คำว่า ‘ข้ารักเจ้า’ อาจพูดได้หลายครั้ง แต่คำว่า ‘หนึ่งเดียวสำหรับข้า’ นั้นน่าประทับใจกว่ามากนัก
เฮ้อ หมอนี่เห็นชิงจ้านเป็นหนึ่งเดียวของตัวเองมานานแล้วนี่เอง ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง
อาจเป็นเพราะว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยโชคร้ายด้านความรัก ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าหนานกงเลี่ยดูเจริญหูเจริญตาขึ้นสำหรับนาง
หนานกงเลี่ยในวัยรุ่นยังไร้เดียงสาอยู่มากทีเดียว เพราะเขาจะหน้าแดงทันทีที่ชื่อของชิงจ้านถูกเอ่ยถึง และเขาเชื่อในคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยตบบ่าเขาจากใจ “ถ้าคนที่นัดนางออกมาเป็นเจ้า นางอาจจะไม่มา ดังนั้นข้าจะนัดนางออกมาเอง และเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าค่อยนำดอกกุหลาบมาให้นาง…”
“ย่อมได้ ถ้าแผนการนี้สำเร็จ ไม่ว่าเจ้าอยากทำอะไร ข้าจะให้ความร่วมมือกับเจ้าทุกอย่าง”
จากนั้นทั้งสองจึงจับมือกันปรึกษาหารือเรื่องแผนการเอาใจหญิงสาว…
เงาทมิฬยังคงยืนอยู่นอกวิหารบวงสรวง ตอนแรกเขาคิดว่านายน้อยเลี่ยจะทนผู้หญิงที่องค์ชายส่งมาไม่ไหว และไล่ออกมาในไม่ช้า
แต่สุดท้ายหลังจากรออยู่นาน เขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรดังออกมาจากในนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลับไปรายงานไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
“ฝ่าบาท” เงาทมิฬคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับมองเด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่บนตั่งยาว เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งด้วยไม่รู้ว่าจะบอกเรื่องนี้กับเขาอย่างไร
เด็กหนุ่มยกนิ้วขึ้นจากริมฝีปากบางราวกับไม่ใส่ใจ แล้วเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “อาเลี่ยปฏิเสธอย่างโจ่งแจ้งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เช่นนั้นก็พานางกลับม...”
ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะพูดจบประโยค เงาทมิฬก็เอ่ยขึ้น เหงื่อเย็นๆ ไหลอาบไปทั่วแผ่นหลังของเขา “นายน้อยเลี่ยไม่ได้ปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ เขาอนุญาตให้นางอยู่ที่นั่น”
“อนุญาตให้นางอยู่หรือ” มือของเขาที่ถือถ้วยชาอยู่ถึงกับชะงักไป ดวงตาของเขาหม่นแสงลง “นางไม่ได้โวยวายขอกลับมาหรือ”
เงาทมิฬส่ายศีรษะ
เสียงแก้วแตกดังก้องในอากาศ!
เด็กหนุ่มกำถ้วยชาในฝ่ามือแน่นจนมันแตกเป็นเสี่ยง
ชากับเลือดผสมกันจนยากที่จะแยกออก แต่ใบหน้าของเด็กหนุ่มกลับยังคงเย็นชาเฉยเมย “ถ้วยชาใบนี้แตกง่ายเกินไป เอาไปเปลี่ยนแล้วส่งชุดอื่นมา”
เงาทมิฬก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม และกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “พ่ะย่ะค่ะ” ถ้วยชาชุดนั้นเป็นของพระราชทานจากอดีตฮ่องเต้ มันมีเพียงแค่หนึ่งหรือสองชุดในโลกเท่านั้น แต่นายท่านกลับทำมันแตกเสียแล้ว…
“อาเลี่ยไม่ชอบให้ใครอยู่ใกล้ นางคงอยู่ที่นั่นได้อีกไม่นาน” น้ำเสียงลุ่มลึกและเย็นชาของเขาลอยเข้ามาในหูของเงาทมิฬ
เงาทมิฬพยักหน้าทันที “นิสัยของนายน้อยเลี่ยเป็นเช่นนั้นจริงๆ…”
ผ่านไปหนึ่งวัน
แต่ก็ยังไม่มีข่าว ‘คนถูกไล่’ ออกมาจากวิหารบวงสรวง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ทุกคนกลับกล่าวกันว่าผู้บวงสรวงอัจฉริยะได้รู้แจ้งแล้ว และคาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพาสาวใช้ออกไปเก็บดอกไม้ที่นอกวัง
“เก็บดอกไม้หรือ” เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “ข้านึกไม่ถึงเลยว่าการเป็นผู้บวงสรวงของราชวงศ์เราจะสบายถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ดี เรามาหางานให้นายน้อยเลี่ยทำกันดีกว่า เขาจะได้ไม่คิดว่าชีวิตของตัวเองน่าเบื่อเกินไป”
ในเวลานั้นหนานกงเลี่ยกำลังพยายามเอาอกเอาใจคนคนหนึ่งอยู่ เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทันทีที่กลับมาถึงวิหารบวงสรวง เขาก็ถูกงานจำนวนมากถาโถมเข้าใส่ แม้แต่เวลานอนเขาก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับเวลาออกไปข้างนอก!
“ทำไมจู่ๆ วังหลวงถึงส่งงานมาให้ข้ามากมายถึงเพียงนี้เล่า” หนานกงเลี่ยแนบใบหน้าหล่อเหลาลงบนโต๊ะ เขารู้สึกเหนื่อยสุดขีด แต่เขาก็หัวไวพอที่จะรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขายกมือซ้ายขึ้นเท้าคาง คิ้วยาวของเขาขมวดมุ่น “แปลกมาก”
อย่างไรเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เป็นสาวใช้ของเขา ตอนนี้ทั้งสองจึงเป็นหุ้นส่วนที่ลงเรือลำเดียวกัน ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่นางจะรู้สึกเป็นห่วงเขา
เมื่อเห็นเตา นางจึงต้มน้ำขิงมาสองถ้วย และตั้งใจว่าจะนำมันไปส่งให้เขา
นางนึกไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญพบไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้าที่ทางเข้าวิหาร เขายังคงดูสูงศักดิ์และผึ่งผาย อีกทั้งใบหน้าของเขาก็ยังคงเย็นชา ทุกอย่างก้าวของเขาทั้งเชื่องช้าและสง่างาม เขาสวมเสื้อคลุมสีเหลืองนวลราวกับแสงจันทร์ บ่นบ่ามีเสื้อคลุมขนสัตว์ไร้รอยฝุ่นพาดเอาไว้อีกชั้น เงาทมิฬถือร่มเดินตามอยู่ข้างหลังเขา และพวกเขากำลังเดินตรงเข้ามาหาเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไม่รีบร้อน
เขาก้มหน้าลงและปรายตามองถ้วยกระเบื้องในมือนาง ดวงตาของเขาที่เดิมทีขาดความอบอุ่นอยู่แล้วก็พลันยิ่งดูเย็นชาขึ้นอีก
“องค์ชาย นายน้อยอยู่ข้างในพ่ะย่ะค่ะ” ศิษย์ของวิหารยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขานำทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยรอยยิ้ม
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้าวเท้าออกเดิน เขาเดินผ่านเฮ่อเหลียนเวยเวยเขาไปในวิหาร ไม่มีใครรู้ว่ากำปั้นที่อยู่ใต้แขนเสื้อยาวของเขากำเข้าหากันแน่นเพียงใด
หนานกงเลี่ยยังคงนอนอยู่บนโต๊ะ เมื่อเขาสังเกตเห็นการมาถึงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาก็เริ่มบ่นเรื่องทุกข์ใจของตัวเองออกมา “อาเจวี๋ย ช่วงสองวันนี้เกิดอะไรขึ้นในวังหลวงกันแน่ บนโต๊ะข้ามีงานกองอยู่เต็มไปหมด ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!”
