา
เงินในอั่งเปาสามารถซื้อที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์หรือห้องชุดได้อย่างน้อยหนึ่งห้อง
ผู้ปฏิบัติงานชั้นนำของโรงงานอุตสาหกรรมเบายอมละทิ้งผลประโยชน์ก้อนใหญ่และขอร้องให้เฉินเฟิงสร้างหอพักพนักงานให้พวกเขา จนหลินม่ายรู้สึกได้ว่าเรื่องนี่น่าเหลือเชื่อหากจะบอกว่าไม่มีเงื่อนไขอื่นใด
เฉินเฟิงกล่าว “ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรมากมาย แต่ความเสี่ยงค่อนข้างสูง นั่นคือเราจะสร้างหอพักของพวกเขาก่อน และพวกเขาจะจ่ายเงินหลังจากสร้างเสร็จ”
หลินม่ายถาม “คุณคิดจะยึดเอาที่ดินของพวกเขาไว้เพื่อเป็นค่ามัดจำสำหรับการสร้างหอพักหรือเปล่า?”
เฉินเฟิงเย้ยหยัน “ที่ดินมีมูลค่าเพียงไม่กี่หยวน ใช้เป็นค่ามัดจำการสร้างหอพักไม่ได้หรอก”
หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “ในเมื่อมีความเสี่ยงสูงเกินไป เราก็แค่ปฏิเสธข้อตกลง เรามาที่นี่เพื่อหาเงิน ไม่ใช่เพื่อเสี่ยงโชค”
เฉินเฟิงกล่าว “แต่ผมต้องการเสี่ยงโชค”
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ทั้งที่คุณรู้ว่ามีเสืออยู่บนภูเขา แต่ทำไมถึงยังคิดจะไปที่ภูเขานั้น?”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมมั่นใจว่าจะไม่ทำอะไรโดยประมาท”
“อะไรที่ทำให้คุณมั่นใจถึงขนาดนั้น?”
เฉินเฟิงชำเลืองมองไปยังผู้บริหารที่ได้รับคัดเลือกใหม่ และยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไก่ก็มีวิธีของไก่ เป็ดก็มีวิธีของเป็ด ผมก็มีวิธีของตัวเองโดยธรรมชาติ ผมจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ ไม่ต้องกังวล”
หลินม่ายนึกถึงภูมิหลังของเขาทันทีและรู้ว่าเขาจะทำอะไร
เธอเตือนเขาอย่างเข้มงวด “ไม่ว่าคุณจะทำอะไร คุณต้องอยู่ภายใต้กฎหมายนะ”
เฉินเฟิงยิ้มอย่างเป็นมิตร “ผมรู้”
หลินม่ายถามเขาเกี่ยวกับสถานการณ์การส่งเสริมการลงทุนของอาคารขายส่งเสื้อผ้า
เฉินเฟิงกังวลเล็กน้อย “ที่นี่มีผู้ค้าส่งน้อยเกินไป!”
หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “ช่วยลลสื่อโฆษณาและบอกพวกเขาว่าธุรกิจทั้งหมดที่ตั้งถิ่นฐานจะได้รับการยกเว้นค่าเช่าครึ่งปี”
ตราบใดที่ได้รับผลประโยชน์เพียงพอ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีพ่อค้าเข้ามาตั้งถิ่นฐาน
ตราบใดที่อัตราการครอบครองของพ่อค้าถึงหกสิบเปอร์เซนต์ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่สามารถดึงดูดเหล่านายทุนได้
ใช้อาคารขายส่งเสื้อผ้าเป็นที่ดึงดูดผู้คน จากนั้นจึงทำการเก็บค่าเช่า
เฉินเฟิงแสดงท่าทางตกลง
เมื่อเห็นว่าเขารายงานงานเสร็จแล้ว หลินม่ายก็ปล่อยให้เขาไปก่อน
เพราะยังมีหญิงตั้งครรภ์ในครอบครัวของเขาที่ต้องได้รับการดูแล
หลังจากที่เฉินเฟิงจากไป ทุกคนก็พูดต่อ
วังเสี่ยวลี่บอกหลินม่ายว่า กระต่ายย่างในร้านเหรินเจียนเยียนหั่วนั้นขายดีขึ้นทุกวัน
กระต่ายเนื้อทั้งหมดที่ฟู่เฉียงเลี้ยงไว้ถูกขายหมดแล้ว ดังนั้นหลินม่ายจึงถูกขอให้หาวิธีเอากระต่ายเนื้อมาขาย
หลินม่ายส่งมอบงานนี้ให้กับจ้าวเลี่ยงและขอให้เขาจัดเตรียมผู้ซื้อไปยังมณฑลเสฉวนและฉงชิ่งเพื่อซื้อกระต่ายเนื้อของจีน
ในยุคนี้มีเพียงมณฑลเสฉวนและฉงชิ่งเท่านั้นที่ทำการเพาะพันธุ์กระต่ายเนื้อหัวเซี่ย และไม่มีการเลี้ยงกระต่ายเนื้อในที่อื่น
หลินม่ายถามวังเสี่ยวลี่ “ผู้บริโภคชื่นชอบหัวกระต่ายรสเผ็ดหรือเปล่า?”
