เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ตอบ นางเท้าคางพร้อมกับส่งยิ้มให้กับอีกฝ่าย
สายตาของนางทำให้อวิ๋นปี้ลั่วเสียวสันหลังวาบ นางสูดหายใจเข้าก่อนจะช้อนดวงตาแดงก่ำของตัวเองขึ้น “ต่อให้ท่านเกลียดชังข้า แต่ท่านก็ควรบอกฝ่าบาทนะเจ้าคะ ท่านปล่อยให้ข้ายืนอยู่ที่นี่ท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็นถึงเพียงนั้น มันไม่มากเกินไป…”
“ใครบอกให้เจ้าเข้ามาข้างในโดยไม่ได้รับอนุญาตจากข้า” เด็กชายตัวน้อยตัดบทนางอย่างไร้เยื่อใย
อวิ๋นปี้ลั่วตกใจไปชั่วขณะ ในไม่ช้าดวงตาของนางก็เบิกกว้าง “ฝะ ฝ่าบาท…”
“ออกไป” คำพูดสองคำนั้นปราศจากอารมณ์ใดๆ
อวิ๋นปี้ลั่วรู้ว่าความใจร้อนของนางละเมิดกฎของผู้เป็นนาย แต่นางก็นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะไม่ฟังในสิ่งที่นางพูดแม้แต่คำเดียว
“ฝ่าบาท!” อวิ๋นปี้ลั่วยังต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่าง
เด็กชายตัวน้อยมองนางอย่างเย็นชา “ดูเหมือนเจ้าจะยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่นานพอ กลับไปแล้วลองตรองดูให้ดีเสียว่าข้าควรไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่หรือไม่ เลิกร้องไห้ซะ ข้าไม่รู้ว่าน้ำตาของเจ้าเป็นสิ่งที่มาจากการบีบน้ำตาหรือเป็นน้ำตาที่มาจากใจกันแน่”
หมายความว่าอย่างไร
อวิ๋นปี้ลั่วมีสีหน้าหวาดกลัว แม้กระทั่งนิ้วของนางก็ยังสั่นระริก
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้าไปหานาง พร้อมกับหัวเราะข้างหูนาง “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าไม่จำเป็นต้องลงโทษเจ้าเอง”
ตอนนั้นนั่นเองที่อวิ๋นปี้ลั่วตระหนักได้ว่านางติดกับเข้าเสียแล้ว!
แผนการเดิมของนางคือต้องการทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยโมโห และทำให้ฝ่าบาทสูญเสียความเชื่อใจในตัวผู้หญิงคนนี้ไป!
สุดท้ายคนที่ถูกยั่วโมโหกลับเป็นนางแทน อีกทั้งยังสูญเสียกระทั่งความเชื่อใจจากฝ่าบาทอีกด้วย…
อวิ๋นปี้ลั่วกำมือแน่น แต่นางไม่กล้าส่งเสียงออกไปแม้แต่คำเดียว นางเพียงแค่เม้มริมฝีปากแล้วตอบไป๋หลี่เจียเจวี๋ยว่า “เพคะ”
จากนั้นนางก็เดินลากเท้าอันหนักอึ้งกลับออกไปยืนตำแหน่งเดิมของตัวเอง
สายลมเย็นกรีดผ่านใบหน้าของนางราวใบมีดอันคมกริบ นางไม่เคยต้องทนรู้สึกเจ็บปวดทรมานเช่นนี้มาก่อน ความหนาวเย็นแทรกเข้าไปถึงกลางใจของนาง นางรู้สึกเหมือนตัวเองถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินเย็นยะเยือกอันไร้หนทางหนี และทำได้เพียงแค่ทนทุกข์กับความทรมานเท่านั้น
เด็กชายตัวน้อยหันหน้าไปอีกทางพร้อมกับนวดระหว่างคิ้วของตัวเอง จากนั้นสายตาของเขาจึงมาหยุดอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยยอมรับตามตรงว่า “ข้าทนเฉยให้ถูกรังแกไม่ได้ ไม่ว่านางจะทำอะไรข้า ข้าจะต้องตอบแทนมันกลับไปให้นางอย่างสาสม เจ้าควรโทษที่คนรอบตัวเจ้าคิดมากเกินไปต่างหาก บอกข้ามาสิ ข้าปฏิบัติต่อเจ้าดีถึงเพียงนี้แต่เจ้ากลับเอาแต่ระแวงข้า เจ้าอย่าทำเช่นนี้สิ เจ้าต้องขอบคุณข้าต่างหาก อีกอย่าง…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพึมพำซ้ำไปซ้ำมา แต่บรรยากาศอันเงียบเชียบที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนั้นกลับทำให้นางรู้สึกขนลุกขึ้นมา
