ชิงจ้านยังเด็ก นางน่าจะมีอายุประมาณสิบสองหรือสิบสามปี จึงยากที่นางจะเคยเห็นผู้เป็นนายโกรธ ดังนั้นทันทีที่นางเห็นเหตุการณ์นี้ นางจึงยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งกว่านั้น ฝ่าบาทก็ยังบอกว่ามีอะไรจะพูดกับนางอีกด้วย เรื่องนี้ยิ่งทำให้นางสับสนเข้าไปอีก นางทำอะไรผิดจนเป็นเหตุให้ฝ่าบาทคิดจะส่งตัวนางไปที่อื่นหรือ
“มีคนขอตัวเจ้าไปอยู่ที่วิหารบวงสรวง” เสียงของเด็กหนุ่มเย็นชา แต่ไม่ได้ฟังดูเสียดแทง มันกลับแทรกเข้าไปในหูของนางได้อย่างเรียบลื่นราวกับกระเบื้องเคลือบ “ในช่วงหลายวันมานี้ เจ้าอาจจะได้ยินเรื่องนี้มาบ้างแล้ว”
ชิงจ้านพยักหน้า ภาพใบหน้าหล่อเหลาอันชั่วร้ายปรากฏขึ้นมาในสมองของนาง
“นายน้อยเลี่ยเป็นคนขอ” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างไม่แยแส “นอกจากเรื่องที่เขาชอบจู่โจมสาวใช้แล้ว เขาก็ไม่มีข้อบกพร่องอันใดอีก เจ้าต้องระวังตัวให้ดีล่ะตอนไปอยู่ที่นั่น ถ้าเจ้ารู้สึกไม่สะดวกใจเมื่อใดก็สามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ”
สีหน้าของชิงจ้านเปลี่ยนไปทันที “จู่โจมสาวใช้หรือเพคะ”
“แน่นอนว่าถ้าเจ้าไม่ยินยอม เขาย่อมไม่ฝืนใจเจ้า” เด็กหนุ่มสะบัดมือซ้ายที่เปื้อนเลือดของตน และเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “เขาจะแสดงให้เจ้าเห็นแต่เพียงความรู้สึกดีที่เขามีต่อเจ้า นี่เป็นแผนการที่เขามักใช้กับทุกคน”
ชิงจ้านคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วดวงตาของนางก็หม่นแสงลง “หม่อมฉันเข้าใจแล้ว นายน้อยเลี่ยมักทำตัวสนิทสนมกับคนอื่นเหมือนเป็นพี่น้องอยู่เสมอ ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วงนะเพคะ หม่อมฉันรู้ฐานะของตัวเองดี”
“เช่นนั้นก็ดี” เด็กหนุ่มยกริมฝีปากบางขึ้น “ไปเตรียมตัวซะ เจ้าจะไปที่นั่นคืนนี้”
ชิงจ้านก้มหน้า และตอบว่า “เพคะ”
เงาทมิฬทำหน้าแปลกๆ ตลอดเวลาที่ฟังบทสนทนานั้น หลังจากชิงจ้านออกไป เขาจึงพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท นายน้อยเลี่ยมิได้ไร้จริยธรรมอย่างเช่นที่ท่านว่าพ่ะย่ะค่ะ” นอกจากนิสัยชอบแกล้งคนของเขาแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มที่กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวพันมือตัวเองอยู่ ก็ปรายตามองเงาทมิฬอย่างเย็นชา
เพียงแค่ปรายตามอง เงาทมิฬก็ปิดปากเงียบ!
ไม่จำเป็นต้องได้รับคำยืนยัน เขาก็รู้ว่าฝ่าบาทกำลังพยายามทำให้นายน้อยเลี่ยเสียภาพลักษณ์!
