มีสาวใช้ถูกโยนลงไปแล้วหลายนาง
เรื่องที่ควรค่าแก่เอ่ยถึงมากที่สุดคือ ในบรรดาผู้ที่ถูกโยนลงไปในสระบัวยังมีฮูหยินสี่ด้วยคนหนึ่ง
แน่นอนว่านางไม่ได้คิดจะยั่วยวนหนิงเซ่าชิง แค่คิดจะฟ้องฮูหยินหัวหน้าตระกูล โดยอาศัยนามของฮูหยินผู้ปกครองดูแลจวน ซึ่งวันนั้นนางไม่ทันระวังจริงๆ จึงเข้าใกล้ไปหน่อย แต่กลับถูกหัวหน้าตระกูลโยนลงสระบัว
ดังนั้น จะมีใครที่ไม่กลัวตาย กล้าเข้ามาใกล้อีก
ดังนั้น คนที่กล้าเข้าใกล้ฮูหยินหัวหน้าตระกูล นั่นก็คือคนที่กลัวว่าฮูหยินหัวหน้าตระกูลมีอันใดไม่สบายแล้วจะเดือดร้อนตนเอง!
เดือนหกคือฤดูฝน เดือดเจ็ดก็คือวันที่จะเกิดอุทกภัย
ตระกูลซูให้คนไปเตรียมการพร้อมสรรพแต่เนิ่นๆ แล้ว โดยวางรากฐานก่อนเล็กน้อย รอให้ผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมไป ค่อยดำเนินการก่อสร้างครั้งใหญ่
อีกอย่าง แม้ว่าน้ำท่วมในครั้งนี้จะยังคงท่วมที่ดินศักดินา แต่กลับระบายได้เร็วมาก
อากาศร้อน ไม่ถึงครึ่งเดือนก็แห้งหมดแล้ว ทั้งยังสามารถเร่งปลูกพืชผลทางการเกษตรได้ รอถึงตอนฤดูใบไม้ผลิ ผ่านฤดูหนาวก็เก็บเกี่ยวได้หน่อย
ได้ยินมาว่า อ่างเก็บน้ำทั้งสี่สร้างพร้อมกัน และสร้างประตูระบายน้ำด้วย แม้ว่าน้ำจะยังท่วม แต่ก็ไม่สามารถท่วมพื้นที่ทั้งหมดได้
กองทัพตระกูลซูมีจำนวนมาก เรื่องการขุดลอกคูคลอง เมื่อมีภาพที่มั่วเชียนเสวี่ยวางแผนเอาไว้ให้แต่แรก จึงขุดได้เร็วมาก
เมื่อถึงเดือนเก้า ตระกูลซูกับตระกูลหนิงล้วนถอยออกจากเมืองหลวงกันอย่างเป็นความลับ สละเรือเพื่อรักษาขุน[1] นอกจากคนที่สำคัญ อะไรก็ไม่เอาไป
รอจนฮ่องเต้ค้นพบ ก็เป็นสิบวันหลังจากนั้น คนตระกูลซูกับตระกูลหนิงจากไป เหลือไว้เพียงแต่เรือนอันว่างเปล่า
แน่นอนว่า ไม่ได้ไม่เหลือสักคน ข้ารับใช้ยังอยู่ ใช้ชีวิตทำงานไปตามปกติเหมือนเดิม เพียงแต่ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้เป็นนายที่อยู่ข้างในกลับไม่เห็นแล้ว ฮ่องเต้บันดาลโทสะ ในใจก็ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง
ตระกูลซูกับตระกูลหนิงไม่เหมือนตระกูลเซี่ยและตระกูลหลู หากว่าไม่มั่นใจเต็มที่ พวกเขาทั้งสองตระกูลไม่มีทางถอยออกไปจากเมืองหลวงในเวลาเดียวกัน
หนึ่งปีมานี้ เขาจะไม่รู้เหตุผลที่ที่ดินศักดินาของตระกูลหนิงกับตระกูลซูมีบรรยากาศคึกคักและเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นได้อย่างไร
เพียงแต่หลายปีมานี้ ขอเพียงแค่หัวหน้าตระกูลคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง ในที่ดินศักดินาของทั้งสองตระกูลก็จะทำการก่อสร้างเป็นการใหญ่อย่างคึกคักครั้งหนึ่ง
ดูท่า ครั้งนี้มีความมั่นใจว่าจะสำเร็จยิ่ง?
