“ใครบอกว่าข้าไม่มีความสุข” เด็กหนุ่มหัวเราะดังลั่น ใบหน้าของเขาหล่อเหลาอย่างมาก “เจ้าไม่เห็นหรือ ข้ามีความสุขดี ตอนนี้ข้ามีคนอยู่ข้างๆ แล้ว เทียบกับเจ้าแล้วนางว่าง่ายยิ่งนัก อีกทั้งยังเด็กกว่ามากด้วย”
เลือดในกายของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลายเป็นน้ำแข็ง แต่มุมปากของนางกลับวาดขึ้นเป็นเส้นโค้ง “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีรสนิยมชอบคนอ่อนกว่า”
“พวกข้าอายุไล่เลี่ยกัน” เด็กหนุ่มตอบเสียงเรียบ “เจ้าแค่แก่เกินไป หรือข้าควรจะบอกว่าเจ้าอายุเท่าเดิมมาตลอดดี เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ตอนนั้น แปดปีเป็นเพียงแค่พริบตาเดียวสำหรับเจ้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มหน้าพร้อมกับชำเลืองมองโซ่เหล็กที่อยู่ใต้เท้า “แล้วเจ้าจะส่งข้าไปให้ใครหรือ”
“เจ้าอยากให้ข้าส่งไปหาใครล่ะ” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชา
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในใจของนาง ทำให้นางหลุดหัวเราะออกมาทันที “ข้าคิดว่าหนานกงเลี่ยก็คงไม่เลว ก็อย่างที่เจ้าเห็น เขาหน้าตาหล่อเหลา เป็นมิตรต่อสาวๆ และยังมีอำนาจบารมีเหมือนกัน”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของนาง สายตาของเด็กหนุ่มก็เริ่มเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ “ข้าประเมินเจ้าไว้ต่ำเกินไปจริงๆ อำนาจบารมีหรือ หึ”
“องค์ชายเป็นคนถามข้า ข้าก็แค่ตอบคำถามเท่านั้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบพร้อมกับก้มหน้าลงหยิบโซ่เหล็กเส้นนั้นขึ้นมา นางจัดแจงมัดตัวเองแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “เอาล่ะ ที่นี้เจ้าก็ส่งข้าไปได้แล้ว”
เด็กหนุ่มมองนางด้วยสายตายากจะเข้าใจ แล้วเอ่ยขึ้นเสียงต่ำว่า “หลังผ่านไปแปดปี นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการพูดกับข้าหรือ เจ้ามัน… เฮ้อ ช่างเถอะ เงาทมิฬ พาตัวนางออกไป”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
พูดตามตรง นางรู้สึกตกใจเล็กน้อย
จากการคาดการณ์ของนาง เขาควรจะให้นางอยู่ที่นี่ต่างหาก
ทำไมมันถึงเป็นตรงกันข้ามล่ะ
บางทีนางอาจจะคิดง่ายเกินไป
หลังจากผ่านมาหลายปี ย่อมมีหลายสิ่งหลายอย่างที่นางไม่สามารถคาดเดาได้
นางไม่สามารถอ่านใจเด็กหนุ่มคนนี้ได้อย่างแม่นยำอีกต่อไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกจับโยนออกมาจริงๆ แต่เพราะโซ่ที่มัดอยู่รอบตัว นางจึงดึงดูดความสนใจจากผู้คนภายในวังหลวงได้เป็นอย่างดี
แต่นางจะไปจากที่นี่เช่นนี้ไม่ได้ หลังจากคิดได้เช่นนั้น นางก็พูดกับเงาทมิฬว่า “เมื่อครู่นี้เจ้านายของเจ้าบอกว่าเขาต้องการมอบข้าให้กับหนานกงเลี่ย วิหารบวงสรวงอยู่ทางไหนหรือ”
เงาทมิฬมองนาง แต่เขาไม่ได้ตอบ ใบหน้าของเขาดูเครียดเล็กน้อย
“เงาทมิฬน้อย หากเจ้านายของเจ้าจำข้าได้ เจ้าก็ต้องจำข้าได้เช่นกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดกลั้วหัวเราะ “ตอนนั้นเจ้ายังเรียกข้าว่าพี่เวยอยู่เลย”
เงาทมิฬชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับมามองนาง “ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้วขอรับ”
“อะไรไม่เหมือนเดิมหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกริมฝีปากบางขึ้น
เงาทมิฬหลุบตาลง “ฝ่าบาทตกหลุมรักคนอื่นแล้ว มีหลายสิ่งที่ท่านไม่ควรทำอีกต่อไป ท่านควรเชื่อฟังคำพูดของเขาสักนิด และสถานการณ์ของท่านจะดีขึ้นขอรับ”
“เงาทมิฬน้อย ขอบใจที่เจ้าเป็นห่วงพี่เวยนะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยืดตัวขึ้น โซ่เหล็กส่งเสียงดังเคร้ง “ต่อให้เขาตกหลุมรักคนอื่นแล้ว แต่ก็ยังมีหลายสิ่งที่ข้าจำต้องทำ แต่ข้าจะพยายามเชื่อฟังเขาให้มากขึ้น”
เงาทมิฬลังเลเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นว่า “ท่านจะไปที่พักของนายน้อยเลี่ยจริงๆ หรือขอรับ”
“ฝ่าบาทอยากให้ข้าไปที่นั่น ถ้าข้าไม่ไปแล้วเขาเกิดโมโหขึ้นมาล่ะ” นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยกำอยู่รอบโซ่เหล็กขณะคิดถึงเรื่องบางอย่างอยู่
ต่อให้ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่ด้วยเหตุผลบางประการก็ทำให้เขารู้สึกว่าฝ่าบาทคงยิ่งไม่พอใจแน่ถ้าพี่เวยไปหานายน้อยเลี่ยจริง
เงาทมิฬไม่ได้พูดความคิดนี้ออกมา แต่เขากลับพานางไปส่งที่วิหารบวงสรวง
หนานกงเลี่ยอยู่ในชุดผู้บวงสรวงและกำลังแสร้งทำเป็นพยากรณ์บางอย่างอยู่ เมื่อเขาเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้ามาพร้อมกับโซ่ คิ้วเรียวของเขาก็เลิกขึ้น “นี่มันหมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าอยากได้องครักษ์จากวังปีศาจมิใช่หรือ ข้าก็นับว่าเป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่นานจนนางเริ่มรู้สึกเมื่อย นางจึงหยิบเก้าอี้มาให้ตัวเองนั่ง
หนานกงเลี่ยจ้องโซ่ที่อยู่รอบนาง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความขี้เล่น เขาคุ้นเคยกับโซ่ประเภทนี้อย่างมาก มันทำขึ้นจากโลหะน้ำแข็งทมิฬ เขาเคยเซ้าซี้ขออาเจวี๋ยมาหลายครั้ง แต่เขาไม่เคยมอบมันให้กับเขา แต่ตอนนี้มันกลับถูกนำมาใช้มัดผู้หญิงคนนี้แทน…
“นายน้อยเลี่ย ฝ่าบาทบอกว่าถ้าท่านไม่พอใจ ท่านจะส่งนางไปที่ไหนก็ได้ขอรับ” เงาทมิฬอ้าปากพูดทันที เขาคิดว่าเมื่อพูดเช่นนี้แล้วอีกคนจะเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อ อย่างไรเสียนายน้อยเลี่ยก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เข้าใจองค์ชายดี
แต่คาดไม่ถึงเลยว่าหนานกงเลี่ยจะหัวเราะออกมา “ทำไมข้าจะไม่พอใจล่ะ อาเจวี๋ยส่งสาวงามมาให้ข้าทั้งที ข้ามีความสุขไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว” เขาจะให้นางอยู่ที่นี่ แม้จะทำเพื่อโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬเส้นนี้ก็ตาม
“นายน้อยเลี่ย” เงาทมิฬดูอยากพูดอะไรต่อ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “เงาทมิฬน้อย ในเมื่อนายน้อยเลี่ยพอใจ เจ้าก็ควรกลับไปรายงานเขาได้แล้วว่าภารกิจสำเร็จ”
