ล้วนเป็นอ๋องเหมือนกัน มีเหตุผลอันใดที่ชังมู่ต้องเชื่อฟังตนเอง
เพียงแต่เขาคิดผิดไปเรื่องหนึ่ง
คิดผิดเรื่องความศรัทธาและความจงรักภักดีของชนเผ่าเฮยมู่
เขากับมั่วเชียนเสวี่ยยังไม่ได้แสดงท่าที ชังมู่ก็มาเยือนแล้ว บอกว่าไม่รับรางวัลการแต่งตั้งจากเทียนฉี บอกว่าชั่วชีวิตนี้จะจงรักภักดีต่อบุตรหลานของเจิ้นกั๋วกงตราบจนชีวิตจะหาไม่
ก่อนออกเดินทาง หนิงเซ่าชิงได้เจรจากับซูจิ่นอวี้อย่างจริงจัง หากว่าฮ่องเต้กล้ำกลืนโทสะในครานี้ลงไป ปล่อยสองตระกูลขุนนางใหญ่เป็นอิสระ ไม่มีความคิดจะจัดการตระกูลขุนนางอีก พวกเขาก็จะแยกกันอยู่ทางเหนือกับทางตะวันออก เหมือนกับตระกูลที่เร้นกายจากโลกภายนอกในประวัติศาสตร์ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับราชกิจ และค่อยๆ จางหายไปจากราชสำนัก
แต่หากฮ่องเต้คิดจะบีบบังคับพวกเขาอีกก้าว ก็อย่าได้กล่าวโทษพวกเขาแล้วกัน
ดังนั้น ตระกูลซูกับตระกูลหนิงแทบจะประกาศตัวเป็นอิสระในเวลาเดียวกัน
ตระกูลหนิงร่างราชโองการต่อใต้หล้า สถาปนาแคว้นต้าหลิง โดยมีหนิงเซ่าชิงเป็นผู้ครองแคว้น มั่วซื่อเป็นพระอัครมเหสี
ตระกูลซูร่างราชโองการประกาศก่อตั้งแคว้นตงอู่กับใต้หล้า โดยมีซูจิ่นอวี้เป็นผู้ครองแคว้น ลั่่วซื่อเป็นพระอัครมเหสี
จากแคว้นต้าหลิงถึงเป่ยต้าฮวง ทหารที่เฝ้ารักษาการณ์ของตระกูลซูก็ถอยไปกว่าครึ่ง ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่สวามิภักดิ์ต่อแคว้นต้าหลิง
นี่ก็คือสัญญาฉบับที่เขาให้ ซูจิ่นอวี้ลงนามโดยใช้สมุดที่เขียนวิธีจัดการน้ำแลกเปลี่ยนในตอนนั้น
หลังจากนั้นก็รีบจัดการโจมตีชนเผ่าและแคว้นเล็กๆ รอบเป่ยต้าฮวง
ความจริงแล้วตระกูลซูสามารถจัดการสถานที่เหล่านี้ได้แต่แรกแล้ว
ที่ปล่อยเอาไว้ ก็เพียงแค่ไม่อยากให้ชายแดนสงบเกินไป จนทำให้ฮ่องเต้มีเหตุผลที่จะดึงอำนาจทางการทหารของพวกเขากลับไป
การโจมตีครั้งนี้ของหนิงเซ่าชิง ไม่เพียงแต่จะจัดการชนเผ่าและแคว้นเล็กๆ เหล่านั้นได้ แต่ยังจัดการสองเมืองที่อยู่ใกล้เป่ยต้าฮวงของเทียนฉีอย่างรวดเร็วฉับไว
รอฮ่องเต้ได้สติกลับคืนมา ก็ทำได้แค่ส่งทหารไปตั้งมั่นที่เขตปกครองเผยซึ่งห่างจากสองเมืองนั้นสามสิบลี้ แน่นอนว่า ตอนที่แคว้นตงอู่สถาปนาแคว้น ก็จัดการแคว้นเล็กๆ ที่ติดกับทางใต้ไปหลายแคว้น เพื่อชิงยึดอาณาเขตเช่นกัน
นับตั้งแต่นั้น อาณาบริเวณของราชสำนักเทียนฉีก็ได้แบ่งเขตใหม่
นับตั้งแต่นั้นเทียนฉีก็ไม่มีตระกูลขุนนางเก่าแก่อีก แต่พื้นที่ในใต้หล้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีอาณาจักรที่มีศักยภาพไม่น้อยเลยเพิ่มขึ้นมาอีกสองแห่ง
ในเมื่อสร้างแคว้น มีพระราชวัง แน่นอนว่ามีเพียงแค่พระอัครมเหสีที่มีอำนาจตัดสินใจ
ฮูหยินสี่ ฮูหยินแปดอะไรนั่น หลังจากนี้เมื่อเจอมั่วเชียนเสวี่ยล้วนทำได้แค่คุกเข่าทำความเคารพ
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีโอกาสได้เสพสุขชีวิตเช่นนี้ เพราะทนไม่ไหว จึงจากไประหว่างหลบหนี
ก่อนจะสิ้นใจ ยังเอ่ยให้ในภายภาคหน้า หนิงเซ่าชิงดูแลตระกูลอวี่เหวินให้มากหน่อย