ฝ่าบาทมีฝีมือด้านการทำให้นายน้อยเลี่ยเสื่อมเสียภาพลักษณ์ได้อย่างไร้ร่องรอย หลังจากชิงจ้านไปที่วิหารบวงสรวงแล้ว นางอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนายน้อยเลี่ยได้อีกเลยก็เป็นได้
หากในอดีตนายน้อยเลี่ยเป็นชายจอมเจ้าชู้สำหรับชิงจ้าน ในเวลานี้เขาก็คงเป็นนักล่าพรหมจรรย์
ประโยคที่ว่า ‘ชอบจู่โจมสาวใช้’ ฟังดูกำกวมทีเดียว…
………
ในเวลานั้นหนานกงเลี่ยไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาสวมเสื้อคลุมขนสัตว์และยืนอยู่นอกทางเข้าวังหลวงพลางคิดว่าเขาควรจะอธิบายให้นางฟังว่าอย่างไร
จากนั้นเขาจึงสังเกตเห็นชิงจ้านที่เดินออกมาในชุดเครื่องแบบสาวใช้ เด็กสาวตัวเล็กคาดดาบไว้ที่เอว นางดูอ่อนวัยและมีบรรยากาศสดชื่น
หนานกงเลี่ยกระแอมแล้วเผยรอยยิ้มชั่วร้ายประจำตัวออกมา “เสี่ยวชิงจ้าน มานี่สิ ข้ามีอะไรจะให้เจ้า”
ชิงจ้านเดินเข้าไป แต่นางไม่ได้เป็นมิตรกับเขาเหมือนเมื่อก่อน นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “นายน้อยเลี่ย ตามกฎของฝ่าบาทแล้ว องครักษ์วังปีศาจไม่ได้รับอนุญาตให้รับของจากผู้อื่นเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้ ข้ารู้ เจ้าจะเชื่อฟังแค่ฝ่าบาทคนเดียวเท่านั้น” หนานกงเลี่ยเอ่ยอย่างขมขื่นพร้อมด้วยรอยยิ้มเก้ๆ กังๆ “แต่เจ้าต้องยอมรับสิ่งนี้” ขณะที่พูด เขาก็ยื่นมือออกไปดึงนางเข้ามาใกล้ และตั้งท่าจะดีดนิ้วเพื่อมอบกุหลาบให้นาง
ชิงจ้านตอบสนองโดยไม่รู้ตัว และการตอบสนองของนางคือการทุ่มเขาลงกับพื้น!
เพียงแค่มอง เฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยังพลอยรู้สึกเจ็บไปด้วย มุมปากของนางกระตุกขึ้น
การถูกจับทุ่มลงกับพื้นเช่นนั้นทำให้หนานกงเลี่ยรู้สึกมึน ทุกอย่างหมุนกลับหัว ในระหว่างที่เขากำลังมึนงงอยู่นั้น เขาก็ได้ยินชิงจ้านพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “นายน้อยเลี่ย กรุณาให้เกียรติข้าด้วยเจ้าค่ะ ข้าไม่ใช่หนึ่งในผู้หญิงของท่าน และข้าก็ไม่ได้ใจง่ายเหมือนอย่างท่านด้วย”
คำสารภาพรักที่หนานกงเลี่ยเตรียมมาหนึ่งวันเต็มถูกกลืนกลับลงท้อง เขารู้แล้วว่านางเข้าใจเขาผิด!
แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทุ่มเขาลงกับพื้นอย่างโหดร้ายขนาดนี้เสียหน่อย!
เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
แววตาตอนที่นางมองเขาล้วนแต่เต็มไปด้วยความรังเกียจ!
นางควรจะเขินไม่ใช่หรือ!
ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!
เสี่ยวชิงจ้านยังหันไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกด้วย นางเอ่ยขึ้นด้วยความหนักแน่นยุติธรรมว่า “พี่สาวท่านนี้ นายน้อยเลี่ยชอบเที่ยวให้ดอกไม้กับใครต่อใครเขาไปทั่วอยู่แล้วเจ้าค่ะ ท่านเองก็โปรดระวังตัวเอาไว้ด้วย”
หนานกงเลี่ย : …
เขาชอบให้ดอกไม้กับใครต่อใครไปทั่วเสียตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!
ผู้บวงสรวงอย่างเขาจำเป็นต้องให้ดอกไม้ใครด้วยหรือ?!
แถวของเด็กสาวที่ตามตื๊อเขายาวตั้งแต่ในวังไปจนถึงนอกวังโน่น!
