“ไปจากที่นี่หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งอยู่บนตั่งยาวพร้อมกับยกขาเรียวขึ้นไขว่ห้าง ”เจ้าต้องการไล่ข้าออกไปหรือ แล้วเรื่องจีบชิงจ้านล่ะ เจ้าเปลี่ยนใจแล้วหรือ”
หนานกงเลี่ยคิดในใจว่า ถ้าเจ้าไม่ไปจากที่นี่ตอนนี้ ข้าคงไม่มีวันจีบชิงจ้านได้สำเร็จแน่!
“ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดอะไรกับเจ้าใช่ไหม” เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนฉลาด ดวงตาของนางหม่นแสงลง ”เขาสั่งให้เจ้าไล่ข้าออกจากวิหารบวงสรวงหรือ”
หนานกงเลี่ยลูบสันจมูก ”ข้ามั่นใจว่าเจ้าเองก็คงรู้อยู่เหมือนกันว่าการต่อสู้กับโชคชะตาย่อมนำมาซึ่งความสนุกอันไม่รู้จบ แต่การต่อสู้กับเขามีแต่จะนำมาซึ่งหายนะ ข้าทนไม่ไหวแล้ว แต่ข้าจะแอบช่วยเจ้าแทนก็แล้วกัน”
“แต่เจ้าก็ยังจะไล่ข้าไปจากที่นี่อยู่ดี” เฮ่อเหลียนเวยเวยถูถ้วยชาในมือ นางสูดหายใจเข้าและรู้สึกได้ถึงความรู้สึกเย็นยะเยือกที่เกิดขึ้นในอก ”เจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้างนอกหิมะตก เจ้าอยากให้ข้าแข็งตายหรือ”
สิ่งที่นางพูดทำให้หนานกงเลี่ยรู้สึกผิด ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเห็นในตัวเขา ”ฮ่องเต้เพิ่งพระราชทานเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกให้ข้า เดี๋ยวข้าจะไปเอามาให้เจ้าก็แล้วกัน”
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เจ้ามอบตั๋วเงินให้ข้าสักหมื่นตำลึงสิ ข้าคงต้องใช้ตอนอยู่ข้างนอกนั่น” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยขอพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย นางรู้สึกคอแห้งขึ้นมาอย่างกะทันหัน
หนานกงเลี่ยชำเลืองมองนางด้วยสายตาราวกับจะบอกว่านางช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก!
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดอย่างนั้น เดิมทีแล้วนางตั้งใจว่าจะจัดการอารมณ์ของตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อนตอนอยู่ในวิหารบวงสรวงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับศึกครั้งต่อไป
แต่ตอนนี้คนคนนั้นกลับไม่ยอมแม้กระทั่งจะให้นางอยู่ที่วิหารบวงสรวงต่อ
ถ้านางไม่พยายามทำเพื่อให้ได้ในทุกสิ่งที่นางสมควรได้รับ นางจะต้องรู้สึกเสียใจกับตัวเองแน่!