วังเสี่ยวลี่พยักหน้า “ชื่นชอบมาก มีลูกค้าที่สั่งหัวกระต่ายเผ็ดในราคาหนึ่งหยวน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าแพงเกินไป”
แม้ว่าราคาจะพุ่งสูงขึ้นในปีนี้ แต่หัวกระต่ายหนึ่งหยวนก็ยังแพงมากในยุคนี้
เจิ้งซวี่ตงรายงานว่ามีการเพิ่มสาขาใหม่หลายแห่ง
จากนั้นการรายงานของผู้บริหารที่ได้รับคัดเลือกใหม่ก็มาถึง และหลินม่ายก็ให้คำแนะนำทีละคน
เหรินเป่าจูรายงานการทำงานในตอนท้าย โดยบอกว่าราคาของผลิตภัณฑ์เส้นใยเคมีลดลงอย่างมากและถามว่าอีกฝ่ายต้องการจองหรือไม่
หลินม่ายเกิดใหม่อีกครั้งและรู้ว่าสิ่งทอเส้นใยเคมีนั้นไร้ค่ามาก
สิ่งที่มีค่าที่สุดคือสิ่งทอเส้นใยที่ไม่ใช้สารเคมี เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน และผ้าแคชเมียร์
เธอโบกมือ “ไม่จำเป็น ตอนนี้เสื้อผ้าของเราเป็นสินค้าไฮเอนด์ และเราไม่สามารถใช้ผ้าราคาถูกเหล่านั้นได้”
เถาจืออวิ๋นมีท่าทางเป็นกังวล “แต่ผ้าที่ผลิตในประเทศนั้นไม่สูงพอ ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับเสื้อผ้าของเรา”
หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “ฉันจะหาเวลาไปยังกว่างโจวเพื่อดูว่าสามารถซื้อผ้าคุณภาพสูงที่คุณต้องการได้หรือไม่”
ตอนนี้กว่างโจวและเซินเจิ้นเป็นสองเมืองที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในประเทศ
นักธุรกิจฮ่องกงมารวมตัวกันที่นั่น และอาจจะมีผ้าคุณภาพสูงที่เถาจืออวิ๋นต้องการได้
หลังการประชุม หลินม่ายกลับไปยังสำนักงานเพื่อแก้ไขเอกสาร
เมื่อก่อนบริษัทมีขนาดเล็ก เอกสารที่ต้องแก้ไขก็มีน้อย
หลินม่ายไม่เคยรู้สึกเหมือนเป็นเจ้านายเลย แต่ตอนนี้มีเอกสารที่ต้องแก้ไขมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอรู้สึกเหมือนเป็นเจ้านายเล็กน้อย
เธอง่วนกับงานจนถึงเวลาเที่ยง จากนั้นหลินม่ายก็เก็บข้าวของและออกจากสำนักงาน
ทันทีที่ออกจากสำนักงาน เธอก็วิ่งไปหาหลิวหย่งเจียง
หลินม่ายเห็นว่าเขาถือกระติกน้ำร้อนอยู่ในมือ และถือถุงตาข่ายใบเล็กซึ่งมีลิ้นจี่หวาน แต่มีเพียงครึ่งถุงเท่านั้น
ลิ้นจี่เหล่านี้ดูเหมือนซื้อมาจากตลาดผักของเธอ
ในเจียงเฉิงมีเพียงลิ้นจี่ของครอบครัวเธอเท่านั้นที่สดที่สุด ลิ้นจี่จากเจ้าอื่นล้วนถูกแช่เย็นและขนส่งโดยรถไฟพร้อมกับก้อนน้ำแข็ง
พวกเขาไปที่กว่างโจวเพื่อซื้อลิ้นจี่แล้วเก็บกลับมายังเจียงเฉิงเพื่อขาย ระยะทางในการขนส่งรวมถึงสภาพอากาศอันอบอ้าวทำให้ลิ้นจี่ไม่สด
หลินม่ายมองไปยังสิ่งของในมือของหลิวหย่งเจียงก่อนจะตระหนักได้อย่างรวดเร็วและถามด้วยรอยยิ้ม “คุณเอาอาหารกลางวันมาให้พี่เถาหรือคะ?”
