ตอนที่ 630 ตกบันได
ใบหน้าของทุกคนรอบโต๊ะอาหารพลันมืดมนลง ยกเว้นแม่ไป๋
ดวงตาของไป๋ซวงไม่ได้มืดบอด ดังนั้นหล่อนจึงมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
ถึงกระนั้นหล่อนก็ไม่สนใจ ตราบใดที่ฟางจั๋วหรานฟังคำพูดสมเหตุสมผลของหล่อน เขาและหลินม่ายก็จะต้องมีปัญหาต่อกัน
หล่อนก็จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองได้ทีละนิด
แม้เรื่องราวระหว่างหล่อนและฟางจั๋วหรานจะเป็นไปไม่ได้ แต่หล่อนก็ไม่อาจปล่อยให้หลินม่ายมีชีวิตที่ดีได้
ทันทีที่หล่อนพูดจบ พ่อไป๋ก็ตบตะเกียบกับโต๊ะอย่างแรง พร้อมกับดวงตาวาวโรจน์ “ไป๋ซวง! หุบปาก! หากเธอพูดอีกคำหนึ่ง ฉันตบปากเธอแน่!”
ในที่สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าหลินม่าย พ่อไป๋กลับบอกว่าเขาต้องการตบไป๋ซวง ซึ่งทำให้หล่อนเสียหน้าอย่างมาก
ใบหน้าของหล่อนพลันแดงสลับขาวซีด อับอายมากจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
จากนั้นก็มองไปทางแม่ไป๋อย่างน่าสังเวชราวกับกำลังถูกผู้อื่นรังแก
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นยกเว้นแม่ไป๋ต่างขมวดคิ้วด้วยความขยะแขยง
มันน่าขยะแขยงเหลือเกินที่ต้องมาเจอหน้าคนตอแหลแบบนี้ทั้งวัน!
หัวใจของแม่ไป๋เจ็บปวด หล่อนกอดไป๋ซวงไว้แน่นในอ้อมแขน ก่อนเงยหน้าขึ้นและพูดกับสามีด้วยความไม่พอใจ “ซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไรผิด ทำไมคุณต้องอารมณ์เสียขนาดนั้น? ระดับเศรษฐกิจของแผ่นดินใหญ่ของเราเป็นยังไง? และระดับเศรษฐกิจของฮ่องกงเป็นยังไง? เราไปยังฮ่องกงได้หรือ? พอม่ายจื่อไปถึงฮ่องกง หล่อนก็กินดื่มอย่างดี รวมถึงซื้อของฟุ่มเฟือย ซึ่งมันสร้างแรงกดดันให้กับเสี่ยวฟางอย่างมาก!”
เมื่อพูดอย่างนั้น หล่อนก็มองไปยังหลินม่ายและพูดอย่างจริงจัง “เธอต้องฟังสิ่งที่ซวงเอ๋อร์พูด ซวงเอ๋อร์กำลังพูดสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเธอเอง เธอเป็นคนฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว ไม่ว่าเสี่ยวฟางจะหาเงินได้มากแค่ไหน ก็ไม่เพียงพอสำหรับเธอที่จะใช้จ่าย เมื่อนานไปจะมีปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ดังนั้นเธอควรประหยัดไว้บ้าง”
ฟางจั๋วหรานวางตะเกียบลง หยิบทิชชู่ขึ้นเช็ดปาก “คำพูดของไป๋ซวงคือความหวังดีอย่างงั้นเหรอ? ทำไมผมไม่คิดอย่างนั้นล่ะครับ? หากหล่อนหวังดีต่อม่ายจื่อจริง ๆ หล่อนก็ควรเตือนม่ายจื่อลับหลังทุกคนสิ จริงไหมครับ? การพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าคนเต็มโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าพยายามยั่วยุและสร้างความเกลียดชังต่อม่ายจื่อ หากหวังดีต่อม่ายจื่อจริง หล่อนก็คงไม่พูดต่อหน้าคุณน้าไป๋ หรือจริง ๆ แล้วหล่อนไม่หวังดีต่อม่ายจื่อกัน? คุณน้าไป๋มองไม่เห็นแผนการของไป๋ซวงจริง ๆ หรือว่าจงใจตามใจลูกสาวบุญธรรมเพื่อกลั่นแกล้งลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองกันแน่ครับ? เพียงเพราะคุณน้าผูกพันกับลูกสาวบุญธรรมก็เลยไม่สนใจความรู้สึกของลูกสาวตัวเองงั้นเหรอ? หากเป็นแบบนั้นก็อย่ารู้จักม่ายจื่อเลยครับ!”
