บทที่ 599 รกรากเดียวกัน ช่างน่าขัน คู่ควรที่ไหน!?
จักรพรรดินีงามพิลาส ดวงหน้าเย็นเยียบ มาเยือนแดนมรณาด้วยตัวคนเดียว นางโยนอ้านออกไปให้ ไม่จำเป็นต้องจับอ้านไว้เป็น ‘ตัวประกัน’
นางรู้สถานะของอ้านดีว่าไม่ควรค่าพอให้เป็น ‘ตัวประกัน’ สักนิด ที่มิได้ฆ่าอ้าน ก็ถือเป็นการแสดงจุดยืนของนางต่อแดนมรณาแล้ว
“กล้าหาญใช้ได้ สตรีที่ทำขนาดเจ้าได้มีไม่มาก!”
ยอดฝีมือแดนมรณาผู้หนึ่งก้าวออกมา กล่าวคำชื่นชมจักรพรรดินี มิใช่ว่าใคร ๆ ต่างมีความกล้าเยี่ยงนี้ จักรพรรดินีตนนี้ไม่เลวจริง ๆ แข็งแกร่งกว่าบุรุษบางคนมากนัก
เขามิได้เอ่ยวาจาถากถาง สิ่งที่จักรพรรดินีกระทำ ได้รับการยอมรับจากเขา จักรพรรดินีคือคู่ต่อสู้ที่ควรค่าให้นับถือ
“ขอดูความสามารถของเจ้าหน่อยเถิด มิใช่ว่าผู้ใดต่างเข้าพบจ้าวมรณาได้”
เขาเอ่ยบอก ให้เกียรติจักรพรรดินีในระดับหนึ่ง มิได้รุมโจมตีจักรพรรดินีแต่อย่างใด หากแต่ก้าวออกมาเพียงผู้เดียว เพื่อต่อสู้กับจักรพรรดินี
จักรพรรดินีพยักหน้า ตระหนักดีว่าการได้พบจ้าวมรณามิใช่เรื่องง่าย นางยกทวนยาวขึ้นมา อาภรณ์ปลิดปลิวส่งเสียงดังเปรี๊ยะปร๊ะ เผยให้เห็นมาดของจักรพรรดินีงามพิลาสแห่งยุค
ในยุคอนันตกาล นางปรากฏกายอย่างองอาจ กำราบผู้มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ลงตนแล้วตนเล่า นับแต่นั้นมา นางเข้าสู่ยุคสมัยเรืองรองของตนอย่างเป็นทางการ ในยุคสมัยหลัง ไม่ว่ามียอดคนน่าทึ่งปานใดปรากฏ ล้วนต้องอยู่ใต้นาง ไม่อาจล้ำหน้านางไปได้
ทุกอย่างที่นางมี ต่างได้มาด้วยการห้ำหั่น นางมิเคยหวาดกลัวการต่อสู้ ตรงกันข้าม นางปรารถนาการต่อสู้
คนผู้นั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน ดวงตาคู่นั้นแข็งขัน ผิวสีอำพันมีแสงเซียนเปล่งประกายเลือนราง ประหนึ่งอสูรพิฆาตที่อยู่ในการนิทรา หากตื่นขึ้นมาได้ ย่อมต้องสะเทือนเลือนลั่น น่าหวาดหวั่นถึงขีดสุด
เขาปล่อยหมัดเข้ามาด้วยความเร็วทะลุขีดจำกัด จนผู้อื่นไม่อาจมองเห็นท่วงท่าของเขา ไวยิ่งกว่าเสี้ยววินาที!
เมื่อถึงคราวเขาเผยตัวอีกครั้ง ก็ได้มาอยู่เบื้องหน้าจักรพรรดินี ประกายเซียนเจิดจรัสล้อมรอบกำปั้น ประดุจค้อนจากสวรรค์สองด้าม ระหว่างที่รัวหมัดออกไป ห้วงมิติระเบิดแหลกลาญ กฎระเบียบต่าง ๆ พังครืนลงทั้งสิ้น
เคร้ง!