“เหนื่อยหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่งลงบนเก้าอี้ยาวแล้วเอนหลังลงพร้อมกับใช้มือปลดกระดุมคอเสื้อบนเสื้อขนสัตว์ของตัวเองออก “ข้านึกว่าเจ้าอยู่ที่นี่ก็สุขสบายดีเสียอีก”
เจ้าออกไปเก็บดอกไม้นอกวังหลวง อีกทั้งตอนนี้ก็ยังมีคนบางคนต้มน้ำขิงมาให้เจ้าด้วย
ในอดีตนั้นเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ได้อภิสิทธิ์นั้น
แต่ตอนนี้… หึ
เขารู้อยู่นานแล้วว่าเขาไม่ได้สำคัญกับนาง
แต่เขาก็นึกไม่ถึงเลยว่าความอบอุ่นที่ครั้งหนึ่งนางเคยมอบให้เขานั้นมันจะถูกมอบให้กับคนอื่นด้วย
ย้อนแย้งเสียไม่มี
“ข้าจะสุขสบายดีได้อย่างไร เจ้าจงใจทำเช่นนี้ใช่ไหม เจ้าจงใจส่งงานมาให้ข้าทำ” หนานกงเลี่ยไม่ใช่คนโง่ เขาเพียงแค่คิดไม่ออกต่างหากว่าทำไม “ข้าทำอะไรให้เจ้าโกรธหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันหน้าไปด้านข้าง เขามองเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้ามาจากหางตา เขาเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
“ก็ดี ถ้าข้าคิดมากเกินไป เช่นนั้นจากพรุ่งนี้เป็นต้นไปก็หาคนอื่นมาช่วยเจ้าทำงานก็แล้วกัน อย่างคดีทุจริตของเสนาบดีจากกรมขุนนางภายในอะไรนี่มันใช่หน้าที่ข้าที่ไหนกัน” หนานกงเลี่ยกัดพู่กันพร้อมกับเคาะมันลงบนกระดาษในมือ เขาอยากรู้นักว่าอาเจวี๋ยจะว่าอย่างไรเรื่องนั้น
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไม่สนใจมันมากนัก “ผู้ใต้บังคับบัญชาข้าคงส่งมาผิดกระมัง”
ข้าหัวหมุนกับมันอยู่ตั้งนานสองนานเชียวนะ!
แต่ตอนนี้เจ้ากลับบอกข้าว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าส่งพวกมันมาผิดอย่างนั้นหรือ!
มุมปากของหนานกงเลี่ยกระตุกไม่หยุด ถ้านี่ไม่ได้เป็นเพราะว่าองค์ชายไม่พอใจเขา มันจะยังเป็นอะไรไปได้อีก!
แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ทันทีที่เขาสบเข้ากับสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองทรยศพี่น้องตัวเอง มันทำให้เขาชาไปทั้งหนังศีรษะ
หนานกงเลี่ยสังเกตเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยที่เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำขิง เขาจึงพยายามเปลี่ยนเรื่อง “อาเจวี๋ย เจ้าเดินมาถึงนี่คงจะหนาวแย่ ข้ามีน้ำขิงอยู่ เจ้าเอาสักถ้วยไหม”
“ไม่ล่ะ ขอบใจ” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มยังคงเย็นชาเช่นเดิม เขาทอดสายตามองออกไปแสนไกลราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
หนานกงเลี่ยเข้าใจเขา “โอ้ จริงสิ เจ้าไม่ชอบดื่มของรสชาติแปลกๆ แบบนี้นี่นา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว เขาไม่ดื่มของพวกนี้หรือ ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะขมวดคิ้วทุกครั้งที่นางเอาน้ำขิงให้เขาดื่มสมัยยังเด็ก สรุปว่าที่จริงแล้วเขาไม่ชอบมันนี่เอง…
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นางก็จะเก็บน้ำขิงถ้วยนี้ไว้ดื่มเองทีหลัง
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางถ้วยไว้ด้านข้าง นางบังเอิญเห็นจดหมายที่หนานกงเลี่ยเขียนให้กับชิงจ้านเข้าพอดีตอนที่โน้มตัวลงไป นางจึงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ไหว
หนานกงเลี่ยหันศีรษะกลับมามอง แล้วรีบใช้มือบังกระดาษแผ่นนั้นไว้ทันที “ห้ามบอกใครเด็ดขาด”
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่บอกหรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนสายตากลับมาพร้อมกับยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยอย่างมีเลศนัย
ทั้งสองคนดูมีความลับเล็กๆ ระหว่างกัน ทั้งยังเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดีอีกด้วย
เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนตั่งยาวผุดลุกขึ้นราวกับไม่สามารถทนกลิ่นน้ำขิงที่อยู่ในห้องได้อีกต่อไป…