ในเมื่อทั้งสองตระกูลแอบหนีออกจากเมืองหลวงเงียบๆ ย่อมต้องมีความต้องการที่จะครอบครองและตั้งมั่นในที่ดินศักดินา
ตระกูลซูมีกองทัพตระกูลซู ตระกูลหนิงมีหอลับ และมีกองทัพที่เลี้ยงไว้เป็นการส่วนตัว ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับชายแดนตะวันตก หากเขาส่งทัพไปตีเป่ยต้าฮวง ชายแดนตะวันตกย่อมเคลื่อนทัพมาสนับสนุน ถึงตอนนั้นเขาก็ถูกศัตรูขนาบทั้งหน้าและหลัง…
แผนการในตอนนี้ ทำได้แค่ไล่ตามสังหาร
ดังนั้นคนขบวนแล้วขบวนเล่าจึงมุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
ไล่ล่าสังหารตระกูลซูกับตระกูลหนิงจากสองทิศทาง
ทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยการนองเลือด
ทั่วทั้งเทียนฉีล้วนปกคลุมไปด้วยภัยอันตราย
ปลายเดือนเก้า ต้นเดือนสิบ ตระกูลหนิงและตระกูลซูก็ทยอยเดินทางไปถึงที่ดินศักดินาอย่างปลอดภัย
ฮ่องเต้ได้รับจดหมายแล้ว ก็รู้สึกไม่ดีทันที
ตอนนี้คนทั้งสองตระกูลล้วนไปถึงที่ดินศักดินาแล้ว ทหารที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ตายไปเจ็ดแปดส่วน
แน่นอนว่าองครักษ์ และองครักษ์ลับของทั้งสองตระกูลก็สูญเสียไปเจ็ดแปดส่วนเช่นกัน
เพียงแต่แม้ว่าทั้งสองตระกูลจะสูญเสียคนไป แต่หัวหน้าตระกูลกลับไปถึงที่ดินศักดินาอย่างปลอดภัย ทว่าคนของเขากลับตายเสียเปล่า
วันนี้เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ ฮ่องเต้รู้แล้วว่าจะกำจัดทั้งสองตระกูลให้สิ้นนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน
เมื่อไม่อาจฆ่าล้างตระกูล ส่งคนไปสังหารอีกจะมีประโยชน์อันใด
เมื่อถึงยามที่เหลืออดเหลือทน คนที่มีเมตตาและสุภาพอ่อนโยนก็กล้าที่จะสู้ยิบตาเช่นกัน!
เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว ฮ่องเต้ก็นอนไม่หลับตลอดคืน ทรงพระกาสะออกมาเป็นโลหิตหลายครั้ง!
เมื่อฟ้าสว่าง จอนผมสองข้างก็ขาวโพลน สุดท้ายฮ่องเต้ที่รู้ว่าอิทธิพลอำนาจยิ่งใหญ่จากไปแล้วก็ถอนหายใจ ลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกร โงนเงนไปมาจนขันทีคนสนิทที่อยู่ด้านข้างต้องรีบเข้าไปประคอง
“ฝ่าบาท ไม่เช่นนั้นก็มีราชโองการลงไปตอนนี้ว่า ตระกูลซูและตระกูลหนิงเมินเฉยต่ออำนาจราชวงศ์ ออกจากเมืองโดยพลการ…แล้วประทานความตายให้กับคนที่รั้งอยู่ในจวน กำจัดจงเหล่าและผู้อาวุโสที่เหลือทิ้งไว้ในเมืองหลวงทุกคน ค่อยรวบรวมทหารกลุ่มใหญ่ ให้องครักษ์วังหลวง ทหารรักษาพระองค์ และทหารราบมุ่งหน้าไปยัง…”
เพื่อสร้างความสับสนต่อพระเนตรของฮ่องเต้ ทั้งสองตระกูลจึงตั้งใจทิ้งจงเหล่าและผู้อาวุโสหลายท่านไว้ในเมืองหลวง และพาไปเฉพาะบุตรหลานภรรยาเอกแต่ละคนของพวกเขาไป
การโยกย้ายในครั้งนี้ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล
คนที่อยู่ต่อโอบอุ้มจิตใจที่จะต้องตายแน่ๆ เอาไว้
ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่จะไม่สามารถส่งคนไปลอบสังหารได้ แต่ยังต้องส่งคนไปปลอบประโลมบุคคลที่ไม่ค่อยมีความสำคัญ กับจงเหล่าและผู้อาวุโสที่ทั้งสองตระกูลทิ้งเอาไว้ในจวนที่เมืองหลวงอีกด้วย
ฮ่องเต้ปลอบประโลมคนเหล่านั้นเสร็จ ก็แสดงท่าทีโดยการมีราชโองการแต่งตั้งตระกูลซูและตระกูลหนิงแต่ละตระกูลให้มีตำแหน่งเจ้าเมือง
ใช่แล้ว ฮ่องเต้คิดแผนการพิสดารหนึ่งออกมา
โดยการแต่งตั้งหนิงเซ่าชิงกับซูจิ่นอวี้ให้เป็นอ๋อง
คนหนึ่งคือเป่ยหนิงอ๋อง คนหนึ่งคือตงซูอ๋อง
ในราชโองการระบุไว้ว่า เมื่ออ๋องทั้งสองคนรับราชโองการแล้ว ก็ให้ออกเดินทางในวันนี้ทันที เพื่อเฝ้ารักษาการณ์ชายแดนตะวันออกกับชายแดนเหนือให้กับเทียนฉี
ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนแคว้นเทียนฉีรู้นั้น ไม่ใช่การที่ตระกูลซูกับตระกูลหนิงจากไปในเวลาเดียวกัน แต่เป็นการได้รับแต่งตั้งให้ออกจากเมืองหลวงไปยังที่ดินศักดินา
ดังนั้นเรื่องก่อนหน้านี้ล้วนกลายเป็นการสร้างข่าวลือ ชีวิตผู้คนมากมายขนาดนั้นล้วนกลายเป็นแค่เรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
เพิ่งจะประกาศราชโองการลงไป ฮ่องเต้ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงกัดฟันร่างราชโองการให้กับชายแดนตะวันตกอีกหนึ่งฉบับ
กล่าวไว้ว่า : เป็นเพราะสองชนเผ่าเฮยมู่รั่วสุ่ยแห่งชายแดนตะวันตกเฝ้ารักษาการณ์ชายแดนมาโดยตลอด ถึงได้มีเทียนฉีที่เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ เมื่อพิจารณาจากคุณงามความดีแล้ว ก็มอบรางวัลโดยการแต่งตั้งชังมู่แห่งชนเผ่าเฮยมู่เป็นซีชังอ๋อง นับแต่นี้ไปให้เฝ้ารักษาการณ์ประจำชายแดนตะวักตกเพื่อเทียนฉี
ในขณะเดียวกันก็แต่งตั้งอ๋องต่างแซ่อีกสามคน นี่เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่สุดในเทียนฉี
อ๋องทั้งสามคนนี้ มีฐานะสูงศักดิ์กว่าเว่ยฟานอ๋อง และเจิ้นหนานอ๋องมาก
ภายในพื้นที่การปกครอง อ๋องก็คือผู้ปกครองดินแดน
นี่เป็นการถอยสุดท้ายของตระกูลกู และเป็นท่าทีที่เขาจำเป็นต้องแสดงออกมา
ความจริงจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือ ตระกูลขุนนางเก่าแก่สองตระกูลออกจากเมืองหลวงไปยังที่ดินศักดินา เจ้าจะแต่งตั้งเป็นอ๋องหรือไม่นั้น ผู้อื่นก็เป็นอ๋องในพื้นที่แห่งนั้นอยู่ดี
เพียงแต่เมื่อมีราชโองการ ก็จะเหมาะสมและมีเหตุผล ทั้งสองตระกูลรับน้ำใจอันยิ่งใหญ่นี้แล้ว จะต้องไม่มีทางมีใจคิดกบฏอีกแน่นอน
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ในที่สุดเขาก็สามารถกำจัดลำดับศักดิ์ของขุนนางตระกูลเก่าแก่ในดินแดนเทียนฉีทิ้งไปได้ โดยอาศัยลำดับศักดิ์ของอ๋อง
นับตั้งแต่นี้ไป ราชสำนักเทียนฉีจะไม่มีตระกูลขุนนางเก่าแก่อีก
บทส่งท้าย
คืนวันสิ้นปียังไม่ผ่านพ้น ฮ่องเต้ก็สวรรคตจากพระอาการประชวร
ชิงอ๋องที่เพิ่งจะพระชนมายุสิบห้าชันษาเต็มขึ้นครองราชย์ โดยมีฮองเฮาคืออวี้ฉือซื่อ
ได้ยินมาว่า ราชสำนักมีตระกูลอวี้ฉือเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจ
วันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง ณ เป่ยต้าฮวง พระราชวังต้าหลิง
ใช่แล้ว อ่านไม่ผิดหรอก เป็นพระราชวังต้าหลิง!
เสียงร้องไห้งอแง ต้อนรับการมาถึงของชีวิตใหม่
“ท่านผู้ครองแคว้น พระอัครมเหสีให้กำเนิดพระโอรสองค์หนึ่งเพคะ”
ใช่แล้ว หนิงเซ่าชิงไม่ใช่ท่านอ๋อง แต่เป็น
เป็นผู้ปกครองแคว้นต้าหลิง
หลังจากกูเย่อวี้แต่งตั้งให้เป็นอ๋อง หนิงเซ่าชิงก็หัวเราะออกมา
หนิงเซ่าชิงแค่มองก็รู้ถึงความตั้งใจของกูเย่อวี้ เขากับซูจิ่นอวี้คาดการณ์ได้แต่แรกแล้วว่าฮ่องเต้จะใช้วิธีการนี้
เขาล้วนคิดมาตลอด มองเห็นพวกเขาเป็นคนโง่ตลอด
หากว่าละโมบรับการแต่งตั้งตรงหน้านี้จริงๆ ก็เป็นอ๋องที่เขาแต่งตั้ง ในภายภาคหน้าจะต้องฟังเขา พบเขาก็ต้องกราบสามครั้ง คำนับเก้าครั้ง
นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เขาเป็นขุนนาง ต้องการจะฆ่าจะแกงก็ต้องฟังเขา
ยังมี เขาแต่งตั้งชนเผ่าเฮยมู่แห่งชายแดนตะวันตก ก็เพื่อให้ชนเผ่าเฮยมู่แตกหักกับมั่วเชียนเสวี่ย
[1] สละเรือเพื่อรักษาขุน เป็นสำนวนที่มาจากเกมหมากรุก แปลว่า สละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่