เงาทมิฬมองร่างของอวิ๋นปี้ลั่ว และเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่ได้กังวลในสิ่งที่นางจะทำ แต่กลับเป็นกังวลว่าการที่ฝ่าบาทไล่นางกลับไปเช่นนี้จะยิ่งกลายเป็นการกระตุ้นความไม่พอใจของฮองเฮาเสียมากกว่า ถ้าฮองเฮารู้ถึงความผิดของฝ่าบาทในเวลานี้ ฝ่าบาทจะต้องตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต
เมื่อมีเรื่องใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นกับองค์ชายใหญ่ เขาย่อมไม่มีทางยอมปล่อยให้มันผ่านไปเงียบๆ แน่ ทันทีที่เขาถูกปล่อยตัวออกมา เขาจะต้องมาหาเรื่องฝ่าบาทอย่างแน่นอน
หากพิจารณาจากการที่เขาพยายามเอาตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยไปแล้วละก็ ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในคราวนี้จะดูไม่เข้าท่าเท่าใดนัก
เงาทมิฬรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีบางอย่างผิดปกติกับอารมณ์ของฝ่าบาท ตั้งแต่ที่เขาได้ยินว่าฮองเฮาต้องการข้ารับใช้ของตัวเอง บนใบหน้าเล็กๆ ดูสูงส่งนั้นก็เต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างที่สุด และยังคงเป็นเช่นนั้นไปจนกระทั่งถึงเวลาที่เขาเข้านอน
เงาทมิฬกลัวว่าเขาจะผลีผลามลงมือทำอะไร แต่น่าแปลกใจที่เด็กชายกลับไม่ได้มีท่าทางผิดปกติอันใด เขายังทำในสิ่งที่เขามักจะทำทุกวัน แต่ดวงตาของเขากลับค่อยๆ ดำทะมึนและดูคุกคามขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้ายังกังวลเรื่ององค์ชายใหญ่อยู่หรือ” มือทั้งสองข้างของเฮ่อเหลียนเวยเวยค้ำอยู่ใต้คางตัวเอง นางกำลังมองเด็กชายตัวน้อยที่นอนอยู่บนเตียง จากนั้นนางจึงยิ้มขึ้นและเอ่ยว่า “อันที่จริง ปัญหานี้แก้ไขได้ง่ายดายยิ่งนัก ตราบใดที่เจ้าสัญญาว่าจะยอมกลับไปกับข้า ข้าจะหายไปจากโลกนี้ทันที จากนั้นองค์ชายใหญ่จะไม่มีวันได้เห็นข้าอีก ว่าอย่างไร มันเหมือนการปาหินก้อนเดียวได้นกสองตัวเลยมิใช่หรือ”
ทันทีที่เด็กชายตัวน้อยได้ยินคำว่า ‘หายไป’ มือเล็กๆ ที่อยู่ใต้ผ้าห่มของเขาก็กำแน่นเข้าหากัน แต่ใบหน้าของเขากลับยังคงดูเยือกเย็นและไม่แยแสขณะตอบว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วนี่ว่าให้เลิกคิดเรื่องเขาได้แล้ว หลับตานอนได้แล้ว”
เขาสั่งข้าอีกแล้วหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยตระหนักขึ้นมาได้ว่าแม้เด็กคนนี้จะยังเด็กมาก แต่เขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในการออกคำสั่งกับคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไร สถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นถึงเพียงนี้แล้ว เขายังไม่คิดที่จะกลับไปกับนาง เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ หรือว่าเขายังไม่เชื่อใจนางมากพอ
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วด้วยความสับสน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงกรนเบาๆ ก็ได้ยินก้องไปทั่วห้องบรรทมนั้น
ทันใดนั้นเด็กชายตัวน้อยก็ลืมตาขึ้นมาและมองไปที่ใบหน้าด้านข้างของเฮ่อเหลียนเวยเวย ความเย็นชาปรากฏขึ้นในดวงตาสีดำของเขาระหว่างที่เขาจ้องมองดูนาง…
ท้องฟ้ายามราตรีแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น
ถึงอากาศจะหนาวจัด แต่มันกลับยิ่งทำให้องค์ชายใหญ่อยากสนุกมากขึ้น
เขาไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายนอกเลยแม้แต่เรื่องเดียวระหว่างที่ถูกกักบริเวณอยู่ เขาคิดเพียงแค่ว่าเรื่องทุกอย่างย่อมคลี่คลายลงได้ในไม่ช้าเพราะความช่วยเหลือจากผู้เป็นมารดา
