จากนั้นเด็๋กชายตัวน้อยจึงหันหน้ากลับไปมององค์ชายใหญ่ที่ยืนหน้าซีดอยู่ตรงนั้น
องค์ชายใหญ่ยังคงพยายามร้องขอชีวิตให้กับคนตระกูลหลี่อยู่ “เสด็จพ่อ ตระกูลหลี่ซื่อสัตย์ภักดีต่อท่านเสมอมานะพ่ะย่ะค่ะ ท่านจะทำเช่นนี้เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย…”
“เรื่องเล็กน้อยหรือ” ฮ่องเต้ตัดบทเขาอย่างเย็นชา “การวางแผนฆาตกรรมองค์ชายนับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยทำให้ข้าตาสว่างทีสิว่าต้องเป็นเรื่องเช่นใดจึงนับว่าสำคัญสำหรับเจ้า”
“ลูก.. ลูก…” ตลอดหลายปีที่ผ่านมาชีวิตขององค์ชายใหญ่นับว่าราบรื่นอย่างมากราวกับทุกอย่างถูกวางแผนมาแล้วเพื่อเขา เขามีตระกูลหลี่คอยให้การสนับสนุนยามเมื่ออยู่นอกวังหลวง ส่วนยามเมื่อเขาอยู่ในวังหลวง เขาก็ยังมีเสด็จแม่คอยให้การปกป้อง ดังนั้นเขาจึงลนลานขึ้นมาทันทีเพราะเขาไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร
หลายปีมานี้องค์ชายใหญ่เป็นองค์ชายเพียงพระองค์เดียวที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ แม้เขาจะเคยทำสิ่งใดผิดพลาดมาก่อน แต่ฮ่องเต้ก็จะผ่อนผันให้เขาเสียทุกครั้ง
อดีตฮ่องเต้กำลังจะกลับมาในไม่ช้า ดังนั้นฮ่องเต้จึงจำเป็นต้องใช้องค์ชายใหญ่จับตาดูให้องค์ชายสามอยู่ภายใต้การควบคุม
เมื่อคิดได้ดังนี้ ฮ่องเต้ก็สะบัดแขนเสื้อ “ขันทีเกา ประกาศราชโองการของข้าออกไป! สุขภาพจิตขององค์ชายใหญ่มิค่อยสมประกอบ ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ค่าใช้จ่ายของตำหนักเฟิงเสี่ยวจะเหลือเพียงครึ่งเดียว และองค์ชายใหญ่จะถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวัน!”
“เสด็จพ่อ! เสด็จพ่อ!” องค์ชายใหญ่มองร่างของฮ่องเต้ด้วยสายตาสิ้นหวังขณะที่เขาเดินออกไป เขาขบกรามแน่น แล้วหันหน้ากลับไปจ้องไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างแข็งกร้าว!
ตามใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงมีเลือดหยดลงมา ท่าทางสูงส่งและสง่างามของเขาดูราวกับไม่ใช่ท่าทางของมนุษย์
องค์ชายใหญ่เยาะยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปหาเขา “เจ้ามีพรสวรรค์เสียจริง”
เด็กชายตัวน้อยยังคงเงียบ ในสายตาของเขา องค์ชายใหญ่เป็นเพียงแค่สุกรที่ไร้สมองและไร้สติปัญญา และมันกำลังจะถึงจุดจบในไม่ช้า
หากไม่ใช่เพราะการปฏิบัติอย่างเลือกที่รักมักที่ชังของฮ่องเต้ ป่านนี้เขาคงได้กลายเป็นศพไปนานแล้ว
เห็นได้ชัดว่าองค์ชายใหญ่เกลียดท่าทางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาเป็นเพียงแค่เด็กเมื่อวานซืน แต่กลับกล้าทำตัวสูงส่งกว่าเขา และยังดูถูกเขาอีกด้วย
“ดี ดียิ่งนัก!” องค์ชายใหญ่เอ่ย เขาพยายามจะกระชากคอเสื้อของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ขันทีที่ติดตามรับใช้องค์ชายใหญ่เป็นคนฉลาด เขารู้ว่าเรื่องในวันนี้ซับซ้อนกว่าที่เห็น ดังนั้นเขาจึงคว้ามือขององค์ชายใหญ่เอาไว้ “ฝ่าบาท ฮ่องเต้ยังอยู่แถวนี้ ท่านไม่สามารถหุนหันพลันแล่นได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