จักรพรรดินียกทวนยาวขึ้นด้วยปฏิภาณอันว่องไว ความเร็วที่ผู้อื่นจับไม่ทัน แต่นางจับไว้ได้ ปลายทวนทิ่มแทงใส่หน้าผากคนผู้นั้นอย่างแม่นยำ
คนผู้นั้นป้องกันด้วยหมัด กำปั้นคู่นั้นแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ปะทะเข้ากับทวนยาวอย่างรุนแรง จนทวนยาวสั่นคลอนด้วยแรงกระเทือน
จักรพรรดินีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ แข็งแกร่งยิ่งกว่าอ้าน
นำร่องความเป็นนิรันดร์เข้าร่าง บรรลุเป็นเซียน อยู่ยงคงกระพัน กาลเวลาไม่อาจทิ้งร่องรอยไว้ได้ นี่แหละคือเซียน
ทว่าเหนือเซียนขึ้นไปนั้น ยังมีเส้นทางให้เดินต่อ และสามารถฝึกตนต่อไปได้ กาลเวลานิรันดร์คือการปูทางให้กับการฝึกฝนหลังจากนี้
เหนือเซียนยังมีขั้นเซียนสมบูรณ์สามองค์รวมเป็นหนึ่ง ขั้นจินเซียนซึ่งมีร่างทองเซียนมกุฎ ยากจะมีสิ่งใดทำร้ายได้ ขั้นจ้าวแห่งเซียนที่โลหิตหยดเดียว สามารถลบล้างอาณาจักรทั้งปวง
คนตรงหน้าผู้นี้คือจินเซียนตนหนึ่ง เนื้อกายแข็งแกร่งไร้เทียมทาน บำเพ็ญจนได้มาแล้วซึ่งร่างทองเซียนมกุฎ สามารถปะทะซึ่งหน้ากับอาวุธเซียนได้
อ้านคือเซียนสมบูรณ์ตนหนึ่ง ทว่ามิใช่เซียนสมบูรณ์ธรรมดา หากแต่ฝึกฝนจนอยู่ในตอนปลายองเซียนสมบูรณ์ แกร่งกล้าถึงขีดสุดแล้วทั้งสามองค์ สมบูรณ์ทั้งแก่น ปราณ และวิญญาณ (จิงชี่เสินที่เคยกล่าวถึงก่อนหน้านี้)
คนผู้นั้นรัวหมัดอีกครั้ง สองกำปั้นนั้นแฝงไว้ซึ่งแรงกดดันมหันต์ ประกายสีทองเจิดจรัสพวยพุ่ง เขามิได้เก็บงำพลังอีกต่อไป เลือกปล่อยออกมาเต็มกำลัง!
ทวนยาวต้องถอยหนี ซ้ำร้ายยังเกิดจุดบิ่น รอยร้าวคืบคลานไปทั่วปลายทวน ทวนเล่มนี้เป็นเพียงอาวุธเซียนธรรมดา หาใช่อาวุธเซียนล้ำค่าหายากแต่อย่างใด
จักรพรรดินีเก็บทวนยาวกลับไป ปะทะกับคนผู้นี้มือเปล่า กำปั้นของนางมิได้ใหญ่เท่าใด แต่กลับดุดันมาก ขณะที่สองหมัดรัวออกไป คนผู้นั้นถูกตีจนใบหน้าเหยเก ได้ลิ้มรสความเจ็บปวดมหาศาล!
เจ็บเกินไปแล้ว เขารู้สึกเหมือนกำปั้นทั้งสองข้างพิการไปแล้วอย่างนั้น หมัดของจักรพรรดินีทรงพลังยิ่งกว่าทวนยาวเสียอีก!
จักรพรรดินีห้าวหาญไร้เทียมทาน ออกท่วงท่าอย่างยิ่งใหญ่ ใช้ทั้งหมัดและลูกเตะพร้อมกัน ราวกับมิมีผู้ใดหยุดยั้งนางได้ คนผู้นั้นถูกจู่โจมจนถอยหนี กระอักเลือดไม่หยุด พลังปราณในกายเดือดพล่านรุนแรง ทรมานอย่างยิ่งยวด
เขาไม่สามารถสู้ต่อไปได้แล้ว กายเนื้อเต็มไปด้วยรอยร้าว กระดูกในตัวหักทั้งหมด ขืนยังสู้ต่อไป เขาต้องบาดเจ็บจนไม่อาจฟื้นสภาพได้อีก หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตด้วยซ้ำ!