แม่ไป๋พลันออกอาการเก้อเขินและรีบอธิบาย “น้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น—”
ฟางจั๋วหรานไม่ให้โอกาสหล่อนอธิบาย “ผมไม่สนใจสิ่งที่คุณกำลังหมายถึงหรอกครับ”
เขาจ้องมองแม่ไป๋สลับกับไป๋ซวงสองสามครั้ง และในที่สุดก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋ซวง
“คุณกำลังจะบอกว่าหากคุณเป็นม่ายจื่อ คุณจะไม่มีวันใช้เงินของผมอย่างฟุ่มเฟือยสินะครับ ก่อนอื่น สิ่งที่ผมอยากจะบอกคุณก็คือ ด้วยลักษณะนิสัยและรูปลักษณ์ของคุณแล้ว คุณจะไม่มีวันได้โอกาสนั้นในชีวิต! ไม่เพียงคุณจะไม่ได้รับโอกาสจากผมเท่านั้น แต่คุณจะไม่ได้รับโอกาสจากผู้ชายร่ำรวยคนไหนเลย! ดังนั้นคุณไม่มีวันเป็นอย่างม่ายจื่อได้ แล้วผมก็ไม่มีวันมอบเงินให้ผู้หญิงอย่างคุณได้! เลิกฝันเฟื่องสักที”
ไป๋ซวงหน้าแดงกับสิ่งที่เขาพูดจนไม่อาจเงยศีรษะขึ้นได้
ฟางจั๋วหรานหันมองและจ้องไปยังหน้าของแม่ไป๋ “คุณน้าไป๋ครับ ผมขอบอกกับคุณน้าอย่างจริงจังว่าม่ายจื่อเป็นเด็กดี และหล่อนก็ไม่เคยใช้เงินของผมสุรุ่ยสุร่าย เป็นผมเองที่ยืนกรานจะซื้ออาหารอร่อย ๆ ให้หล่อนกิน และก็เป็นผมเองที่ยืนยันจะซื้อของฟุ่มเฟือยให้หล่อนใช้ ผมรักหล่อน และอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดในโลกแก่หล่อน ผมจะไม่เลิกกับหล่อนแน่ ดังนั้นอย่าพยายามทำให้เราเลิกกันเลยครับ!”
ในที่สุดบรรยากาศก็ดีขึ้น บางส่วนในพวกเขาต่างตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ
แต่ผู้คนที่นิ่งค้างไปมีเพียงพ่อไป๋ แม่ไป๋ และไป๋ซวงเท่านั้น
คนอื่น ๆ ต่างกินดื่ม พูดคุย และหัวเราะอย่างสนุกสนาน
แม่ไป๋และไป๋ซวงขุ่นเคืองมากจนมีสีหน้าหม่นลง
แม่ไป๋ชำเลืองมองหลินม่ายหลายครั้ง โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรบางอย่างให้หล่อนและไป๋ซวงผ่อนคลายบ้าง
หลินม่ายไม่แม้แต่จะชายตามองพวกหล่อน แต่พูดคุยกับไป๋ลู่เป็นอย่างดี
พ่อไป๋รู้สึกว่าที่บรรยากาศไม่ดีไม่ใช่เพราะทั้งสามคนที่พยายามห้ามปรามพวกหล่อน แต่เป็นเพราะภรรยาและลูกสาวบุญธรรมที่ทำให้เขาอับอายและโกรธมาก
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ หลินม่ายก็ขอให้บริกรจัดจานพิเศษและอาหารอีกสามจาน เตรียมนำกลับไปให้ฟางจั๋วเยวี่ยและโต้วโต้วกิน
จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็ออกไปด้วยกัน
เมื่อลงไปชั้นล่าง พ่อไป๋และหลินม่ายก็เดินนำหน้าเคียงข้างกัน
พ่อไป๋พูดกับหลินม่ายด้วยความเสียใจ “ถ้าลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งหรือมหาวิทยาลัยชิงหวาได้ และไม่อยากกลับบ้านจริง ๆ พ่อ พี่สาวใหญ่ พี่สาวรองกับพี่ชายของลูกจะไปเยี่ยมเยียนลูกที่มหาวิทยาลัยเอง”
แม่ไป๋ได้ยินดังนั้นก็เร่งฝีเท้าไล่ตามจากด้านหลังพร้อมพูดอย่างไม่พอใจ “กว่าจะพบลูกสาวของเราได้ก็ยากลำบากเหลือแสน คุณจะห้ามไม่ให้หล่อนมาที่บ้านของเราได้อย่างไร? หากเพื่อนบ้านรู้เขาจะมองเรายังไงคะ?”
