สะใภ้หยวนเป่าจู้สวมเสื้อกั๊กยาวสีเขียว มวยผมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วยังประดับด้วยดอกไม้สีแดงดอกใหญ่สองดอก ทำให้นางดูสดใส
นางย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เจอฮูหยินตั้งหนึ่งปี ฮูหยินยังดูงดงามเหมือนเดิมเลยเจ้าค่ะ” จากนั้นก็หยิบห่อผ้าไหมสีแดงออกมาจากมือของป้ารับใช้ที่อยู่ข้างๆ “คุณหนูเก้าของเรานำมาให้ฮูหยินเจ้าค่ะ ทำรองเท้าให้คุณชายน้อยหก ฝีมืออาจจะไม่ค่อยดีนัก โปรดฮูหยินอย่าได้ถือสา”
ตั้งแต่ที่สวีซื่อจุนและคุณหนูเก้าสกุลเจียงหมั้นหมายกัน สะใภ้หยวนเป่าจู้ที่เป็นผู้ติดตามของหวังหลิน พี่สาวของหวังหลังก็มาคารวะสืออีเหนียงและนำของขวัญปีใหม่มาให้สืออีเหนียงในเมืองหลวงทุกปี
“ลำบากคุณหนูเก้าแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกให้ชิวอวี่รับห่อผ้านั้นมา บอกให้สาวใช้นำเก้าอี้มาให้ท่านป้าสองคนนั่ง แล้วก็ยกชาเข้ามาให้พวกนาง
สะใภ้หยวนเป่าจู้นั่งลงบนเก้าอี้ นางยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณ รับถ้วยชามาจิบหนึ่งที
สืออีเหนียงถามนาง “นายท่านและนายหญิงสบายดีหรือไม่”
“ขอบพระคุณที่ฮูหยินเป็นห่วงเจ้าค่ะ นายท่านและนายหญิงสบายดีเจ้าค่ะ” สะใภ้หยวนเป่าจู้ตอบด้วยรอยยิ้ม “วันที่เก้าเดือนเก้า นายหญิงพาคุณหนูเก้าไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่วัดต้าฝู…”
ขณะที่นางกำลังพูด ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ อาจารย์เจี่ยนมาขอพบเจ้าค่ะ”
ช่วงนี้ของทุกปี อาจารย์เจี่ยนจะนำสมุดบัญชีของร้านขายของมงคลสมรสมาให้สืออีเหนียงดูตลอด
สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกให้สาวใช้เชิญอาจารย์เจี่ยนเข้ามา
สะใภ้หยวนเป่าจู้รีบลุกขึ้นขอตัวลา
อาจารย์เจี่ยนถือถุงผ้าสีน้ำเงินเดินเข้ามา
นางนั่งลงข้างๆ สืออีเหนียง รับถ้วยชามาจากสาวใช้ ชิวอวี่พาสาวใช้ในห้องออกไปข้างนอกอย่างรู้ความ
อาจารย์เจี่ยนเปิดถุงผ้าแล้วผลักมันให้สืออีเหนียง “นี่คือสมุดบัญชีของปีนี้”
สืออีเหนียงเห็นว่ามีสมุดบัญชีเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนตั้งสิบเล่ม นางยิ้ม “ดูเหมือนว่ากิจการของปีนี้จะดีกว่าปีก่อนไม่น้อยเลย!”