เส้นเลือดบนหน้าผากขององค์ชายใหญ่เต้นตุบๆ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้ แต่กระนั้นสายตาของเขาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย จากนั้นเขาจึงหมุนตัวกลับ และเมื่อเขาเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาก็แสยะยิ้มและบอกว่า “น้องสาม แม้เจ้าจะไม่มีดีอะไรมากนัก แต่ดูเหมือนนางกำนัลคนใหม่ของเจ้าจะดูดีกว่าคนที่แล้วเสียอีก”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เด็กชายตัวน้อยก็ขบกรามเข้าหากัน
องค์ชายใหญ่ลอบมองสีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยระหว่างที่นางก้มหน้าลง ความคิดชั่วช้าพลันก่อตัวขึ้นในสมองของเขา เขาอดที่จะอยากเห็นหน้าตานางให้ชัดขึ้นไม่ได้
แต่ใครคนหนึ่งก็เข้ามาขวางทางเขาเอาไว้ ร่างนั้นตัวเล็กเพียงนิดเดียว แต่กลับแผ่บรรยากาศบีบคั้นกดดันออกมาทั่วร่าง
องค์ชายใหญ่แค่นหัวเราะพลางยกมือขึ้นโอบบ่าเด็กชายตัวน้อย “น้องสาม ข้าขอแนะนำอะไรเจ้าเอาไว้ก็แล้วกัน อย่าคิดที่จะต่อต้านข้าไปเสียทุกครั้งล่ะ ไม่อย่างนั้นข้าจะกำจัดเจ้าและทุกคนที่อยู่รอบตัวเจ้าซะ”
หลังจากพูดจบ องค์ชายใหญ่จึงนำคนของตัวเองเดินออกไป แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจอย่างมากกับการที่ตระกูลหลี่หมดอำนาจ เพราะมันหมายความว่าอำนาจทั้งหมดที่เขาเคยมีอยู่เบื้องหลังหายไปด้วย
พระสนมซู มารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายใหญ่ทานอะไรไม่ลงทันทีที่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลหลี่ แต่นางก็ไม่กล้าขออภัยโทษแทนบุตรชายเช่นกัน
นางรู้จักนิสัยหวาดระแวงของฮ่องเต้เป็นอย่างดี ในเวลาเช่นนี้ ยิ่งนางขอร้องอ้อนวอนเท่าใด โอกาสที่ตระกูลหลี่จะรอดชีวิตก็จะยิ่งมีน้อยลงเท่านั้น
พวกนางต้องอดทนเอาไว้สักสองสามวัน
ฮ่องเต้เพียงแค่กำลังเดือดดาล เขาคงไม่ได้คิดที่จะทำอะไรกับตระกูลหลี่จริงๆ
เมื่อความโกรธของเขาสงบลง ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ
พระสนมซูนั่งลง และกำชับห้ามไม่ให้องค์ชายใหญ่ทำอะไรเด็ดขาดในช่วงสามวันนี้ เขาควรอยู่แต่ในตำหนักเฟิงเสี่ยว ละเว้นเนื้อสัตว์ สวดมนต์ภาวนาเพื่อฮ่องเต้ และไม่ออกไปเตร็ดเตร่ที่ไหน
นอกจากนี้นางยังพยายามติดต่อผู้คนที่เคยทำงานให้กับตระกูลหลี่เพื่อยับยั้งไม่ให้พวกเขาเขียนคำร้องถึงฮ่องเต้อีกด้วย
เด็กชายตัวน้อยยืนอยู่ที่ลานฝึกพลางใช้มือถูริมฝีปากของตัวเองเหมือนเช่นทุกที ดวงตาของเขาหม่นแสงลงพร้อมกับแสงบนท้องฟ้าที่เริ่มหมดลง
เดิมทีนั้นเขาไม่ได้คิดที่จะเคลื่อนไหวเร็วถึงเพียงนี้
แต่เจ้าโง่นั่นกลับกล้าหมายตาเหยื่อของเขา!