ในขณะที่พ่อไป๋กำลังจะพูด หลินม่ายก็เดินโซเซทำท่าจะล้มคะมำลงไปยังชั้นล่าง
เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเสียการทรงตัวและล้มลง ฟางจั๋วหรานก็ตามเธอไปและคว้าเธอไว้ได้ทันท่ามกลางเสียงอุทานของผู้คน
แม่ไป๋ขมวดคิ้ว “เดินลงบันไดยังไงให้เกือบจะหน้าคะมำเนี่ย?”
ฟางจั๋วหรานหันกลับมาทันทีด้วยใบหน้าเย็นชา “หากลูกสาวบุญธรรมของคุณกำลังจะล้ม คุณเองก็คงทำแบบเดียวกับที่ผมทำสินะครับ ทำไมคุณถึงจงเกลียดจงชังม่ายจื่อของผมนักล่ะครับ?”
พ่อไป๋หันหน้าไปมองภรรยาของเขา หล่อนดูไม่มีความสุขราวกับว่าหลินม่ายทำผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย
ใบหน้าของพ่อไป๋หม่นลงทันที หากเขาไม่คิดที่จะรักษาหน้าตาทางสังคมของแม่ไป๋ เขาคงตำหนิหล่อนอย่างรุนแรงไปแล้ว
หลินม่ายดึงฟางจั๋วหรานด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักและพูดโดยไม่โกรธหรือรำคาญ “พอเถอะค่ะ คุณยังเด็กกว่าท่านมาก อีกทั้งยังเป็นผู้ชายด้วย อย่าพูดอะไรมากไปกว่านี้เลยค่ะ หากแม่ของฉันคิดว่าคุณพยายามยั่วยุให้ท่านขุ่นเคืองทั้งที่คุณยังเด็กกว่ามาก ในฐานะผู้น้อยแล้ว คนอาจมองคุณไม่ดีเอาได้ แม่ของฉันไม่ชอบฉันเพราะท่านไม่มีความผูกพันกับฉัน หากท่านมีความรู้สึกกับฉันเหมือนที่มีต่อไป๋ซวง ท่านคงไม่ปฏิบัติกับฉันแบบนี้ หากเป็นไปได้ก็พยายามอย่าตอบโต้ท่าน คุณไม่จำเป็นต้องบังคับให้แม่ของฉันทำดีกับฉัน อย่าพยายามเปลี่ยนทัศนคติของท่านเลยค่ะ”
เมื่อไป๋ซวงเห็นหลินม่ายพูดถึงแม่ไป๋แบบนั้น หล่อนก็มีความสุขมาก
ถ้าหลินม่ายไม่พยายามทำให้แม่ไป๋รัก แม่ไป๋จะต้องเกลียดหลินม่ายมากขึ้น ตำแหน่งของหล่อนในตระกูลไป๋ก็จะมั่นคงมากขึ้นด้วย
หล่อนมองดูแม่ไป๋ พบว่าแม่ไป๋กำลังมีสีหน้าน่าเกลียดอย่างยิ่ง
ไป๋ซวงจึงยกยิ้มมุมปากอย่างภาคภูมิใจ
ไป๋เซี่ยที่อยู่ด้านหลังกล่าวขึ้นทันที “แม่ ที่ม่ายจื่อเกือบจะล้มลงไปแบบนั้นก็เป็นเพราะลูกสาวบุญธรรมสุดที่รักแม่ผลักหล่อนจากด้านหลังต่างหาก!”
แม่ไป๋มองไปยังไป๋ลู่อย่างสงสัย “พี่ชายของลูกพูดจริงหรือ?”
แม่ไป๋ไม่ค่อยเชื่อคำพูดของไป๋เซี่ย แต่โดยพื้นฐานแล้วเชื่อคำพูดของไป๋ลู่
เพราะไป๋ลู่ไม่เคยโกหกตั้งแต่ยังเด็ก
ไป๋ลู่พยักหน้า “พี่ชายพูดความจริง หนูเห็นไป๋ซวงผลักม่ายจื่อด้วยตาของหนูเองด้วย”
แม่ไป๋เบิกตากว้าง มองไปยังไป๋ซวงด้วยความเหลือเชื่อพร้อมกับตำหนิ “ซวงเอ๋อร์! ลูกทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง? หากม่ายจื่อล้มจนหัวร้างข้างแตกและได้รับบาดเจ็บสาหัส ลูกจะรับผิดชอบยังไง?
ไป๋ซวงน้ำตาไหลทันที “แม่ หนูไม่ได้ผลักม่ายจื่อ พวกเขาใส่ร้ายหนู!”
คุณปู่ฟางกล่าวอย่างดูถูก “หากพี่น้องของเธอรวมหัวใส่ร้ายเธอจริง คิดดูเอาเถอะว่าพวกเขาเกลียดเธอแค่ไหน? เธอต้องพิจารณาตัวเองแล้ว!”
ไป๋ซวงไม่สามารถโต้เถียงได้ ทำได้เพียงหลั่งน้ำตาออกมา
แม่ไป๋มองคนสองสามคนข้างหลังอย่างสงสัย
แม้ว่าไป๋ซวงจะร้องไห้อย่างขมขื่น แต่แม่ไป๋ก็ไม่ได้ปลอบโยนหล่อน ซึ่งทำให้ไป๋ซวงรู้สึกผิดมากขึ้นและร้องไห้หนักกว่าเดิม
หล่อนไม่ได้ผลักหลินม่ายจริง ๆ หลินม่ายจงใจแสร้งทำเป็นว่ามีคนผลักเพียงเพื่อให้หล่อนถูกตำหนิ
ไม่ว่าหล่อนจะอธิบายอย่างไร ทั้งไป๋เซี่ยและไป๋ลู่ก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าหล่อนผลักหลินม่าย
นอกจากนี้ คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางก็บอกว่าพวกเขาเห็นหล่อนผลักหลินม่ายเช่นกัน โดยที่ไป๋ซวงไม่อาจแก้ตัวหรือหาหลักฐานใดมาปกป้องตัวเองได้เลย
ตั้งแต่หล่อนยังเด็ก หล่อนเป็นคนเดียวที่ทำผิดต่อผู้อื่น กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ตนถูกทำร้าย ไป๋ซวงจึงร้องไห้ตลอดทางกลับไปยังเกสต์เฮาส์
ทันทีที่มาถึงเกสต์เฮาส์ พ่อไป๋ก็ตำหนิไป๋ซวงอย่างรุนแรงที่ผลักหลินม่าย
เขาไม่ได้วิจารณ์ไป๋ซวงในตอนนี้เพราะเกรงใจคุณปู่ฟางและภรรยาของเขา
ไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์คนในครอบครัวหรือสาวไส้ให้กากินในที่สาธารณะ เพียงเท่านี้ครอบครัวของเขาก็เป็นที่รังเกียจมากพอแล้วสำหรับคุณปู่และคุณย่าฟาง
พ่อไป๋ไม่ได้ไร้ยางอายพอที่จะตำหนิไป๋ซวงต่อหน้าคุณปู่ฟางและภรรยาของเขา เขาจึงอดทนจนกว่าจะกลับไปยังเกสต์เฮาส์
พ่อไป๋ขณะโกรธดูโมโหร้ายเป็นอย่างมาก จนไป๋ซวงกลัวและไม่กล้าเถียงกับเขา
หล่อนหันไปร้องไห้กับแม่ไป๋ “แม่! หนูไม่ได้ผลักม่ายจื่อจริง ๆ นะคะ แม่ต้องเชื่อหนู! ไม่ว่าหนูจะเกลียดม่ายจื่อมากแค่ไหน หนูก็ไม่สามารถทำร้ายหล่อนทั้ง ๆ ที่มีผู้คนมากมายอยู่รอบตัวได้!”
เมื่อแม่ไป๋ได้ยินก็รู้สึกว่าว่าเรื่องนี้สมเหตุสมผล เธอมองไปยังสองพี่น้องไป๋ด้วยความสงสัย
ไป๋เซี่ยตะคอกอย่างเย็นชา “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวสินะ เธอไม่เพียงทำร้ายม่ายจื่อเท่านั้น แต่ยังพยายามใส่ร้ายเราสองคนว่ารวมหัวกันกลั่นแกล้งเธอ หากแม่รู้ว่าพวกเราสองคนรวมหัวกันกลั่นแกล้งเธอ แม่ก็คงโกรธจนหัวใจแทบสลาย แล้วก็จะลำเอียงไปทางเธอมากขึ้น จากนั้นเธอก็จะกลายเป็นที่รักยิ่งกว่าใคร ฉันว่าการวิเคราะห์ของฉันไม่ผิดเพี้ยนแน่”
ไป๋ซวงโกรธจนตัวแทบระเบิด หล่อนตะโกนกราดเกรี้ยวพร้อมดวงตาแดงก่ำ “พี่กำลังพูดเรื่องไร้สาระ!”
ไป๋ลู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “พี่ชายของฉันไม่ได้พูดไร้สาระ ก็เธอเองไม่ใช่เหรอเป็นคนที่เปลี่ยนตัวอย่างเลือดของม่ายจื่อ เพราะไม่ต้องการให้หล่อนก้าวเข้ามาในครอบครัวของพวกเรา?”
ไป๋ซวงพูดไม่ออก แม้ว่าหล่อนจะเอาแต่ร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจ แต่แม่ไป๋ก็ไม่เชื่อคำพูดของหล่อน
พ่อไป๋ไม่เพียงไม่เชื่อคำพูดหล่อนเท่านั้น แต่ยังมั่นใจว่าหล่อนโกหก ดังนั้นเขาจึงสั่งสอนหล่อนด้วยการขู่ว่าหากหล่อนวางแผนต่อต้านหลินม่ายอีก หล่อนจะถูกส่งกลับไปยังตระกูลหลิน
ไป๋ซวงกลัวมากจนตัวสั่น นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อไป๋บอกว่าจะส่งหล่อนกลับไปยังตระกูลหลิน
หล่อนนอนร้องไห้อย่างเงียบงันบนเตียงตลอดคืน
ท้ายที่สุด หล่อนก็ไม่ใช่ลูกสาวโดยกำเนิดของตระกูลไป๋ พ่อไป๋และแม่ไป๋ไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของหล่อน ดังนั้นแล้วพวกเขาจะรักลูกสาวบุญธรรมมากกว่าลูกสาวแท้ ๆ ได้อย่างไร
หล่อนจะปล่อยให้เรื่องราวดำเนินต่อไปแบบนี้ไม่ได้!
ในห้องถัดไป ไป๋ลู่และไป๋เซี่ยต่างปรบมือเพื่อเฉลิมฉลอง
เมื่อทำให้ไป๋ซวงถูกตำหนิได้ ทั้งสองพี่น้องก็มีความสุขมาก
คนเจ้าเล่ห์อย่างไป๋ซวงควรได้ลิ้มรสสักทีว่าการถูกข่มเหงเป็นอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ขอบคุณนะคะคุณแม่ที่กล้าสอนหนู /ม่ายจื่อไม่ได้กล่าว/
ฝีปากมีดผ่าตัดของพี่หมอทำงานแล้ว เชือดเฉือนเยอะๆ เลยค่ะ เอาให้ยัยแม่ไป๋ตาสว่างเสียที วงจรสมองของป้าแกดูจะมีปัญหาไม่น้อยนะคะ
กรรมตามสนองแล้วล่ะยัยไป๋ซวง ทำอะไรเขาไว้ก็โดนกลับแบบนั้นแหละ ๕๕๕
ไหหม่า(海馬)
กว่าแม่ไป๋จะตาสว่าง ม่ายจื่อก็หมดใจไปนานแล้ว