“เรื่องนี้จะเป็นความผิดของเงาทมิฬได้อย่างไร” หนานกงเลี่ยมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับยิ้มน้อยๆ “ข้าเป็นคนพาผู้หญิงคนนี้มาที่นี่ ถ้าเจ้าอยากโทษใครสักคนก็มาโทษข้านี่ ชิๆๆ หน้าตาเหมือนกันนี่มีประโยชน์จริงเชียว ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่มีทางพานางมายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าแน่ อาเจวี๋ย เอาอย่างนี้ดีไหม ในเมื่อข้าเป็นคนก่อเรื่อง เช่นนั้นข้าก็จะรับผิดชอบเอง ข้าจะพานางออกไปจากวังหลวงเดี๋ยวนี้ ข้าคิดว่าเจ้ากับคุณหนูเวยเวยคงมีเรื่องให้พูดคุยกันมากทีเดียว ดังนั้นพวกเราไม่รบกวนก็แล้วกัน”
หนานกงเลี่ยพูดพร้อมกับกางแขนออก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาอย่างเย็นชา
สายตาที่เต็มไปด้วยคำเตือนนั้นทำให้มือของหนานกงเลี่ยชะงักก่อนจะตกลงข้างตัว “อาเจวี๋ย ถ้าอย่างนี้ก็ไม่เอา อย่างนั้นก็ไม่เอา เจ้าอยากให้ทำอย่างไรกันแน่”
“ข้าไม่ต้องการให้ทำอะไรทั้งนั้น” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเย็นชามาก เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแสว่า “มันก็แค่ ไม่เคยมีใครรอดไปได้โดยไม่เจ็บตัวหลังจากแตะต้องข้า”
หนานกงเลี่ยผงะ “อาเจวี๋ย เจ้าคงไม่ได้หมายความตามนั้นจริงๆ หรอกใช่ไหม อย่างไรนางก็จูบเจ้าแค่ประเดี๋ยวเดียวเอง…”
“เจ้าออกไปได้แล้ว” น้ำเสียงราบเรียบของเด็กหนุ่มขัดจังหวะคำพูดของหนานกงเลี่ย
หนานกงเลี่ยรู้สึกสับสน “อาเจวี๋ย เหตุผลที่ข้ามาหาเจ้าในครั้งนี้เพราะว่าข้ามีธุระส่วนตัวกับเจ้าต่างหาก เนื้อคู่…”
“วันนี้ข้าไม่อยากคุยเรื่องส่วนตัว” เด็กหนุ่มยิ้มให้เขา แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับไม่มีความอบอุ่นอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว “เจ้าจะออกไปเอง หรือจะให้ข้าเตะเจ้าออกไป”
หนานกงเลี่ยรู้สึกเสียววาบไปทั้งหนังศีรษะ เขากระแอมออกมาว่า “ข้าออกไปเอง แต่มีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง”
“ว่ามา” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วอย่างเริ่มหมดความอดทน แต่เพราะอายุของเขา มันจึงยิ่งทำให้เขาดูน่ามองเป็นอย่างมาก
“ให้ข้ายืมองครักษ์จากวังปีศาจของเจ้ามาสักคนสิ” หนานกงเลี่ยเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ออกมา
เด็กหนุ่มไม่ได้มองมาที่เขาอีก “ไปเลือกเองก็แล้วกัน ทีนี้เจ้าก็ออกไปได้แล้ว”
หลังจากได้ในสิ่งที่ต้องการ หนานกงเลี่ยก็ไม่คิดที่จะอยู่ต่อ เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างจนปัญญา แล้วหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
อันที่จริงเขาอยากอยู่ต่อเพื่อรอชมว่าสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางใด แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนแต่ประการใด อย่างไรเสียหลังจากนี้เขาก็มีเวลาเหลือเฟือที่จะรับฟังข่าวลือเรื่องนี้…
การจากไปของหนานกงเลี่ยราวกับได้หอบเอาความอบอุ่นเดียวที่หลงเหลืออยู่ในวังหลวงไปด้วย
โชคดีที่ระยะเวลาสั้นๆ นั้นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับมาควบคุมลมหายใจและสงบสติอารมณ์ของตัวเองลงได้