หลิวหย่งเจียงพยักหน้ายอมรับอย่างไม่เขินอายและคว้าลิ้นจี่สี่หรือห้าลูกให้เธอด้วยความใจดี จากนั้นก็เข้าไปในห้องทำงานของเถาจืออวิ๋น
เมื่อหลินม่ายเดินผ่านไป เธอก็ชะโงกศีรษะและมองเข้าไปข้างใน
เมื่อเห็นเถาจืออวิ๋นและหลิวหย่งเจียงพูดคุยและหัวเราะ เธอก็เดาในใจว่าพวกเขากำลังเดทกันอยู่กระมัง?
เฮ้อ! ฟางจั๋วเยวี่ยผู้น่าสงสาร!
เมื่อเธอขับรถกลับบ้าน เธอก็เห็นเฉินเฟิงเดินถือถุงลิ้นจี่อยู่ข้างหน้า จึงบีบแตร
เฉินเฟิงหันศีรษะจ้องมอง หลินม่ายโผล่หัวออกมาจากกระจกรถ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “เพิ่งเลิกงานเหรอ?”
หลินม่ายเอ่ยถามอีกครั้ง “นายซื้อลิ้นจี่พวกนี้ให้จื่อฉิงกินใช่ไหม?”
“นอกจากคนท้องแล้วก็ไม่มีใครกินของเปรี้ยว ดังนั้นถ้าไม่ใช่เพราะหล่อนแล้วจะเป็นใคร?”
หลินม่ายไม่ได้ตั้งครรภ์ แต่เธอเองก็ชอบกินของเปรี้ยว
แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ตอบกลับอะไร
เธอหยุดรถและนั่งรถเพื่อคุยกับเฉินเฟิง
เธอสั่งให้เขาจัดกำลังคนเพื่อทุบทำลายบ้านส่วนตัวที่เธอซื้อในหมู่บ้านกลางเมืองกับบ้านที่เจิ้งซวี่ตงซื้อให้เธอทั้งหมด จากนั้นให้ทำการสร้างตึกแถวห้าชั้นระหว่างรอทำการรื้อถอนเพื่อสร้างรายได้
ตอนนี้เธอรวยมากและไม่สนใจเงินเล็กน้อย จึงไม่แม้แต่คิดอยากจะครอบครอง
เฉินเฟิงตอบรับ
หลินม่ายซุบซิบ “นายแต่งงานมาสองสามเดือนแล้ว เรื่องนี้เหลียนเฉียวรู้ไหม?”
เธออยากจะถามคำถามนี้มานานแล้ว แต่ไม่เคยมีโอกาสถามเลย
เฉินเฟิงพยักหน้า “รู้สิ ฉันเขียนจดหมายไปบอกหล่อนถึงเรื่องนี้แล้ว”
“หล่อนไม่อาละวาดแย่เลยเหรอ?”
หลินม่ายกลัวว่าเหลียนเฉียวจะเสียสติหลังจากได้ยินข่าวร้ายและสร้างเรื่องวุ่นวายในกองทัพ หรือแม้กระทั่งหนีไปเพื่ออาละวาดกับเฉินเฟิง เมื่อหล่อนทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ผลที่ตามมาจะร้ายแรง
เฉินเฟิงส่ายศีรษะ “ไม่หรอก ฉันถามถึงเรื่องในกองทัพและได้รู้มาว่า หล่อนสมัครเป็นหน่วยรบพิเศษหนึ่งเดือนหลังจากที่ฉันแต่งงาน และหล่อนก็เข้ารับการฝึกด้วย แต่ละวันฝึกหนักมาก คงไม่มีเวลาสร้างปัญหาหรอก”
หลังจากได้ยินดังนี้ หลินม่ายก็รู้สึกโล่งใจ
เธอรู้ว่าเหลียนเฉียวกำลังฝึกฝนอย่างหนักเพื่อรักษาแผลใจของหล่อน
กองทัพช่วยเปลี่ยนหล่อน และหล่อนก็ไม่เอาแต่ใจเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
หากเป็นหล่อนในอดีต หลังรู้ว่าเฉินเฟิงแต่งงานและเจ้าสาวไม่ใช่หล่อน หล่อนคงใช้มีดทำครัวบุกเข้ามาในงานแต่งงานและทำการสังหารเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเป็นแน่
เฉินเฟิงมองไปข้างหน้าและกล่าว “มีคนรอฉันอยู่ที่บ้าน ต้องรีบไปแล้ว”
แต่ก่อนที่เขาจะไป เขาก็หยิบลิ้นจี่สามลูกมอบให้หลินม่าย
เขาบอกว่าภรรยาของเขาอยากกินของเปรี้ยว แต่หาซื้อไม่ได้ในตลาดผัก จึงนำลิ้นจี่เหล่านี้มาเพื่อสนองความหิวของหล่อนชั่วคราว
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จั๋วเยวี่ยได้รู้แล้วจะเจ็บไหมเนี่ย
เหลียนเฉียวอยู่ในกองทัพแบบนี้ดีแล้วค่ะ กลัวใจเธอเหลือเกิน
ไหหม่า(海馬)