บอกว่าราชวงศ์เป็นหมาป่าตัวหนึ่ง หากในภายภาคหน้าตระกูลอวี่เหวินเดือนร้อน หลบหนีมายังเขตแดนของตระกูลหนิง จะต้องให้การคุ้มครองอะไรพวกนี้
ในวันนั้นหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนก็เป็นไท่ซ่างหวงแห่งแคว้นต้าหลิง อาการป่วยของเขายังคงเป็นเช่นเดิม มีอาการไอบ่อยๆ
แม้ว่าสุขภาพเขาจะอ่อนแอ แต่สุดท้ายก็มีกำลังภายในแข็งแกร่ง ท่านหมอบอกไม่ได้ว่าเขาจะมีชีวิตได้อีกกี่ปี
ข้างกายเขาเหลือแค่จื่อฮูหยินเพียงคนเดียว ทั้งยังให้หนิงเซ่าชิงแต่งตั้งจื่อฮูหยินเป็นจื่อกุ้ยไท่เฟย
เขาเลียนแบบวิธีของบุตรชาย ไล่อี๋เหนียงคนอื่นๆ จากไปแล้ว
มอบอิสระให้กับพวกนาง และมอบอิสระให้กับตนเองด้วยเช่นกัน
ตอนยังหนุ่มไม่ได้ทะนุถนอมและรู้คุณค่าของความรัก เมื่ออายุมากแล้ว เขาหวังว่าจะสามารถประคองกันไปจนแก่เฒ่ากับจื่อฮูหยินที่รักเดียวใจเดียวต่อเขา โดยปราศจากความโกรธแค้นชิงชัง
ในที่สุดจื่อฮูหยินก็รักษาความสุขของนางเอาไว้ได้
ชูอีแต่งให้กับเตาหนูนานแล้ว
สืออู่ที่หลบหนีไปหนึ่งเดือนก็ถูกกุ่ยซาทำให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งใจ
ตอนนี้เตาหนูไม่ใช่องครักษ์แล้ว แต่เป็นหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ กุ่ยซาก็เป็นขุนนางฝ่ายเสนาธิการยศตูถ่งเช่นกัน
เมื่อสร้างเมืองหลวงเป่ยฮวง อิ่งซาของหอลับก็ไม่ได้ควบคุมดูแลอำนาจลับอีก แต่เป็นแม่ทัพปกป้องแคว้น
ทว่า ชูอีกับสืออู่ล้วนแสดงท่าทีเดียวกันว่า ไม่มีทางแต่งงานในตอนนี้ พวกนางอยากรอจนถึงพระอัครมเหสีให้กำเนิดองค์ชายกับองค์หญิงอย่างปลอดภัย รอถึงองค์ชายองค์หญิงครบขวบปี ค่อยหารือเรื่องแต่งงาน
ดังนั้น เตาหนูกับกุ่ยซาล้วนไม่กล้ามีความเห็นใด
กุ่ยซาก็ไม่ใช่ไม่มีคนชอบ
เยวี่ยเซี่ยผู้นั้น รักเขามาหลายปีแล้ว
แต่ว่ากลับไม่กล้าบอก
ขณะเดียวกันก็เป็นคนเรื่อยเฉื่อย เมื่อมาถึงในเรื่องของความรักกลับกล้ามองแค่แผ่นหลังของคนในใจอย่างโง่งม
ถงจื่อจิ้งก็พาองครักษ์ตระกูลถงตามมั่วเชียนเสวี่ยมายังเป่ยต้าฮวงด้วยเช่นกัน
มั่วเชียนเสวี่ยยังตัดสินใจรับผู้เฒ่าถงมาเองโดยพลการด้วย แต่ถงจื่อจิ้งไม่ยอมพบเขา ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่จัดให้ผู้เฒ่าถงพักในเรือนอื่น
ได้อยู่ใกล้บุตรชายขึ้นอีกหน่อย ผู้เฒ่าถงก็พอใจแล้ว เขาจะไม่เข้าไปก้าวก่ายชีวิตของถงจื่อจิ้งอีก แม้ว่าถงจื่อจิ้งจะไม่แต่งงานไปตลอดชีวิตจริงๆ
ทุกอย่างเป็นปกติสุขดี
หนิงเซ่าชิงไม่ได้มองซาลาเปาน้อยที่หมอตำแยอุ้มออกมา แต่ถามอย่างร้อนใจว่า “พระอัครมเหสีสบายดีไหม”
ตอนนี้เองที่มีคนพุ่งออกมาจากในห้อง “ท่าไม่ดีแล้ว พระอัครมเหสีอาการกำเริบอีกแล้ว…”
หมอตำแยรีบหมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง ผ่านเวลาอาหารไปอีกมื้อหนึ่ง ถึงได้ออกมาด้วยสภาพเหงื่อโทรมกาย
“ทูลแจ้งข่าวดีกับผู้ครองแคว้น พระอัครมเหสีให้กำเนิดองค์ชายสององค์ องค์หญิงหนึ่งองค์เพคะ มารดาและบุตรสี่คนล้วนปลอดภัยดี!” คิดๆ ดูแล้ว ดูเหมือนจะไม่ถูกต้องอยู่บ้าง จึงเอ่ยว่า “องค์หญิงน้อยก็ปลอดภัยเช่นกันเพคะ!”