ตอนนี้กิจการของร้านขายของมงคลสมรสแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือทำผ้าปักลายและชุดเครื่องแบบขุนนาง อีกส่วนหนึ่งคือผ้าไหมสิริมงคลและผ้าม่านสิริมงคล เพราะว่าผ้าปักลายและชุดเครื่องแบบขุนนางเป็นของสำคัญ อาจารย์เจี่ยนจึงเป็นคนสั่งงานช่างเย็บฝีมือดีด้วยตัวเอง ให้ชิวจวี๋เป็นคนดูแลเรื่องผ้าไหมสิริมงคลและผ้าม่านสิริมงคล พัฒนากิจการมาเรื่อยๆ กิจการก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงในเยี่ยนจิง แม้แต่เจียงหนาน ก็มีคนมาสั่งทำชุดเครื่องแบบขุนนางเช่นกัน
อาจารย์เจี่ยนยิ้มแล้วพยักหน้า “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ผ่านไปอีกสองสามปี เราก็สามารถซื้อร้านค้าที่ถนนตงต้าได้แล้ว” พูดถึงตรงนี้ นางก็ลังเลแล้วพูดว่า “ว่าแต่มีเรื่องเรื่องหนึ่ง ข้าอยากปรึกษากับเจ้า!” พูดจบ นางก็ทำสีหน้าจริงจัง
สืออีเหนียงพูดอย่างเคร่งขรึม “ท่านมีเรื่องอันใดก็พูดเถิดเจ้าค่ะ เราเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์ ปรึกษากันได้ทุกเรื่อง”
“มีเรื่องเรื่องหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้ยินแล้วหรือยัง” อาจารย์เจี่ยนพูดเบาๆ “ข้าได้ยินเจ้าของร้านข้างๆ บอกว่า สองสามวันก่อนไท่ฮูหยินสกุลกานขายร้านค้าออกไปอีกแล้ว ตอนนี้ร้านเราเริ่มมีชื่อเสียงแล้ว ต่อไปก็คงโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ หากคนส่วนมากพูดถึงร้านขายของมงคลสมรส ก็มักจะนึกถึงร้านขายของมงคลสมรสบนถนนตงต้าของเรา หากเราย้ายร้าน ลูกค้าที่เดินทางมาหาจากทางไกลหาร้านเราไม่เจอยังไม่พอ หากมีคนมาเปิดร้านขายของมงคลสมรสแทนที่เดิมของเรา ขโมยกิจการมันคือเรื่องเล็ก แต่หากทำให้ลูกค้าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นร้านของเรา เสียเงินแต่กลับซื้อของไม่ได้ตามที่ต้องการ เกรงว่ามันคงจะทำให้เราเสื่อมเสียชื่อเสียง เจ้าคิดว่า เราควรถามว่าแถวนั้นมีร้านค้าไหนอยากจะขายร้าน แล้วใช้เงินที่ได้จากร้านขายของมงคลสมรสซื้อเอาไว้ ถึงตอนนั้นจะได้มีร้านเป็นหลักเป็นแหล่ง”
สืออีเหนียงขมวดคิ้ว “ไท่ฮูหยินสกุลกานขายร้านค้าอีกแล้วหรือ!”
อาจารย์เจี่ยนถอนหายใจเบาๆ
สืออีเหนียงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ความคิดของท่านไม่เลวเลยเจ้าค่ะ ข้าคิดว่า ท่านลองสอบถามดูก่อน หากเงินไม่พอ ข้าออกให้ก่อน ถึงตอนนั้นค่อยคืนให้ข้าก็ได้ สำหรับเรื่องของไท่ฮูหยินสกุลกาน ข้าจะไปพูดกับนางเอง”
เช่นนี้ ถึงแม้ว่าจงฉินปั๋วจะบังคับให้ไท่ฮูหยินสกุลกานขายร้านค้าอีก กิจการในร้านก็จะไม่ได้รับผลกระทบ ถึงแม้ว่ากิจการในร้านขายของมงคลสมรสของไท่ฮูหยินสกุลกานไม่ได้ทำให้นางร่ำรวยอะไร แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้นางมีเงินจับจ่ายใช้สอยไม่ขาดมือ
อาจารย์เจี่ยนพยักหน้า เห็นสืออีเหนียงทำสีหน้าเคร่งขรึม พลอยบรรยากาศในห้องอึมครึม นางจึงยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ได้ยินว่าหู่พั่วจะกลับมาหลังปีใหม่ เรื่องแต่งงานของจู๋เซียงเป็นเช่นไรแล้ว”
พูดถึงเรื่องนี้ สืออีเหนียงก็เป็นกังวล “หาไปหามา ก็ยังหาคนที่เหมาะสมไม่เจอ!”