เมื่อนางเงยหน้าขึ้น นางก็เห็นว่าเด็กชายตัวน้อยกำลังจ้องมองนางอย่างเสียดสี นางสัมผัสถึงความเย็นชาจากสายตานั้นได้อย่างชัดเจน
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระแอม ก่อนจะปิดปากเงียบ
“พูดจบแล้วหรือ” เด็กชายตัวน้อยหัวเราะโดยปราศจากความอบอุ่น
เฮ่อเหลียนเวยเวยรีบพูดต่อ “อันที่จริงก็ยัง…”
“เจ้าลองพูดออกมาอีกประโยคสิ แล้วรอดูว่าข้าจะจับเจ้าโยนออกไปเหมือนกันหรือเปล่า” เด็กชายตัวน้อยกระตุกยิ้มทรงเสน่ห์
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาพร้อมกับกระแทกชามในมือลงกับพื้น จากนั้นจึงหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “ดื่มน้ำต้มพุทราแดงนี่ซะ” นางบอก
เด็กชายนึกไม่ถึงว่านางจะมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนี้ นิ้วของเขาแข็งราวกับหิน ในเวลานั้นเขาคิดว่านางจะหันหลังเดินออกไปแล้วเสียอีก
“อย่าได้พูดคำว่า ‘ออกไป’ อีก” เฮ่อเหลียนเวยเวยหลุบตาลงมองพื้น “เจ้าทนไล่ข้าออกไปไม่ได้หรอก ยิ่งพอเจ้าโตขึ้น เจ้าก็มีแต่จะจับคนอื่นขังเอาไว้ ไม่ว่าเจ้าจะโมโหเพียงใด แต่อารมณ์อันแปรปรวนของเจ้าก็จะทำให้เจ้าสับสนในตัวเอง ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถออกไปไหนได้ เพราะต้องคอยระวังหลังให้เจ้า อย่างไรความไว้ใจก็ไม่มีค่าสำหรับข้า เจ้าจะทำลายมันอย่างไรก็ตามใจเจ้าแล้วกัน”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของนาง เด็กชายตัวน้อยก็เงียบลง เขาจิบน้ำต้มพุทราแดงด้วยท่าทางว่าง่ายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มแล้วกอดเขา “พวกเรามาทำให้ร่างกายเจ้าเย็นลงน่าจะเร็วกว่า”
เด็กชายตัวน้อยไอออกมาสองสามครั้ง แก้มทั้งสองข้างของเขามีรอยสีแดงจางๆ แต้มไปทั่ว ใบหน้าของเขายังคงเย็นชา แต่ก็ไม่ได้ผลักเฮ่อเหลียนเวยเวยออก
เหยื่อต้องได้รับการเอาใจ
ในเมื่อนางชอบกอด เขาก็จะยอมให้นางได้ทำเช่นนั้นสักพัก ไม่มีเจ้านายคนไหนจะเอาใจใส่มากเท่าเขาอีกแล้ว
ใครจะไปสนใจเรื่องตอนโต ตอนนี้เขาก็คือเขา
ถ้านางอยากได้เจ้านายที่เป็นผู้ใหญ่และทรงอำนาจกว่านี้ เวลานี้เขาก็สามารถเป็นให้นางได้เหมือนกัน
เด็กชายจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองพร้อมกับจับมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยแน่น
ตราบใดที่นางไม่ไปจากที่นี่ เขาก็สามารถให้นางได้ทุกอย่าง…
เด็กชายหลับสนิท หากไม่ใช่เพราะเสียงฝีเท้าที่พรวดพราดเข้ามาจากนอกประตู ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็คงไม่ตื่นเร็วถึงเพียงนี้ ฝ่ามือของเขายังอุ่นอยู่ตอนที่ตื่นขึ้น ความรู้สึกนี้ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายทีเดียว จากนั้นเขาจึงห่มผ้าให้กับนาง ก่อนจะเดินตรงไปที่ประตู
“ฝ่าบาท” เงาทมิฬสังเกตเห็นเขา จึงพูดขึ้นอย่างหวาดหวั่นว่า “องค์ชายใหญ่ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้มาพ่ะย่ะค่ะ เขากล่าวว่าท่าน ท่าน…”
“ว่าอะไร” เด็กชายไม่ได้พูดอะไรมากนัก เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินเสียงนั้น แต่นางก็ยังหลับตาอยู่ ไม่รู้ว่าทำไม แต่จู่ๆ นางก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