นิ้วมือที่อยู่ใต้แขนเสื้อยาวของเขากำเข้าหากันแน่นขณะที่จมสู่ภวังค์ความคิด
แต่ประการแรกเขาจะปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเขาเคยฆ่าคน
ให้นางได้เห็นแต่เพียงภาพลักษณ์อันสมบูรณ์แบบของเขาคงจะดีกว่า
นางไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องชั่วร้ายและสกปรกเหล่านี้
เด็กชายตัวน้อยก้มหน้าลงพร้อมกับหรี่ตาเล็กน้อย
“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงรู้สึกเจ็บแทนเขาระหว่างที่ใช้ผ้าพันแผลพันรอบศีรษะให้กับเด็กชาย จากนั้นนางจึงกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าแผลนี้จะหายดีเมื่อใด วันนี้ข้าจะทำน้ำแกงใส่ซี่โครงหมูให้เจ้ากินก็แล้วกัน มันน่าจะดีต่อบาดแผลของเจ้า”
เด็กชายตัวน้อยไม่ได้บอกนางว่าร่างกายของเขาสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วเพราะพลังของกิเลนอัคคีและพลังปราณของเขา
เขาลดสายตาลง และเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าอยากกินเนื้อตุ๋นราดน้ำปรุงรส”
“ไม่ได้ เนื้อเป็นอาหารบำรุงกำลัง” เฮ่อเหลียนเวยเวยจูบตาข้างซ้ายที่อยู่ใต้ผ้าพันแผลของเขาพร้อมกับเสริมว่า “มันไม่ดีต่อบาดแผลของเจ้า”
เด็กชายส่งเสียงในลำคอแทนคำตอบ ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ขณะจับมือของนางไว้ เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่หลงเหลืออยู่ที่ตาข้างซ้ายนั้นได้ อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าอาหารมื้อต่อไปจะเป็นอะไร เขาเพียงแค่อยากรู้เท่านั้นว่าการถูกเอาอกเอาใจจากใครสักคนนั้นเป็นเช่นใด
เขาสังเกตเห็นมานานแล้วว่านางจะจูบเขาก็ต่อเมื่อนางไม่สามารถทำตามที่เขาขอได้
เช่นนั้นเขาก็จะปล่อยให้นางจูบต่อ
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กชายก็กระตุกยิ้ม แต่ใบหน้าของเขากลับยังคงซีดเผือด มันซีดจนไร้สีเลือดเลยทีเดียว
ฮ่องเต้เป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างไม่ต้องสงสัย เขาอาจทำเป็นไม่สนใจไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แต่รอกระทั่งถึงช่วงเย็นแล้วจึงค่อยส่งหมอหลวงมาให้เขา
ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนมองอยู่ข้างๆ นางกำมือเข้าหากันแน่น ทำไมเขาถึงไม่สนใจไยดีเด็กที่รู้ความอย่างเขา
เขากลับเข้าข้างองค์ชายที่เห็นแก่ตัวและบ้าตัณหา ฮ่องเต้ช่างเป็น “ฮ่องเต้ผู้น่าเคารพนับถือ” ที่มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อรักษาบัลลังก์ของตัวเองอย่างแท้จริง
เด็กชายมองตามระหว่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งหมอหลวงกลับไป เขาเรียกเงาทมิฬเข้ามาอย่างไม่ใส่ใจนัก
เงาทมิฬคิดว่าผู้เป็นนายต้องการเข้าห้องน้ำ แต่เขินอายเกินกว่าจะพูดอะไรเมื่อมีผู้หญิงอยู่ด้วย ดังนั้นเขาจึงเดินเข้ามาพร้อมกับถือกระโถนติดมือมาด้วย
แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะเด็กชายตัวน้อยกลับทำเพียงแค่ชำเลืองมองกระโถนนั้นอย่างเย็นชา แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกว่า “หากดูจากนิสัยของมู่หรงอ๋องแล้ว เขาจะต้องใช้โอกาสนี้เพื่อกดดันตระกูลหลี่อย่างแน่นอน ไปที่จวนอ๋องมู่หรงและส่งข้อความนี้ไปที่ห้องหนังสือของเขาพร้อมกับลูกดอกสักอัน อย่าทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ล่ะ”
“ไม่เร็วเกินไปหรือพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬขมวดคิ้ว นายท่านไม่ได้วางแผนว่าจะลงมือปีหน้าหรอกหรือ เขาถึงกับฝึกฝนวิชาตัวเบาเพื่อการนี้เลยด้วยซ้ำ
เด็กชายตัวน้อยแสยะยิ้ม “มีใครบางคนเสียมารยาทต่อข้า ดังนั้นข้าจะไม่ทนอยู่เฉยอีกต่อไป พระสนมซูต้องการปกป้องตระกูลหลี่ ดังนั้นนางจึงห้ามไม่ให้พวกเขาเขียนคำร้องขออภัยโทษให้กับพวกเขา ข้าจะไม่ปล่อยให้นางได้ในสิ่งที่นางต้องการ หลังจากข้ากำจัดตระกูลหลี่ได้สำเร็จ ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าหมูตัวนั้นมันจะขโมยสิ่งที่เป็นของข้าไปจากข้าได้อีกหรือไม่”
หมูตัวนั้นหรือ องค์ชายกำลังหมายถึงองค์ชายใหญ่หรือ
เงาทมิฬมือสั่น คราวนี้องค์ชายจะฆ่า… ฆ่าองค์ชายใหญ่หรือ
“เรื่องนี้รู้กันแค่พวกเรา อย่าให้ผู้หญิงคนนั้นรู้เด็ดขาด…”