อาจารย์เจี่ยนหัวเราะ “ข้าคิดว่า เจ้าไม่อยากให้จู๋เซียงแต่งงานมากกว่า สกุลที่ป้าซ่งพูดถึงเมื่อครั้งก่อนก็ไม่เลวเลยทีเดียว บิดามารดาเป็นผู้ดูแลที่ไร่ บุตรชายของพวกเขาเป็นผู้ช่วยของเถ้าแก่ใหญ่ที่ซานซี อ่านออกเขียนได้ หน้าตาหล่อเหลา อายุก็เท่าๆ กัน แต่เจ้ากลับบอกว่าเขานั้นฉลาดเกินไป ไม่ค่อยมั่นคง หากหาคนซื่อบื่อจริงๆ เกรงว่าเจ้าคงจะคิดว่าเขาซื่อสัตย์เกินไป ไม่ค่อยฉลาดกระมัง” จากนั้นก็เอ่ยเกลี้ยกล่อมสืออีเหนียง “จู๋เซียงไม่เด็กแล้ว หากยังไม่แต่งงาน ก็จะกลายเป็นแม่นางอายุเยอะแล้ว เจ้าดูชิวจวี๋ของเรา นางก็มีชีวิตที่ดีไม่ใช่หรือ”
ชิวจวี๋ก็เเต่งงานช้าจนกลายเป็นแม่นางอายุเยอะ ต่อมาเถ้าแก่ร้านขายเครื่องเงินแนะนำคนที่ทำงานอยู่ในร้านเครื่องเงิน บิดามารดาเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเด็ก ครอบครัวยากจน มีพี่น้องทั้งหมดสี่คน เขาคือน้องเล็กสุด อยากแต่งงานกับครอบครัวของอาจารย์เจี่ยน ตอนแรกอาจารย์เจี่ยนไม่ชอบที่เขาหน้าตาไม่ค่อยดี บอกให้ชิวจวี๋แอบไปดูเขาก่อน ชิวจวี๋ไม่ได้ว่าอะไร อาจารย์เจี่ยนจึงฝืนตอบตกลง ต่อมาหลังจากแต่งงานกับชิวจวี๋แล้ว เขาเป็นคนทำงานทุกอย่าง ครอบครัวของพวกเขาก็เริ่มมีชีวิตที่ดีขึ้น อาจารย์เจี่ยนเห็นเช่นนี้ก็พอใจ ฤดูใบไม้ร่วงปีก่อน ชิวจวี๋คลอดบุตรเป็นฝาแฝด ตั้งชื่อเด็กทั้งสองคนโดยใช้แซ่ ‘เจี่ยน’ ทำเอาอาจารย์เจี่ยนปิติยินดีเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงก็รู้ว่าตัวเองกำลังหากระดูกในไข่[1] แต่เมื่อคิดว่าผู้ติดตามของตัวเองที่ติดตามมาจากอวี๋หังล้วนแต่แยกย้ายกันออกไป นางจึงอยากให้จู๋เซียงอยู่กับตัวเองนานขึ้นอีกสักสองสามวัน
“ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันดีกว่าเจ้าค่ะ!” นางพูดพึมพำ “ใกล้จะปีใหม่แล้ว คงจะให้นางแต่งงานตอนนี้ไม่ได้!”
อาจารย์เจี่ยนรู้ว่าสืออีเหนียงยังทำใจไม่ได้ จึงยิ้มแล้วจิบชา พูดถึงเรื่องบุตรฝาแฝดของชิวจวี๋ จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวลา
จู๋เซียงเห็นอาจารย์เจี่ยนเดินออกมา นางออกไปส่งอาจารย์เจี่ยนที่หน้าประตู จากนั้นก็ไปหาสืออีเหนียง
“เหมือนกับทุกปีเจ้าค่ะ” นางพูดเสียงเบา “สะใภ้หยวนเป่าจู้ไปหาป้าซ่งก่อน จากนั้นก็ไปหาป้าตู้ แล้วก็ป้าสือของฮูหยินห้าและภรรยาของผู้ดูแลจ้าว ล้วนแต่ถือกล่องของขวัญปีใหม่ไปให้พวกนางเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดด้วยท่าทีที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เราก็ให้ซองแดงแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วหยอกล้อจู๋เซียง “ปีนี้ได้เพิ่มขึ้นหรือไม่”
“ไม่เพิ่มขึ้นเจ้าค่ะ!” จู๋เซียงยิ้ม “ยังคงสี่สลึงเท่าเดิมเจ้าค่ะ”
“ถึงแม้ว่าจะไม่มาก แต่หากใด้เช่นนี้ตลอด ก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย” สืออีเหนียงยิ้ม จากนั้นก็ทิ้งเรื่องพวกนี้ไปไว้ข้างหลัง นางถาม “จิ่นเกอเล่า ไม่เห็นเขาตั้งนานแล้ว”
“กำลังป้อนอาหารนกกับคุณชายน้อยเจ็ดเจ้าค่ะ!” จู๋เซียงยิ้ม “มีสุยเฟิง หวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่คอยรับใช้อยู่ข้างกาย”
สืออีเหนียงตอบรับเพียง “อืม” ปรึกษาเรื่องขึ้นปีใหม่กับจู๋เซียง เมื่อถึงเวลาทานข้าวเย็นนางก็เล่าเรื่องที่เจินเจี่ยเอ๋อร์บอกนางให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋ตกใจ เขาพูด “ข้าหาอาจารย์ให้จิ่นเกอได้แล้ว” แต่เมื่อคิดว่านี่คือน้ำใจของบุตรเขยและบุตรสาวตัวเอง “เช่นนั้นก็ให้อาจารย์ผังมาด้วยเถิด หากไม่เหมาะสมค่อยให้เขาไปทำงานที่ฝ่ายรักษาการณ์!”