แต่เขาก็ไม่สามารถควบคุมตัณหาของตัวเองได้ ดังนั้นเขาจึงเรียกนางกำนัลคนที่เคยนำอาหารไปส่งให้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้ามาพบ แล้วส่งยาให้นางหนึ่งห่อ เขาสั่งว่า “วันพรุ่งนี้เจ้าจงนำสิ่งนี้ไปใส่ในอาหารของผู้หญิงคนนั้น แล้วพานางมาที่นี่”
นางกำนัลคนนั้นมองยา และรู้ว่าเขาต้องการทำอะไร ทันใดนั้นนางจึงรู้สึกหึงหวงขึ้นมา นางถามว่า “ฝ่าบาท ผู้หญิงคนนั้นมีอะไรดีหรือเพคะ นางดูแก่กว่าท่านเสียอีก”
องค์ชายใหญ่ไม่สนใจเรื่องอายุของนาง สิ่งที่เขาต้องการคือท่าทางกระฉับกระเฉงของนางต่างหาก แต่เขาย่อมไม่พูดมันออกมา จากนั้นเขาจึงเริ่มเกลี้ยกล่อมนางกำนัลคนนั้นว่า “ข้าเพียงแค่ต้องการสอนบทเรียนให้กับเจ้าหนูสารเลวนั่นเท่านั้น คราวนี้ที่ข้าต้องพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ก็เพราะเขา หากข้าไม่ได้ล้างแค้น ข้าย่อมไม่สามารถฝืนกลืนความรู้สึกนี้ลงไปได้อย่างแน่นอน!”
แน่นอนว่านางกำนัลคนนั้นย่อมไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้นัก เมื่อเห็นเขาพยายามจูบนางต่อ นางก็ค่อยๆ โอบแขนรอบตัวเขา
ร่างของทั้งสองเอนหายเข้าไปหลังพุ่มไม้หนาริมแม่น้ำระหว่างที่แสดงความรักกันอย่างเร่าร้อน
เดิมทีฮ่องเต้ตั้งใจว่าจะเข้านอน แต่เพราะคำร้องจากบรรดาเสนาบดีเหล่านั้นทำให้เขาโมโหจนนอนไม่หลับ ทันใดนั้นก็มีข้ารับใช้เข้ามารายงานเขาว่าพบร่องรอยของกิเลนอัคคีในวังหลวง
ดวงตาของฮ่องเต้เป็นประกายในทันใด เขาถามเสียงดังว่า “กิเลนอัคคีอยู่ที่ไหน รีบพาข้าไปที่นั่นเดี๋ยวนี้!”
กิเลนอัคคีเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่หายากในแผ่นดิน
ใครๆ ต่างก็ต้องการฝึกฝนสัตว์อสูรตัวนี้ให้เชื่องเพื่อควบคุมมันทั้งนั้น
แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ไม่มีข้อยกเว้น ความคิดที่ว่าตัวเองจะได้เป็นเจ้าของกิเลนอัคคีทำให้อารมณ์บูดบึ้งที่เขามีมาตลอดสองวันหายไป หลงเหลือไว้ก็เพียงแค่ความตื่นเต้นที่จะได้เห็นกิเลนอัคคีเท่านั้น
ข้ารับใช้ไม่กล้าชักช้าแม้แต่นิดเดียว ฮ่องเต้ไม่ได้ขึ้นประทับบนหลังมังกรหรือหงส์เลยด้วยซ้ำ เขาทำเพียงแค่คว้าเสื้อคลุมขนสัตว์ขึ้นมาสวมก่อนจ้ำออกจากห้องทรงอักษรทางทิศใต้ แล้วบึ่งไปที่แม่น้ำทันที
อากาศภายนอกในฤดูหนาวนั้นหนาวจัด โดยเฉพาะเวลากลางคืน หิมะสีขาวแผ่คลุมไปทั่วทุกอาณาบริเวณ แม้กระทั่งเวลาพูดคุยกันก็ยังเห็นไอหมอก
“กิเลนอัคคีอยู่ที่ไหน” ฮ่องเต้ถาม เขาดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงของเขาแปลกไปกว่าทุกที
บรรดาข้ารับใช้เหล่านั้นก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน พวกเขาชี้ไปที่กองฟางที่อยู่ตรงหน้า และตอบว่า “มันเพิ่งข้ามแม่น้ำไปอีกฟากพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นมันกับตา มันมีขนสีแดงราวกับเปลวเพลิง แผ่นดินสะเทือนเลือนลั่นทุกครั้งที่มันก้าวเดิน แม้กระทั่งน้ำแข็งในแม่น้ำก็ยังละลายไปไม่น้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีเการู้สึกสงสัย เหตุใดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างกิเลนอัคคีถึงได้ปรากฏตัวขึ้นในวังหลวงล่ะ
ต่อให้มันรู้สึกกระหายและต้องการที่จะดื่มน้ำ แต่มันก็ไม่น่าจะปรากฏตัวขึ้นในอุทยานหลวงเช่นนี้ได้
อย่างไรกิเลนอัคคีก็เกลียดชังมนุษย์เป็นที่สุด
แต่ขันทีเกาไม่ได้พูดความคิดของตัวเองออกไป เขาประคองฮ่องเต้ พร้อมกับเอ่ยชมไม่ขาดปากว่า “ฝ่าบาทช่างทรงอำนาจบารมียิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ กิเลนอัคคีตัวนี้คงรู้ว่าภายในราชสำนักของเรามีโอรสแห่งสวรรค์ที่แท้จริงอยู่ ดังนั้นมันถึงได้มาหาผู้เป็นนายของมันถึงที่นี่!”