เด็กสาวสังเกตเห็นเช่นกันว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางจึงยื่นมือออกไปกระตุกแขนเสื้อของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “ฝ่าบาท?”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันหน้ากลับไป น้ำเสียงของเขาไพเราะน่าฟัง “หืม”
“ท่านโกรธหม่อมฉันหรือเพคะ” เด็กสาวลดเสียงลง
ใบหน้าด้านข้างอันสง่างามของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ทำไมข้าต้องโกรธเจ้าด้วยล่ะ ข้าเพียงแค่ร้อนใจนิดหน่อยเท่านั้น”
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ คราวหน้าหม่อมฉันจะไม่ทำตัวสะเพร่าเช่นนี้อีก” เด็กสาวทำตาโตเหมือนกำลังให้สัญญากับเขา
เด็กหนุ่มพยักหน้า เขาดูตามใจนางอย่างมาก
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็พลันว่างเปล่า ทุกอย่างที่นางรู้สึกมีเพียงแค่ความหนาวเย็น นางรู้สึกหนาวมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้
นางกำลังคิดว่าบางทีนางน่าจะออกไปก่อน
ไปหามุมสักมุมเพื่อดูแลบาดแผลของตัวเองหรืออะไรทำนองนั้น แล้วจากนั้นจึงค่อยกลับมาสู้ใหม่อีกครั้งเพราะมันเจ็บปวดมากเหลือเกิน เจ็บเสียจนนางหายใจไม่ออก
เด็กสาวรู้สึกอึดอัด อาจเป็นเพราะมีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย นางชำเลืองมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยบ่อยครั้ง
เด็กหนุ่มสังเกตเห็นสายตาของนางเช่นกัน เขาเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “เจ้าเองก็ควรกลับไปได้แล้ว ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
เด็กสาวไม่อยากกลับ ไม่รู้ว่าทำไม แต่นางรู้สึกอึดอัดใจมาตั้งแต่ตอนที่นางได้พบผู้หญิงคนนี้ที่หน้าตาเหมือนกับนางทุกประการ
ที่ต่างคือผู้หญิงคนนี้ดูโตกว่านาง และ… นางไม่เคยพบเจอคนที่ยังสามารถทำตัวไม่สะทกสะท้านได้แม้ในขณะที่องค์ชายกำลังเดือดดาล
“คุณหนูเวยเวย ข้าน้อยจะไปส่งขอรับ” เงาทมิฬย่อมเข้าใจจุดประสงค์ของผู้เป็นนายดี เขาเดินเข้าไปหาเด็กสาวและพยายามที่จะนำทางให้นาง
เด็กสาวเคลื่อนสายตาขึ้น ดวงตางดงามของนางเป็นประกายขณะที่นางมองไปยังไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “นางไม่ได้ตั้งใจนะเพคะฝ่าบาท อย่าโหดร้ายกับนางเกินไปเลย”
“ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบการหลั่งเลือด” เด็กหนุ่มดูห่วงใยนางอย่างมากพร้อมกับส่งยิ้มให้กับนาง “ตามเงาทมิฬไปได้แล้ว”
ในที่สุดเด็กสาวก็พยักหน้า แต่นางก็ยังเผลอหันหน้ากลับไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้ง
ประตูวังหลวงปิดลง
ภายในห้องอันว่างเปล่าเหลือแค่เฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่กับเด็กหนุ่มเพียงสองคน
“เจ้าได้ยินแล้ว นางไม่ชอบเลือด” เด็กหนุ่มเดินไปที่โต๊ะไม้พร้อมกับหยิบกาน้ำชาขึ้น แล้วรินชาลงในถ้วย “ดังนั้นข้าจะไม่ทำอะไรเจ้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงส่งเสียงรับ จู่ๆ นางก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
บัดซบ!
พอเป็นอีกคนเจ้าก็ว่าง่ายขึ้นมาถึงเพียงนี้เชียวหรือ!
ทำไมเวลาที่เขาอยู่กับนาง เขาถึงเอาแต่กลั่นแกล้งนางล่ะ?!
อย่าว่าแต่จะเชื่อฟังนางเลย ปกติแล้วถ้าเขาไม่พูดจาปากคอเราะร้าย เขาก็มักจะทำตัวอวดดีกับนาง เขาเคยอ่อนโยนกับนางเสียเมื่อไหร่?!