สืออีเหนียงบอกให้จู๋เซียงไปบอกซิ่วหลาน หลังจากขึ้นปีใหม่ เซ่าจ้งหรานก็พาอาจารย์ผังมาที่เยี่ยนจิงด้วยตัวเอง
สวีลิ่งอี๋ต้อนรับบุตรเขยที่โถงบุปผา ก่อนจะทดสอบศิลปะการต่อสู้ของอาจารย์ผัง จากนั้นก็กลับมาบอกสืออีเหนียง “ฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ ดูท่าทีเหมือนยังไม่ได้ออกแรงเต็มที่ แต่ว่าไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องสงคราม…ถึงแม้จิ่นเกอไม่ได้จะออกไปสู้รบกับใครในอนาคตก็ตาม” เขาไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร
“เขาอาจจะไม่ได้ใช้แรงเต็มที่!” สืออีเหนียงเห็นอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้เป็นเหมือนครูพละ นางคิดว่าแค่เขามีร่างกายแข็งแรงก็พอแล้ว จ้าวคั่วเองก็อ่านหนังสือสงครามมาตั้งเยอะ แต่พอออกรบก็พ่ายแพ้อยู่ดี การสู้รบ ต้องมีพรสวรรค์ด้วย “มันคือน้ำใจของบุตรเขยใหญ่ ใช้งานเขาได้ก็ใช้เถิดเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หากอ่าน ‘ตำราปฐมวัย’ ไม่จบ แล้วนำ ‘ศิลปะแห่งสงคราม’ ไปให้เขาอ่าน เขาก็ไม่มีทางอ่านเข้าใจ เรียนรู้การยิงธนูขี่ม้าก่อนก็ได้!” จากนั้นก็บอกให้อาจารย์ผังอยู่ที่จวน บอกอาจารย์จ้าวว่าจะส่งจิ่นเกอไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาซวงฝูในวันที่สองของเดือนสอง
จิ่นเกอได้ยินว่าจะได้ออกไปลานข้างนอก เขาก็ดีใจ ถามสืออีเหนียงทุกวันว่าเมื่อไรจะถึงวันที่สองเดือนสอง ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะ นางอุ้มจิ่นเกอแล้วพูดว่า “นี่คือท่วงท่าของนักปราชญ์!”
เซินเกอก็เอะอะโวยวายอยากไปด้วย
ไท่ฮูหยินมอบขนมให้เซินเกอหนึ่งกล่อง “เจ้าค่อยไปปีหน้า ไปเรียนเป็นเพื่อนพี่ชายเจ้า”
เซินเกอดึงแขนเสื้อสืออีเหนียง “ท่านป้าสี่ทำกระเป๋าให้ข้าด้วยขอรับ!”