แม้ฮ่องเต้จะไม่ได้ตอบ แต่สีหน้าของเขาก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาพอใจกับคำพูดของขันทีเกาอย่างมาก
แต่ร่างเล็กๆ ที่ยืนอยู่ในความมืดกลับยิ้มเยาะขึ้นมาทันที เขาเผยรอยยิ้มล้อเลียนออกมา และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลึกล้ำชั่วร้ายว่า “เจ้าได้ยินหรือเปล่า พวกมันบอกว่าเจ้ากำลังตามหาผู้เป็นนายอยู่”
เวลานี้กิเลนอัคคีอยู่ในร่างมนุษย์ เส้นผมสีแดงอันงดงามบนศีรษะของเขาซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมสีดำ เขาคำรามขึ้นด้วยรอยยิ้มอันตรายว่า “จริงอยู่ที่ข้ามาหาผู้เป็นนาย แต่ไม่ใช่เขา นายท่าน ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมท่านถึงต้องการให้ข้าเผยร่างเพียงแค่ครั้งเดียว ข้าสามารถช่วยท่านฆ่าองค์ชายใหญ่ที่ท่านเกลียดชังได้ ทำไมท่านต้องอุตส่าห์ล่อฮ่องเต้มาที่นี่ด้วยหรือขอรับ เรื่องนี้จำเป็นด้วยหรือขอรับ”
“ถ้าเจ้าฆ่าเขา เลือดเขาก็จะเปรอะไปทั่ว กลายเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โต” เด็กชายตัวน้อยจัดแขนเสื้อตัวเอง ดวงตาของเขาเย็นเฉียบขณะตอบว่า “วันหนึ่งพวกมันจะรู้ว่าข้าคือเจ้านายของเจ้า หากเจ้าถูกตั้งข้อหาฆ่าองค์ชาย ทุกคนจะต้องสงสัยข้าอย่างแน่นอน มีวิธีการมากมายที่จะใช้ฆ่าใครสักคนได้ ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องใช้หนทางอันโง่เขลาเช่นนั้น”
กิเลนอัคคีเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง และถามว่า “ฝ่าบาท ท่านวางแผนที่จะ…”
“ให้เขาจบชีวิตตัวเองเสีย” เด็กชายตัวน้อยค่อยๆ หันหน้ากลับมา ใบหน้าเล็กๆ อันหล่อเหลาของเขามีความชั่วร้ายปรากฏให้เห็นเล็กน้อย
กิเลนอัคคียังไม่เข้าใจ แต่เสียงบนพื้นหญ้าก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
ฮ่องเต้และคนของเขาอาจกลัวว่าพวกตนจะทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตื่นตกใจ ดังนั้นพวกเขาจึงค่อยๆ ก้าวเท้าอย่างระมัดระวังมุ่งหน้าสู่แม่น้ำสายนั้น
ชายที่เดินนำอยู่หน้าขบวนเห็นพุ่มไม้สั่นไหว เขารีบชี้ไปทางนั้นทันที
ฮ่องเต้กลั้นหายใจ เขาขยับเข้าไปใกล้มันอย่างเงียบๆ
จากนั้นฮ่องเต้ก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยขึ้นว่า “นอกจากกักบริเวณข้าแล้วเสด็จพ่อจะทำอะไรได้อีกหรือ ข้ารู้ว่าเขากำลังหลงพระสนมมู่หรงจนโงหัวไม่ขึ้น ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรเขาก็พร้อมที่จะทำตามทุกอย่าง ข้าว่าเสด็จพ่อคงเสียสติไปแล้วกระมัง วันหนึ่ง ข้าจะ…”