คืนนั้นทั่วทั้งพระราชวังต้าหลิงล้วนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความยินดี
หนิงเซ่าชิงมองลูกๆ ที่อยู่ในห้อง แล้วดูมั่วเชียนเสวี่ยที่หลับไปหลังจากคลอดลูกด้วยความยากลำบาก
คิดไม่ถึงเลยว่า ความฝันที่มั่วเชียนเสวี่ยฝันถึงเมื่อหลายปีก่อนจะเป็นความจริง
พวกเขามีลูกสามคนจริงๆ
นับตั้งแต่นั้น พวกเขาก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดั่งเช่นที่นางฝันได้เช่นกันสินะ
หนิงเซ่าชิงโน้มตัวลงไปกอดมั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังอยู่ในห้วงความฝันกับลูกน้อยสามคนเอาไว้ด้วยความพึงพอใจ
ท่านหญิงซูซูตื่นนอนในยามเฉิน[1] นางรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่ง ถอนหายใจไปหลายครั้งในหนึ่งชั่วยาม
ซูชีไม่ได้ดำรงตำแหน่งในแม่ทัพเก้าประตูแล้ว นางย่อมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปอีก และไม่มีเหตุผลที่จะติดตามอยู่ด้านหลังซูชีเช่นกัน
อีกอย่าง นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว นางจะติดตามซูชีไปทำไม ไปปรนนิบัติเขาที่จวนซูหรือ ยังไม่ทันได้แต่งเข้าตระกูลซู ก็ไปทำเรื่องน่าขายหน้าถึงตระกูลซูแล้ว นางไม่อาจทำตัวเหลวไหลน่าขบขันเช่นนี้ได้
นางจมอยู่กับห้วงความคิดในวันที่มั่วเชียนเสวี่ยแต่งงาน ใบหน้าที่ไม่นับว่าโดดเด่นเหนือผู้คนของมั่วเชียนเสวี่ยเปล่งประกายงดงามที่สุดออกมาเพราะความสุขนั้น ทำให้นางอิจฉาและใฝ่ฝันถึงยิ่งนัก
นางหวังเพียงใดว่าในภายภาคหน้า นางจะสามารถแต่งงานกับคนที่นางชอบ แต่งงานกับซูชีด้วยอารมณ์แห่งความสุขเช่นนี้
แต่เมื่อนึกถึงท่าทางเย็นชา และสายตารังเกียจที่ซูชีมีต่อนาง ท่านหญิงซูซูก็เจ็บปวดใจ หน่วยตาแดงระเรื่อ น้ำตาพลันเอ่อคลอ…
นางกัดริมฝีปาก เงยหน้าขึ้นไม่ให้น้ำตารินไหลลงมา
“ซูชี เจ้ามันคนสารเลว! เป็นคนเลวที่สุดในหมู่คนเลวบนโลกใบนี้! เจ้าชอบข้าสักเล็กน้อยแล้วเจ้าจะตายหรือไร! ข้าที่รูปโฉมงดงามติดตามวนเวียนอยู่รอบกายเจ้าทุกวัน เจ้ามันศพเดินได้ ทั้งเป็นตอไม้ และตาบอดด้วยคนหนึ่ง…”
หลังจากลอบด่าซูชีในใจแล้ว ก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย หยาดน้ำตาก็เก็บกลับมาได้ เพียงแต่ ริมฝีปากยังคงเม้มแน่น ผ้าเช็ดหน้าในมือก็เกือบจะขาดเป็นชิ้นๆ!
“ท่านหญิง! ซื่อจื่อให้มาเชิญท่านไปเจ้าค่ะ!”
[1] ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น.