เงาทมิฬก้มหน้าลง แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “…บอกว่าฝ่าบาททั้งโหดเหี้ยมและชั่วร้าย อีกทั้งยังบอกว่าท่านสังหารขันทีไปมากอีกด้วย เขายังบอกอีกว่าท่านหมายตาตำแหน่งองค์รัชทายาทเอาไว้ ดังนั้นท่านถึงได้มุ่งทำร้ายคนที่อยู่รอบกายเขาพ่ะย่ะค่ะ”
ข้อกล่าวหาเหล่านั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในเวลานี้ไม่สามารถรับได้
เมื่อเขาโตขึ้น เขายังได้รับการปกป้องทั้งจากพลังปราณของตัวเองและอดีตฮ่องเต้
แต่เวลานี้อดีตฮ่องเต้ไม่ได้อยู่ที่นี่ และเขาเป็นแค่เด็กที่ไม่มีญาติอยู่ข้างนอก เขาจะรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างไร
องค์ชายใหญ่ต้องการเอาชีวิตเขาหรือ
“ข้าเข้าใจแล้ว” เด็กชายยังคงสุขุมเยือกเย็น จากนั้นเขาจึงถามว่า “หลังจากเขาพูดเช่นนั้น เสด็จพ่อมีปฏิกิริยาเช่นใดหรือ”
เงาทมิฬส่ายหน้า “กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะว่าฮ่องเต้มีปฏิกิริยาเช่นใด แต่ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่ววังหลวงแล้ว ฝ่าบาท ท่านควรจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปไม่ได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยมีสีหน้าจริงจัง “ฮ่องเต้ระแวงเขามาตลอดอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเราไม่ควรพูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราควรทำให้มันเป็นเพียงเรื่องตลก ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าเด็กที่ไร้อาวุธจะฆ่าขันทีที่เป็นผู้ใหญ่ได้ ถ้าฝ่าบาทไปเข้าเฝ้าเขาตอนนี้ ก็จะยิ่งดึงดูดความสนใจอันไม่พึงปรารถนาจากฮ่องเต้เข้าหาตัวเท่านั้น”
เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กชายตัวน้อยก็หันกลับมามองนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าเขาไม่เชื่อนาง นางจึงกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “อย่าให้องค์ชายใหญ่ใส่ร้ายเจ้าได้ง่ายๆ”
“อืม” เด็กชายตอบ ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็เชื่อฟังคำแนะนำของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาไม่ได้ไปไหน และอยู่แค่ในตำหนักของตัวเองตลอดเวลาร่วมสามวันเพื่อทำให้สุขภาพของตัวเองกลับมาดีดังเดิม
ในข่วงสามวันนี้ อวิ๋นปี้ลั่วปฏิบัติตัวเป็นอย่างดี แต่ทันทีที่นางมองฝ่ามืออันเจ็บปวดของนาง ความเกลียดชังก็พลันกระจายไปทั่วดวงตา นางอยากใช้โอกาสนี้เอาเรื่องเฮ่อเหลียนเวยเวยไปบอกฮองเฮา
ฮองเฮาไม่เคยใส่ใจบุตรชายที่อมทุกข์ของตัวเองมาก่อนก็จริง แต่นางก็ไม่ชอบให้เขาทำในสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของนาง แม้ว่าเขาจะไม่ได้มาเข้าเฝ้านาง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้นางอารมณ์เสียแม้แต่นิดเดียว แทนที่จะเป็นอย่างนั้น นางกลับดีใจเสียอีก แต่กับเรื่องนางกำนัลคนใหม่ผู้นี้ นางต้องยอมรับว่านางทำเกินไปหน่อย
ความคิดของฮองเฮาหยุดอยู่ที่ตรงนั้น นางวางชาดในมือลง แล้วถามอย่างสบายๆ ว่า “นางกำนัลที่ว่านั่นหน้าตาเป็นอย่างไร”
อวิ๋นปี้ลั่วตาเป็นประกาย “นางมีใบหน้ารูปไข่ ดวงตาสุกใส ดูยั่วยวนทีเดียวเพคะ”