สืออีเหนียงใช้ผ้าหลิงโถวในมือทำเป็นกระเป๋าให้จิ่นเกอ จิ่นเกอนำหนังสือ ‘ตำราปฐมวัย’ ใส่ไว้ข้างใน แล้วยังนำไปโอ้อวดเซินเกอก่อนมาที่เรือนไท่ฮูหยิน
“ได้เลย!” สืออีเหนียงยิ้ม “เซินเกอชอบแบบไหน ถึงตอนนั้นท่านป้าจะทำให้เจ้า”
“ชอบเหมือนของพี่หกขอรับ” เซินเกอพูดต่อไปอีกว่า “ชอบแบบที่สวยกว่าของพี่หกขอรับ”
อาจจะเป็นเพราะยังเด็ก เฉิงเกออายุสามขวบแล้ว แต่ฮูหยินห้ายังอุ้มเขาไปทุกที่
เห็นบุตรชายตัวเองขอกระเป๋าจากสืออีเหนียง ฮูหยินห้าที่กำลังป้อนขนมเฉิงเกอที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนของตัวเองก็เช็ดปากให้เขาแล้วบ่นขึ้นว่า “เด็กคนนี้ เห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด!”
“เด็กน้อยก็เป็นเช่นนี้แหละ” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “เมื่อก่อนตอนที่คุณชายสี่ยังเล็ก เขาก็เป็นเช่นนี้ ส่วนคุณชายห้าตอนเด็กเขารู้ความมาก เห็นว่าข้าไม่สบาย ก็มักจะมานั่งจับมือข้าอยู่ข้างๆ ถามว่าข้าดีขึ้นแล้วหรือยัง นึกถึงตอนนั้น หากข้ามีบุตรสาวสักคนก็คงจะดี! “
พูดจนสวีลิ่งควนกระอักกระอ่วน เขากระแอมแล้วพูดว่า “พี่สี่ ได้ยินว่าเขยใหญ่แนะนำอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ให้จิ่นเกอ หรือว่า ให้เซินเกอไปเรียนด้วยดีหรือไม่ขอรับ! “
“เรียนศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่เรื่องง่าย” ในจวนมีแค่สวีลิ่งอี๋ที่ยืนหยัดมาได้ “เซินเกอยังเด็กเกินไป รอให้เขาโตกว่านี้อีกสักหน่อยค่อยว่ากันเถิด!”
ฮูหยินห้ารีบพูด “ใช่เจ้าค่ะ เซินเกออายุน้อยกว่าจิ่นเกอตั้งหนึ่งปี!”
เซินเกอได้ยินเช่นนี้ก็วิ่งไปเอะอะโวยวายฮูหยินห้า “ข้าจะไป ข้าจะไปด้วยขอรับ ข้าอยากเรียนศิลปะการต่อสู้กับพี่หก!”
สีหน้าของฮูหยินห้ามืดมนลง “ปีหน้าค่อยว่ากัน”
เซินเกอไม่ยอมยังคงงอแง
ฮูหยินห้าตำหนิเขา ทำเอาเฉิงเกอตกใจจนร้องไห้ ฮูหยินห้ารีบอุ้มเฉิงเกอเดินไปรอบห้อง
เซินเกอเห็นเช่นนี้ก็น้ำตาคลอเบ้า
ไท่ฮูหยินสงสารเขา นางรีบเรียกเซินเกอไปหา กอดเขาแล้วเกลี้ยกล่อมฮูหยินห้า “ให้เซินเกอไปด้วยเถิด ไปเล่นอยู่ข้างๆ ก่อนก็ได้ รอให้เขาโตขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย ค่อยให้เขาเรียนศิลปะการต่อสู้อย่างจริงจัง! “
เซินเกอได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า
จิ่นเกอเองก็ช่วยเซินเกอพูด “ท่านอาสะใภ้ห้าขอรับ ให้น้องเจ็ดไปเถิด ประเดี๋ยวข้าจะนำเจ้าสามของข้ามาให้ท่านเล่นด้วย!”
เจ้าสามคือสุนัขตัวหนึ่งของเขา
ทุกคนต่างก็พากันหัวเราะ
ฮูหยินห้ายืนกรานต่อไปไม่ไหว นางพูดกับเซินเกอ “เจ้าห้ามซุกซนเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะไม่อนุญาตให้เจ้าไปเรียนศิลปะการต่อสู้”
เซินเกอวิ่งเข้าไปกอดจิ่นเกอด้วยความดีอกดีใจ
[1]หากระดูกในไข่ เป็นสำนวน หมายถึง พยายามหาข้อตำหนิติเตียนคนหรือสิ่งของ ทั้งที่ไม่มีข้อให้ตำหนิ