“ใช่ รีบกลับไปรายงานเขาเสีย” รอยยิ้มบนใบหน้าของหนานกงเลี่ยสว่างไสวอย่างมาก “อย่าลืมขอบคุณอาเจวี๋ยแทนข้าด้วยล่ะ”
เมื่อเห็นเช่นนี้ เงาทมิฬจึงทำได้เพียงรับคำอย่างขึงขังว่า “ขอรับ”
หลังจากที่เขากลับไป หนานกงเลี่ยจึงหันหน้ามาทางเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาใช้นิ้วยาวเชยคางของนางขึ้นพลางหัวเราะออกมา “ไหนบอกข้ามาสิ เจ้าทำอะไรเป็นบ้าง”
“ซ้อมคน” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบเขาพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย
รอยยิ้มของหนานกงเลี่ยแข็งค้าง จากนั้นเขาจึงยิ้มขึ้นอีกครั้ง “ตอนนั้นเจ้าคิดอะไรอยู่ ทำไมเจ้าถึงพุ่งเข้าไปจูบเขาเช่นนั้น เจ้าไม่กลัวว่าอาเจวี๋ยจะฆ่าเจ้าตรงนั้นหรือ”
“เขาไม่ทำหรอก” อย่างน้อยเฮ่อเหลียนเวยเวยก็มั่นใจอยู่เรื่องหนึ่ง แต่กับเรื่องบางเรื่องก็ยังถือว่าเกินมือนาง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เขาตกหลุมรักคนอื่น…
ดวงตาหงส์ของหนานกงเลี่ยมีเสน่ห์ยั่วยวนอย่างร้ายกาจ “ระหว่างเจ้ากับอาเจวี๋ยเคยมีอะไรเกิดขึ้นหรือ”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น” เรื่องของเศษชิ้นส่วนวิญญาณย่อมสมควรเป็นความลับสำหรับผู้อื่น ดังนั้นน้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงยังคงสงบเยือกเย็น
หนานกงเลี่ยหัวเราะเย็นชา “เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือ ระหว่างเจ้ากับอาเจวี๋ย...”
“ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ข้าทำเป็น” เฮ่อเหลียนเวยเวยขัดเขาขึ้นอย่างไม่แยแส “ข้าเก่งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ยกตัวอย่างเช่นการเอาใจชิงจ้าน ข้าเก่งเรื่องพวกนี้ที่สุด”
หนานกงเลี่ยชะงักไปทันที เขาเริ่มพูดตะกุกตะกัก “ข้า ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่”
“ขั้นตอนแรกในการเอาใจผู้หญิงคือการมอบดอกไม้ให้กับนาง” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว “เจ้าเคยมอบดอกไม้ให้ชิงจ้ายหรือเปล่า”
ใบหน้าของหนานกงเลี่ยเปลี่ยนเป็นสีแดง “ฮ่าๆๆ! ทำไมข้าจะต้องให้เด็กสาวคนนั้นด้วย…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ตอบ นางทำเพียงมองเขา
หนานกงเลี่ยลดเสียงลงเหมือนกำลังพูดกับตัวเอง “ข้าควรให้ดอกไม้อะไรกับนางดีหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านาง มุมปากของนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม นางคิดในใจว่า ถึงข้าจะไม่สามารถรับมือกับองค์ชายได้ แต่ข้าก็ยังรับมือกับเด็กวัยรุ่นที่ยังโตไม่เต็มที่อย่างพวกเจ้าได้!
“กุหลาบ ให้กุหลาบหนึ่งดอกหมายถึงคนคนนั้นคือหนึ่งเดียวของเจ้า ให้สามดอกหมายถึงข้ารักเจ้า เจ้าว่าอย่างไร เจ้าจะให้นางกี่ดอกดี”
ดวงตาของหนานกงเลี่ยสั่นสะท้าน “ข้ารักเจ้าอะไรกัน ข้าพูดเช่นนั้นไม่ได้หรอก ให้ดอกเดียวก็แล้วกัน”
“ดอกเดียวก็ดอกเดียว” เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกยิ้มมุมปาก สำหรับนายน้อยเสเพลเช่นเขา กุหลาบหนึ่งดอกอาจจะมีความหมายมากกว่าสามดอกก็ได้…