“แล้วเจ้าล่ะ มีอะไรจะพูดหรือเปล่า” เด็กหนุ่มยกถ้วยชาขึ้นมาจรดริมฝีปาก แต่แล้วจู่ๆ นิ้วเขาก็ชะงักไปราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ เขาไม่ได้ดื่มชา แต่กลับวางมันไว้ที่เดิม
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มแล้วส่ายหน้า
เดิมทีนางมีเรื่องอยากจะพูดมากมาย
แต่ใครจะรู้เล่าว่าเศษชิ้นส่วนชิ้นที่สามจะมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
อย่างไรนางก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน และนิ้วของนางที่จิกเข้าหากันนั่นก็เริ่มเจ็บขึ้นมาแล้ว
ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็หมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะพูด…
เด็กหนุ่มกำถ้วยชาในมือแน่น และหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับข้ามากกว่านี้หรือ”
ความเงียบ ความเย็นชา และความเฉยเมยของนางล้วนแต่กลายเป็นหนามที่ทิ่มแทงหัวใจเขา
นอกจากความหนาวเย็นภายในร่างแล้ว เขาก็ไม่รู้สึกถึงอะไรอีก
ตุ้บ!
เด็กหนุ่มยกมือขึ้น โซ่เหล็กปรากฏขึ้นในสายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยตกตะลึง
เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปใกล้นาง ใบหน้าของเขางดงามราวกับประติมากรรมจากสวรรค์ มันทั้งสมบูรณ์แบบและไร้ที่ติ แต่คำพูดที่ออกมาจากปากเขากลับทิ่มแทงหัวใจนาง “ในเมื่อเจ้าไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เช่นนั้นข้าก็คงจับเจ้ามอบเป็นของขวัญให้คนอื่นได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นพร้อมกับมองเข้าไปในดวงตาไร้อารมณ์คู่นั้น หัวใจของนางรู้สึกราวกับถูกใครบางคนบีบเอาไว้ “เจ้าเกลียดข้าแล้วหรือ”
“เจ้าประเมินตัวเองเอาไว้สูงเกินไปจริงๆ” เด็กหนุ่มหัวเราะเย็นชาพร้อมกับหันหลังให้นาง
เสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยลึกล้ำ “ข้าไม่ได้ประเมินตัวเองไว้สูงเกินไป ข้าเพียงแค่ไม่อยากเห็นเจ้าไม่มีความสุขถึงเพียงนี้ต่างหาก”
แผ่นหลังของเด็กหนุ่มแข็งทื่อในทันที
นางพยายามทำให้เขาสับสนอีกแล้ว
นางเก่งเรื่องพวกนี้จริงๆ
เมื่อแปดปีที่แล้วตอนที่นางจูบเขา เขารู้สึกได้ว่าร่างทั้งร่างของเขาจะค่อยๆ อุ่นขึ้น และเขาต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดในโลกให้กับนาง
สำหรับนาง เขาคงทำแต่เรื่องโง่เขลาเอาไว้มากเกินไป
เขาถึงขั้นสร้างกรงทองคำบริสุทธิ์ขึ้นมาเพื่อทำให้นางมีความสุข
แต่ที่จริง ในเวลานั้นเขารู้มานานแล้วว่าเขาไม่มีทางได้หัวใจของนาง แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถเอาตัวนางมาเป็นของเขาได้
เพราะเขาคิดว่าอย่างน้อยนางก็น่าจะเป็นห่วงเขาอยู่เล็กน้อย
แต่เขาเพิ่งจะมาตระหนักได้ในตอนหลังว่าตราบใดที่เศษชิ้นส่วนอย่างเขาไม่กลับไปพร้อมนาง นางก็จะหายตัวไปทันทีโดยไม่ลังเล อีกทั้งนางยังไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา
ความเกลียดชังกัดกร่อนกระดูกลงไปถึงในหัวใจของเขา และดวงตาของเด็กหนุ่มก็ถูกความมืดรุกล้ำเข้าอีกครั้ง สายตาลึกล้ำและเยือกเย็นของเขางดงามชวนมอง แต่เพราะพวกมันถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็ง พวกมันถึงได้ส่องประกายเจิดจ้าเสียจนสามารถแช่แข็งได้แม้กระทั่งส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจมนุษย์
เขาจ้องมองนาง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเงียบ…