“ตัวแทนหลิน นี่เป็นจดหมายเชิญจากทีมงานรายการค่ะ”
ไม่กี่วันหลังจากนั้น กู้ตงถือจดหมายเชิญแลดูประณีตสวยงามซองหนึ่งเข้ามาในห้องทำงานของเซี่ยนอวี๋
“อ่านเลยครับ”
หลินเยวียนกำลังพิมพ์นิยายชุดรหัสคดีปัวโรต์เล่มต่อไป มือของเขายังไม่ได้หยุดลง ไม่มีเวลาอ่านจดหมายเชิญ
“ได้ค่ะ”
กู้ตงแกะซองจดหมายใบสวย กระแอมให้คอโล่ง
“ขอขอบคุณอาจารย์เซี่ยนอวี๋ที่เข้าร่วมรายการราชาหน้ากากนักร้อง ทีมงานรายการขอแสดงความยินดีอย่างยิ่ง คุณคือหนึ่งในแขกรับเชิญของการแข่งขันในรอบแรก กรุณามายังศูนย์ดนตรีกลางเมืองซู เพื่อเข้าร่วมการบันทึกเทปรายการในวันที่ 2 กุมภาพันธ์”
ด้านหลังเป็นการแนะนำกฎการแข่งขัน
“รายการนี้จะออกอากาศสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ในแต่ละตอนจะมีนักร้องหกคน หลังจากนักร้องร้องเพลงจบ จะมีผู้ชมในห้องส่ง 500 คน คณะกรรมการประเมินซึ่งเป็นมืออาชีพในวงการเพลง 50 คน รวมไปถึงคณะกรรมการตัดสินอีก 4 คน โดยผู้ชมทุกคนจะมีคนละ 1 โหวต คณะกรรมการประเมินมีคนละ 2 โหวต และกรรมการตัดสินมีคนละ 100 โหวต คะแนนเต็มคือ 1000 โหวต…”
คะแนนโหวตที่กรรมการตัดสินถือครองอยู่เกือบมีสิทธิ์ชี้ขาด
ทีมงานรายการคล้ายกับคำนึงถึงปัญหานี้ ดังนั้นจึงทำการตัดต่อ โดยลดอำนาจของกรรมการตัดสิน
“คะแนนโหวตของคณะกรรมการจะโหวตโดยการแบ่งหนึ่งร้อยคะแนน ยอดโหวตรวมในแต่ละสัปดาห์จะต้องไม่เกินหนึ่งร้อยโหวต ขณะที่ผู้ชมและคณะกรรมการประเมินมีสิทธิ์ใช้คะแนนโหวตทั้งหมดในแต่ละรอบ”
แบบนี้ก็ดีขึ้นมาก
ผู้ชมสามารถโหวตได้ทุกรอบ หมายความว่าในการแข่งขันหกรอบ ที่จริงแล้วผู้ชมมีทั้งหมดหกโหวต
และสมาชิกคณะกรรมการประเมินแต่ละคนมีทั้งหมดสิบสองโหวต
เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถจัดสรรจำนวนโหวตได้
แต่กรรมการตัดสินมีสิทธิ์ในการจัดสรรโหวตอย่างยืดหยุ่น
พวกเขาสามารถทุ่มโหวตทั้งหมดในมือหนึ่งร้อยคะแนนให้กับนักร้องเพียงคนเดียว และสามารถแบ่งโหวตให้นักร้องหลายคนได้ ตราบใดที่คะแนนโหวตรวมไม่เกินหนึ่งร้อย…
กู้ตงอ่านต่อ
“ในทุกๆ ตอน นักร้องที่จำนวนโหวตน้อยที่สุดจะตกรอบ นักร้องหนึ่งท่านจะอยู่รอ นักร้องที่เหลืออีกสี่ท่านจะเข้ารอบทั้งหมด นักร้องที่ตกรอบจะถอดหน้ากาก ส่วนนักร้องที่อยู่รอไม่ต้องถอดหน้ากาก พวกเขาจะเข้าไปรอความท้าทายในการจัดอันดับในตอนต่อไป”
หลินเยวียนพยักหน้า
เป็นธรรมเนียมที่อันดับสุดท้ายจะตกรอบ ส่วนอันดับสองรองจากสุดท้ายจะมีโอกาสพลิกความพ่ายแพ้กลับมาคว้าชัยชนะ นั่นเป็นการให้โอกาสนักร้องซึ่งความสามารถยอดเยี่ยม แต่บางครั้งอาจพลาดพลั้งในการแสดงกลับขึ้นมาบนเวทีอีกครั้ง
“นอกจากนั้น”
“ในรายการจะไม่แทรกแซงการเลือกเพลงของนักร้อง สมาคมวรรณศิลป์จะประสานงานกับแต่ละบริษัทเพื่อขอลิขสิทธิ์เพลงเพื่อใช้ในการแข่งขัน ขณะเดียวกันยังอนุญาตให้นักร้องขับร้องบทเพลงใหม่ในการแข่งขัน…”
เมื่ออ่านถึงจุดนี้ กู้ตงก็ยกยิ้มและเอ่ยว่า
“ทางบริษัทได้รับแจ้งเรื่องนี้จากสมาคมวรรณศิลป์แล้ว ตอนเช้าหัวหน้าโจวให้ฉันมาถามคุณว่าเราสามารถอนุญาตให้ผู้เข้าแข่งขันในรายการร้องเพลงของคุณได้ไหม ค่าลิขสิทธิ์จะเป็นไปตามมาตรฐานโดยรวมของรายการประเภทนี้…”
“ไม่มีปัญหาครับ”
หลินเยวียนไม่ได้รังเกียจที่ผู้อื่นนำเพลงของตนไปขับร้อง อันที่จริงไม่มีนักประพันธ์เพลงคนไหนรังเกียจหรอก
นี่คือความโดดเด่นของของราชาหน้ากากนักร้อง พวกเขามีสมาคมวรรณศิลป์เป็นเบื้องหลัง ใครจะกล้าปฏิเสธคำขอของสมาคมวรรณศิลป์ล่ะ
หลังจากนั้น กู้ตงจึงอ่านคำอธิบายจากทีมงานรายการต่อไป
ไม่มีเงื่อนไขที่หลินเยวียนไม่สามารถยอมรับได้
เขายอมรับเรื่องการถอดหน้ากากได้ นับประสาอะไรกับเรื่องอื่นๆ
……
ด้านข้างหลินเยวียน กู้ตงผู้ช่วยไม่ใช่เพียงคนเดียวที่รู้ว่าเขาจะเข้าร่วมรายการราชาหน้ากากนักร้อง
ช่วงบ่ายวันนั้น
หลินเยวียนมายังสตูดิโอการ์ตูน และบอกข่าวนี้กับจินมู่
จินมู่ไม่รู้เรื่องที่หลินเยวียนเป็นโรคกลัวกล้อง จึงไม่คิดว่าการไปร้องเพลงของหลินเยวียนเป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด ตัวตนของเซี่ยนอวี๋เดิมทีก็อยู่ในสถานะกึ่งเปิดเผยอยู่แล้ว
เขาเพียงกังวลเรื่องหนึ่ง “เข้าร่วมรายการราชาหน้ากากนักร้องไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่หลังจากถอดหน้ากากแล้ว ก็คงไม่สามารถปกปิดตัวตนของอิ่งจือได้เหมือนกัน”
หลินเยวียน “เรื่องนั้นยกให้อาจินจัดการ”
จินมู่พยักหน้า “ที่มหา’ลัยมีคนอื่นรู้เรื่องที่คุณคืออิ่งจือไหมครับ”
“ไม่มีครับ”
มหาวิทยาลัยรู้เพียงว่าฝีมือด้านการวาดภาพของหลินเยวียนยอดเยี่ยมมาก แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วหลินเยวียนคือนักวาดการ์ตูนนามว่าอิ่งจือ
อย่างไรก็ตาม มีคนส่วนน้อยอย่างจงอวี๋ที่รู้ว่าหลัวเวยเป็นผู้ช่วยวาดการ์ตูนของหลินเยวียน
แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็ไม่รู้ว่าหลัวเวยกับหลินเยวียนวาดการ์ตูนอะไรกัน ต่อให้มีคนที่รู้จักหลัวเวยสามารถเดาได้จากเบาะแส ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใหญ่หลวง
เป็นเรื่องยากที่จะเผยแพร่ความจริงซึ่งมีคนทั่วไปเพียงเล็กน้อยที่รู้ ยิ่งไปกว่านั้นจินมู่ต้องมีวิธีรับมืออย่างแน่นอน
“เข้าใจแล้วครับ”
จินมู่เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “เพราะฉะนั้นคนที่รู้ว่าคุณคืออิ่งจือ ก็จำกัดอยู่ที่หลัวเวยกับผู้ช่วยในออฟฟิศ รอให้ถอดหน้ากากอย่างเป็นทางการแล้ว ผมจะไปคุยกับพวกเขาถึงหลักการรักษาความลับ พลางสะสางผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นด้วย”
“ได้ครับ”
ครั้งนี้หลินเยวียนเตรียมตัวเปิดเผยตัวตนของเซี่ยนอวี๋ ส่วนอิ่งจือและฉู่ขวงยังคงอยู่หลังม่านต่อไป
“จริงสิ…”
จินมู่นึกสงสัย “หัวหน้าร้องเพลงได้?”
หลินเยวียนตอบ “ได้นิดหน่อยครับ”
เขาไม่ได้บอกจินมู่ว่าตนต้องมาเป็นนักประพันธ์เพลงเพราะคอพัง
“ได้นิดหน่อย?”
จินมู่สีหน้าแปลกพิกล “มีอะไรที่คุณทำได้นิดหน่อยจริงๆ ไหม”
“มีหลายอย่างที่ทำไม่ได้”
“ตัวอย่างเช่น?”
“ผมแปลงร่างไม่ได้”
จินมู่ “…”
หลินเยวียนขบคิด เอ่ยเสริมว่า “‘ร่าง’ ในคำว่าร่างกาย ไม่ใช่คำว่า ‘เสียง’ ในเสียงร้อง[1]”
จินมู่ “?”
เน้นไปแล้วได้ประโยชน์อะไร
คุณเหมือนกำลังเสริมความรู้ให้ผมว่าเสียงนาสิกปุ่มเหงือกกับเสียงนาสิกเพดานอ่อนต่างกันอย่างไร
“…”
หลังจากสนทนากับจินมู่จบ หลินเยวียนจึงเริ่มหยิบสมุดเล่มหนึ่งมาขีดๆ เขียนๆ
เขาอยากเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขัน
สิ่งแรกที่ต้องเตรียมการ แน่นอนว่าคือเลือกเพลง!
ต่างจากนักร้องส่วนใหญ่ที่ต้องร้องคัฟเวอร์เพลงของคนอื่น
หลินเยวียนไม่คิดจะร้องคัฟเวอร์เพลงของคนอื่น หรือร้องเพลงของตนเองที่เขียนให้คนอื่นด้วยซ้ำ…
เขาจะร้องเพลงใหม่!
ใช้ประโยชน์จากเรตติงรายการราชาหน้ากากนักร้อง ร้องเพลงใหม่จะสามารถกอบโกยชื่อเสียงมาได้
ทว่าหลินเยวียนทำเช่นนี้ จุดประสงค์ไม่ใช่เพียงเพื่อกวาดค่าความโด่งดัง แต่ยังเป็นเพราะทักษะในการร้องเพลงของเขาไม่ดี
ที่บอกว่าทักษะในการร้องเพลงไม่ดี แน่นอนว่าไม่ดีหากเปรียบเทียบกับนักร้องแถวหน้า หรือแม้แต่ราชาราชินีเพลง
ดังนั้นหลินเยวียนจึงต้องใช้เพลงใหม่ เพื่อชดเชยข้อบกพร่องในการร้องเพลงของตน
ถึงอย่างไรเขาก็มีระบบ ไม่มีทางที่ความรวดเร็วในการผลิตผลงานจะตามไม่ทันการแข่งขัน
แต่ข้อเสียของการร้องเพลงใหม่…
นั่นก็คือเพลงใหม่ต้องพิจารณาปัญหาเรื่องการยอมรับของผู้ฟังด้วย
ถ้าผู้ฟังไม่ ‘เก็ต’ เพลงใหม่ของหลินเยวียนในทันที จุดเด่นนี้จะไม่เพียงไม่กลายเป็นข้อได้เปรียบของหลินเยวียน มิหนำซ้ำยังจะกลายเป็นจุดด้อยของเขาอีก!
เพราะฉะนั้น หลินเยวียนจำเป็นต้องเลือกเพลงอย่างรอบคอบ!
เขาต้องเลือกเพลงที่ผู้ชม ‘เก็ต’ ได้ง่าย
สุดท้ายแล้วรายการราชาหน้ากากนักร้องเป็นการร้องเพลงสด ซึ่งแตกต่างจากการแข่งขันรายการอื่นๆ
ผู้ชมสามารถฟังและเสพบทเพลงในการแข่งขันได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อสัมผัสถึงเสน่ห์ของบทเพลง มีบทเพลงจำนวนมากไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ใช้ได้ แต่ยิ่งฟังยิ่งชื่นชอบ
เพราะฉะนั้นเพลงขอเราคงอยู่ชั่วนิรันดร์ถึงได้โด่งดัง
ทว่าเพลงสำหรับร้องสด ผู้ชมจะได้ฟังเพียงครั้งเดียว
บนเวทีประเภทนี้ ถ้าหากร้องเพลงอย่างขอเราคงอยู่ชั่วนิรันดร์ คงน่าเสียดายมาก
เพราะหลังจากฟังจบหนึ่งครั้ง หลายคนยังไม่ทันได้ประมวลผลและเข้าถึงความยอดเยี่ยมของเพลงนี้ ก็ต้องโหวตให้คะแนนซะแล้ว…
ดังนั้นในการแสดงสด ความรู้สึกแรกของผู้ชมจึงสำคัญที่สุด!
ถ้าความรู้สึกแรกไม่ดี บทเพลงจะมีความไพเราะอย่างไร คำร้องจะแฝงความนัยลึกซึ้งแค่ไหน วิธีเรียบเรียงบทเพลงจะเหนือชั้นอย่างไรก็ไม่บังเกิดผล!
“มีเพลงไหนบ้างที่เหมาะสำหรับร้องบนเวที”
“ทางที่ดีจะต้องใช้ข้อได้เปรียบของฉันอย่างเต็มที่”
หลินเยวียนเอ่ยเรียกระบบ เข้าไปในคลังเพลง และเริ่มค้นหาตัวเลือกที่เหมาะสม
และวันเวลาก็ผ่านไป ระหว่างที่หลินเยวียนพินิจพิจารณาเลือกเพลง
ขณะที่ทั่วทั้งโลกออนไลน์พูดถึงราชาหน้ากากนักร้อง ความคึกคักของทุกคนก็ทบทวีขึ้นทุกวัน!
วันแข่งขันใกล้เข้ามาแล้ว…
………………………………………………….
[1] ‘ร่าง’ ในคำว่าร่างกาย ไม่ใช่คำว่า ‘เสียง’ ในเสียงร้อง เป็นการเล่นเสียงของคำว่า ‘เซิน’ ที่หมายถึงร่างหรือร่างกาย และ ‘เซิง’ ที่หมายถึงเสียง ซึ่งในภาษาจีนกลางบางสำเนียงจะออกเสียงพยัญตัวสะกดแม่กนและแม่กงคล้ายกันหรือเหมือนกันจนแทบแยกไม่ออก นอกเสียจากว่ามีบริบทของคำ หลินเยวียนจึงเน้นว่าตนเอง ‘แปลงร่าง’ ไม่ได้
ค้างมาก มาต่อเร็วๆนะคะ อยากอ่านมากๆๆๆๆๆๆ
สนุกมากอ่านกว่าจะตามทันปวดตามากรอตอนต่อไปค่ะ