“เสี่ยวชิงจ้าน เจ้ากล้าดีจริงๆ” หนานกงเลี่ยเหยียดยิ้ม “เจ้ากล้าทุ่มข้าลงกับพื้นหรือ ข้าเหมือนคนที่จำเป็นต้องเอาดอกไม้ไปตามตื๊อผู้หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่พูดอะไร ผู้หญิงทุกคนก็ล้วนแต่ยินดีเข้ามาหาข้าด้วยความสมัครใจทั้งนั้น”
เขาคิดว่าคำพูดนั้นจะใช้กับนางได้ผล
แต่คาดไม่ถึงว่านางจะทำเพียงแค่มองเขาด้วยใบหน้านิ่งเรียบไร้อารมณ์ แล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้เจ้าค่ะ” จากนั้นนางจึงหายไปในสายหมอก
หนานกงเลี่ยสัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองในหัวใจ เขายกมือขึ้นแล้วดีดนิ้ว กลีบกุหลาบปลิวว่อนไปทั่วพื้นดิน
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร” เด็กหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยลอบมองเขา “ปัญหาอยู่ที่นิสัยของเจ้ากับสิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้ ฟังแล้วเหมือนเจ้าเป็นสวะสังคมก็ไม่ปาน”
“ข้า…” หนานกงเลี่ยเริ่มหมดหวัง “นางเคยเป็นคนง้อง่ายกว่านี้ อีกอย่างนางก็ยังมีใจให้ข้าด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยปลอบเขาอย่างเย็นชาว่า “นางอาจจะมองเห็นนิสัยอันน่ารังเกียจของเจ้า แล้วได้สติขึ้นมาก็ได้”
“เจ้ามั่นใจหรือว่ากำลังปลอบใจข้าอยู่ ไม่ใช่ถีบข้าซ้ำตอนที่ข้ากำลังเศร้า” หนานกงเลี่ยยังไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกสับสนไม่ต่างกัน ตามทฤษฎีแล้วชิงจ้านควรจะชอบหมอนี่ตั้งแต่ยังเด็ก แต่ตอนนี้มันกลับไม่ได้ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น
ทั้งสองสบตากัน บนใบหน้าของพวกเขามีแต่ความว่างเปล่าขณะย่อตัวลงนั่งเคียงข้างกันบนหิมะด้วยสายตาสับสน
ภาพการสารภาพรักที่พวกเขาวาดเอาไว้ไม่ใช่แบบนี้…
แกร็ก
ท่อนฟืนในเตาผิงส่งเสียงเป็นครั้งสุดท้าย
เด็กหนุ่มมีผ้าพันแผลสีขาวพันอยู่รอบมือ เขากำลังฟังผู้ใต้บังคับบัญชารายงานเรื่องต่างๆ ด้วยใบหน้าสูงศักดิ์และสง่างาม ริมฝีปากบางของเขากระตุกขึ้น “ชิงจ้านทุ่มเขาลงกับพื้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น หลังจากพูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “ฝ่าบาท พวกเราควรสั่งให้ชิงจ้านไปที่วิหารบวงสรวงเพื่อขอโทษนายน้อยเลี่ยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” นางถึงกับจับผู้บวงสรวงอัจฉริยะทุ่มกับพื้นเชียวนะ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาแค้นนางขึ้นมา
“ไม่จำเป็น” เด็กหนุ่มยืนขึ้น สายตาของเขาลึกล้ำยากจะหยั่งถึงขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เป็นความผิดของนายน้อยเลี่ยต่างหากที่เที่ยวเอาดอกไม้ให้คนอื่นไปทั่ว ดังนั้นเขาย่อมสมควรโดนแล้ว”
เงาทมิฬไม่เข้าใจ ฝ่าบาทมีความสัมพันธ์อันดีกับนายน้อยเลี่ยมาโดยตลอด เขาจะไม่สนใจเรื่องที่ชิงจ้านเสียมารยาทต่ออีกฝ่ายอย่างรุนแรงในคราวนี้ได้อย่างไร
เป็นไปได้หรือไม่ว่าทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่
เงาทมิฬยังจมอยู่ในภวังค์ระหว่างที่เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า “ส่งงานราชสำนักที่อยู่บนโต๊ะไปที่วิหารบวงสรวง แล้วบอกพวกเขาซะว่าคดีพวกนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน”
อีกแล้วหรือ เขาเทียวไปเทียวกลับที่นั่นมาหลายต่อหลายครั้งเพียงเพื่อส่งงานพวกนี้! ต่อให้นายน้อยเลี่ยจะเป็นแมวเก้าชีวิต เขาก็ไม่น่าทนกับการทรมานนี้ได้!
หนานกงเลี่ยแทบทนการทรมานนี้ไม่ไหว คืนเดียวกันนั้นเขาแอบย่องผ่านความมืดไปที่ห้องทรงอักษรของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าสำนึกผิดจากใจจริง “อาเจวี๋ย ในฐานะพี่น้องร่วมสาบานของเจ้า ข้าขอร้องเจ้าล่ะ ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจหรือ เจ้าบอกข้ามาตรงๆ ได้หรือเปล่า” ในเวลานี้เขากำลังเผชิญหน้ากับความทรมานเป็นสองเท่า ไม่ว่าจะทั้งร่างกายหรือจิตใจก็ตาม ด้วยเหตุผลบางประการ ทุกครั้งที่เสี่ยวชิงจ้านเห็นเขา นางจะพยายามเว้นระยะห่างจากเขาราวกับเขาเป็นพาหะนำโรคร้ายแรงไม่มีผิด เขาสกปรกถึงเพียงนั้นเลยหรือ