เรื่องนี้เหนือความคาดหมายเขาไปนิดหน่อย จักรพรรดินีแข็งแกร่งปานนี้เชียวหรือ
จักรพรรดินีเป็น…จ้าวแห่งเซียนตนหนึ่ง!?
“มีความสามารถไม่เลว อนิจจา เจ้าเดินทางมายังแดนมรณาด้วยตัวคนเดียว ย่อมต้องจบลงอย่างน่าสังเวช!”
สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งก้าวออกมา นัยน์ตาคู่นั้นมีเปลวเพลิงอสนีบาตส่องประกาย ตัวใหญ่ราวขุนเขา เกล็ดเย็นเยียบงอกอยู่เต็มกาย บนหัวมีเขาแหลมสองข้าง มันคืออสูรจ้าวแห่งเซียน ยามมันย่างกรายออกมา ธรณีสั่นไหว
มันมีรูปร่างคล้ายโหว ยามพ่นลมหายใจมีเมฆอัสนีปรากฏ พลังปราณน่าประหวั่นพรั่นพรึง
จักรพรรดินีมิได้เอ่ยอันใดไปมากกว่านี้ หน้าตาของนางเย็นชา การต่อสู้เช่นนี้มิอาจหลีกเลี่ยง นางกระโจนตัวขึ้น แสงเซียนพร่าเลือนห่อหุ้มอยู่รอบกาย เป็นฝ่ายบุกเข้าไปด้วยตนเอง ปะทะกับโหวอัสนี
โฮก โฮก โฮก!
โหวอัสนีคำราม เสียงของมันประหนึ่งสายฟ้า ประกายอสนีบาตเจิดจ้าแยงตา ยามกรงเล็บมหึมากระแทกลงมา ก่อให้เกิดปรากฏการณ์พิสดาร ฟ้าดินมลาย!
จักรพรรดินีชูกำปั้น ปะทะกับกรงเล็บของโหวอัสนี โหวอัสนีผู้ดุร้ายไร้ใดเปรียบกลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบมหันต์ เกล็ดตามตัวแตกกระจาย โลหิตไหลเป็นทาง กรงเล็บข้างนั้นไม่อาจใช้ได้อีกต่อไป!
ทะเลอัสนีปรากฏกะทันหัน ม้วนจักรพรรดินีเข้าไปด้านใน ในนั้นมีพลังอสนีบาตอันน่ากลัวไหลหลาก ต่างพุ่งเข้าปลิดชีพจักรพรรดินี
ทะเลอัสนีเยี่ยงนี้ พลังอสนีบาตระดับนี้ แม้แต่จินเซียนหากได้ถูกซัดสาดแล้ว ย่อมต้องตายสนิท นี่คือความน่ากลัวของการเป็นจ้าวในหมู่เซียน!
โหวอัสนีหัวเราะร่วน ในทะเลอัสนีแห่งนี้ มันคือผู้บงการเบ็ดเสร็จ กระทั่งจ้าวแห่งเซียนในระดับเดียวกันหากถูกซัดสาด ก็ต้องยอมให้มันเชือดลูกเดียว!
ทว่าตอนนั้นเอง จักรพรรดินีกลับฝ่าออกมาจากทะเลอัสนีโดยไร้รอยขีดข่วน!
นางอยู่ในอาภรณ์สีขาวทั้งชุด สูงส่งเลอค่า ย่างก้าวบนทะเลอัสนีอันเดือดดาล บุกฝ่าห้วงอากาศเข้าไปหาโหวอัสนี!
“เจ้า!”
โหวอัสนีไม่อาจเชื่อได้ลง จักรพรรดินีแข็งแกร่งขนาดไหนเชียว ระดับนี้แล้วยังไม่อาจแผ้วพานจักรพรรดินีอีกหรือ
ครืน!
ทะเลอัสนีเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง พลังมากล้นแผ่ขยาย คล้ายว่ากลายเป็นมือใหญ่มากมาย หมายจะลากจักรพรรดินีเข้าไปในทะเลอัสนีอีกครั้ง
แสงเซียนล้อมรอบตัวจักรพรรดินี กำราบทุกสิ่งลง พลังของทะเลอัสนีถูกนางเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้า นางปรี่เข้าหาโหวอัสนี ชูกำปั้นทั้งสอง บุกทะลวงไปข้างหน้า
โหวอัสนีร้องลั่น เลือดเนื้อกระจาย แม้ว่ามันยืนตระหง่านอยู่กลางทะเลอัสนีก็มิไหว ถูกจักรพรรดินีทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียว เลือดเนื้อเละรวมเป็นก้อน เศษกระดูกปลิวว่อน
“พอได้หรือยัง”
จักรพรรดินีโรยตัวลงมา เอ่ยเสียงเรียบนิ่ง
ใครบางคนปรบมือ เอ่ยเสียงเบาด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ทั้งที่อยู่ในขั้นจ้าวแห่งเซียนเหมือนกัน เจ้ากลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ทรงพลังเหนือผู้ร่วมขั้น เจ้าเก่งกาจมากจริง ๆ มิใช่พวกธรรมดาปลายแถว แต่เจ้าคิดว่าแค่นี้เพียงพอแล้วหรือ แม้ว่าแดนมรณาถูกละทิ้ง กระนั้นก็มิได้อ่อนด้อยถึงขั้นที่จ้าวแห่งเซียนอย่างเจ้าสามารถทำตามอำเภอใจได้!”
เขามีบุคลิกสุภาพสง่า ปราศจากกลิ่นอายข่มเหงผู้อื่น ในมือมีพัดพับเล่มหนึ่ง ดูสงบเยือกเย็น เป็นคุณลักษณะของเซียนอย่างแท้จริง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาแข็งแกร่งมาก ชี้ให้เห็นถึงระดับพลังของจักรพรรดินีในประโยคเดียว ตระหนักได้ว่าจักรพรรดินีอยู่ในขอบเขตใด
“ข้าหาได้คิดทำตามอำเภอใจในแดนมรณาไม่ และข้ามิได้เกี่ยวข้องกับภพเซียน จะว่าไปแล้ว ข้าก็เคืองแค้นภพเซียนเหมือนกับพวกเจ้า”
จักรพรรดินีกล่าว “เป้าหมายการเดินทางของข้าในครั้งนี้ ก็เพื่อสิ่งมีชีวิตพื้นเมืองในอาณาจักรนั้น ข้าอยากเกลี้ยกล่อมให้พวกเจ้ายอมรามือ ปล่อยเหล่าสิ่งมีชีวิตพื้นเมืองไป”
“มาเพื่อสิ่งมีชีวิตต่ำต้อยพรรค์นั้นหรือ”
ผู้ถือพัดพับเอ่ย คาดไม่ถึงนิดหน่อย เขาคิดว่าจักรพรรดินีมาเพราะภพเซียน ได้รับคำสั่งจากภพเซียนเสียอีก
จักรพรรดินีขมวดคิ้ว “ต่ำต้อยกระไร หากย้อนไล่กลับไป ทุกคนล้วนมีรกรากเดียวกัน เคยร่วมอาศัยในอาณาจักรนั้นกันทั้งสิ้น ไยต้องฆ่าล้างกันเช่นนี้ หากต้องการแก้แค้น พวกเจ้าใช้วิธีอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องให้สิ่งมีชีวิตพื้นเมืองทั้งหมดตายตกตามกัน”
“แดนมรณาคิดทำสิ่งใด ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าคอยว่ากล่าวตักเตือน…”
ผู้มีพัดพับในมือโบกพัด ทอดมองจักรพรรดินีพลางกล่าว “ย้อนไล่กลับไปแล้วมาจากรกรากเดียวกันกระไร ช่างน่าขัน แม้กระทั่งครานั้น พวกเราก็มิเคยยอมรับพวกเขา เป็นเพียงแมลงน่าสมเพชที่อยากมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น!”
เขาเอ่ยต่อ “ส่วนบัดนี้ พวกเขาไม่ถือเป็นแมลงน่าสมเพชด้วยซ้ำ อ่อนแอปานนั้น เป็นมดปลวกยังมากไป!”
ผู้อยู่ใต้เซียนล้วนเป็นมดปลวก!
ประโยคนี้สะท้อนให้เห็นจากตัวเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