เสื้อคลุมขนสัตว์ของฮ่องเต้ที่คลุมอยู่บนร่างของนางนั้นอบอุ่นจริงดังว่า แต่นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยังรู้สึกเย็นอยู่เล็กน้อย
นางออกมาจากวิหารบวงสรวงโดยมีนางกำนัลและขันทีห้อมล้อม พวกเขามองนาง ก่อนจะหันหน้ากลับไปอีกทางแล้วกระซิบกัน
นอกจากนั้น ก็ยังไม่ค่อยมีใครถูกไล่ออกไปเวลานี้
ฤดูหนาวภายในเมืองหลวงหนาวจัดจนสมองของเฮ่อเหลียนเวยเวยดูเหมือนจะหยุดทำงานท่ามกลางความหนาวนั้น ความคิดของนางเองก็สับสนอลหม่านไม่แพ้กัน
นางจะเดินออกไปจากวังหลวงเช่นนี้จริงๆ หรือ
ถ้าเป็นเฮ่อเหลียนเวยเวยคนก่อนหน้า นางคงเดินออกไปอย่างไม่ลังเลแน่นอน
แต่ตอนนี้…
เฮ่อเหลียนเวยเวยแค่ก้มหน้าลง แล้วเตะกรวดที่อยู่บนถนนพร้อมกับบ่นว่า ”ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ความเป็นมนุษย์ของเจ้าถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไร ถึงได้กล้าไล่ข้าออกจากวังกลางฤดูหนาวเช่นนี้ คอยดูเถอะ! สักวันหนึ่ง ข้าจะ…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยไม่จบประโยค เพราะเงาร่างสูงเพรียวที่ยืนอยู่ในมุมหนึ่ง นิ้วสีซีดของเขากำอยู่รอบร่มกระดาษน้ำมัน สายตามืดมนของเขาจับจ้องอยู่ที่นาง แต่นางไม่รู้ว่าเขารออยู่ตรงนั้นมานานเพียงใดแล้ว…
แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางมั่นใจ นั่นก็คือเขาจะต้องได้ยินทุกสิ่งที่นางเพิ่งพูดออกไปเมื่อครู่แล้วแน่ๆ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักฝีเท้า ขายาวของนางที่กำลังจะก้าวเดินต่อถึงกับแข็งค้างไปเล็กน้อย
ร่างนั้นเดินเข้ามาหานางทีละก้าวโดยมีเสื้อคลุมขนสัตว์พาดเอาไว้บนบ่า หิมะตกหนักจนเกิดเป็นภาพอันงดงามราวกับภาพวาดน้ำหมึกอันแสนประณีตจากฝีมือจิตรกรชั้นยอด
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิด เขาในร่างผู้ใหญ่มีท่าทางสุขุมเยือกเย็น แต่ก็สง่างามเสียจนทำให้ไม่มีใครกล้ามองตรงเข้าไปในดวงตาของเขา
แต่เด็กหนุ่มในเวลานี้กลับได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้คนทุกวัย มีน้อยคนนักที่จะสามารถแข่งขันด้านรูปร่างหน้าตากับเขาได้
ไม่นานหลังจากนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็มาหยุดยืนห่างจากเฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงหนึ่งก้าวพร้อมกับมองนางอย่างเย็นชา
เงาทมิฬยืนอยู่ข้างหลังเขา เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายไม่สะดวกที่จะพูด เขาจึงเอ่ยขึ้นแทนตามปกติว่า ”ตามระบบแล้ว สาวใช้ที่ถูกไล่ออกจากวิหารบวงสรวงถือเป็นความรับผิดชอบขององค์ชาย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงตอบ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
นางเป็นเช่นนี้เสมอ ยากที่จะมีใครสามารถเข้าใกล้นางได้ในตอนที่นางแสดงท่าทางเย็นชาออกมา
ไม่เพียงแค่เข้าถึงยากเท่านั้น แต่ยังมีบรรยากาศกดดันเผยออกมาอีกด้วย
เงาทมิฬสังเกตเห็นว่าคำพูดของเขาไม่มีผลกับนาง ดังนั้นเขาจึงชำเลืองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มยังคงเยือกเย็น แต่ความอบอุ่นที่มุมปากของเขากลับค่อยๆ เลือนหายไป เมื่อบวกกับท่าทางการถือร่มกระดาษน้ำมันของเขาก็ทำให้เขาค่อนข้าง… ดูโดดเดี่ยวทีเดียว
เงาทมิฬทำได้เพียงกลั้นใจเอ่ยกับเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”ระหว่างรอขั้นตอนต่อไป ท่านต้องไปอยู่ที่ห้องบรรทมก่อน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้คัดค้านใดๆ นางพยักหน้าเป็นการตอบรับ
เงาทมิฬถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ”ตามพวกข้ามา”
“อืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้สนใจนัก นางกำลังคิดว่าบางทีเด็กหนุ่มอาจจะถือร่มอีกคันนั้นมาให้นาง อย่างไรเขากับเงาทมิฬก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพกร่มเพิ่มมาอีกคันหนึ่ง นางกำลังจะยื่นมือออกไปรับมัน
แต่แล้วไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”ความเป็นมนุษย์ของข้าถูกสุนัขกินไปหมดแล้ว ดังนั้นเจ้าไม่ควรได้ร่มคันนี้ไป”
ว่าแล้วเขาก็หันหลังก่อนเดินเข้าไปในหิมะโดยไม่รอคำตอบจากเฮ่อเหลียนเวยเวย ฝีเท้าของเขายังเชื่องช้าและสง่างาม แต่ร่างของเขากลับเย็นชาและไม่เป็นมิตร
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจยาว เขาได้ยินจริงๆ ด้วย ตั้งแต่เด็กเขาก็เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นมาแต่ไหนแต่ไร การรับมือกับเขาช่างเป็นเรื่องยากลำบากยิ่งนัก
เงาทมิฬไม่ได้พูดอะไร และเพียงส่งสัญญาณให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินตาม
ทั้งสองออกเดินอย่างเงียบๆ คนหนึ่งอยู่ข้างหลังอีกคน
ทันทีที่มาถึงห้องบรรทม ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ออกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เขานั่งลงที่โต๊ะไม้แล้วเริ่มจัดการงานราชการที่สั่งสมมาตลอดสองวัน น้ำเสียงของเขาแหบพร่ากว่าปกติ ”ไปรินชาให้ข้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มง่วงตั้งแต่เข้ามาในห้อง และเมื่อประกอบกับความอบอุ่นภายในห้องแห่งนี้เข้าไปอีก นางก็เริ่มสัปหงกทันทีที่ร่างถึงตั่งยาวซึ่งมีผ้าห่มขนสัตว์ปูทับเอาไว้ ศีรษะของนางก้มต่ำลงทีละน้อย
เหล่าองครักษ์ซึ่งทำหน้าที่รับใช้องค์ชายตอนเขาตื่นขึ้นกลางดึกกำลังจะปลุกเฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้น
แต่เด็กหนุ่มกลับยกนิ้วเรียวของตัวเองขึ้นมาจรดที่ริมฝีปาก พร้อมกับแสดงท่าทางบอกไม่ให้พวกเขาส่งเสียง
องครักษ์เงาเหล่านั้นเก็บพลังปราณของตัวเองกลับทันที แล้วเลือนหายไปในความมืดอีกครั้ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชำเลืองมองคนที่ไถลตัวลงไปนอนจากด้านข้าง และก่อนที่ใครจะทันได้ตั้งตัว เขาก็คุกเข่าลงข้างนางอย่างเงียบๆ เข่าข้างหนึ่งของเขาอยู่บนพรมสีดำล้ำค่า เอวแน่นบางของเขาตั้งตรงขณะหันหลังให้กับองครักษ์เงาเหล่านั้น แล้วใช้บ่าตัวเองรับน้ำหนักศีรษะของนางอย่างเป็นธรรมชาติ
เฮ่อเหลียนเวยเวยซุกร่างของตัวเองเข้ากับอ้อมกอดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหมือนเพิ่งหาท่านอนที่สบายที่สุดได้
เด็กหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่ง เขายื่นมือออกไปโอบรอบตัวนางไว้ แต่ไม่ได้ขยับอีกเพราะมั่นใจว่านางจะต้องตื่นขึ้นอย่างแน่นอนหากเขาขยับตัว
องครักษ์เงาล้วนแต่สับสนงุนงงไปตามๆ กัน พวกเขามองหน้ากันอย่างตกตะลึง บนใบหน้าของพวกเขามีความตกใจฉายชัด!
คน… คนคนนี้ยังเป็นองค์ชายที่พวกเขารู้จักอยู่แน่หรือ
เงาทมิฬถือเตาสำหรับสร้างความอบอุ่นเอาไว้ในมือ เขาไม่ได้เดินเข้าไปรบกวนทั้งสอง
ความตกใจในหัวใจของเขายิ่งใหญ่กว่าใครคนไหน
เขาคอยรับใช้อยู่ข้างกายผู้เป็นนายมาตั้งแต่ยังเด็ก
เขาไม่รู้ว่าสำหรับคนอื่นแล้วจะเป็นเช่นใด
แต่ผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ที่สามารถทำให้เจ้านายของเขายอมละทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมด และปิดบังกลิ่นอายอันชั่วร้ายอำมหิตของตัวเอง แล้วอยู่ในท่าทางเช่นนี้ได้
ในระหว่างนั้นเหล่าองครักษ์เงาคนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็อยากพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่พวกเขาก็ถูกสายตาสูงส่งของเด็กหนุ่มปิดปากไว้
แต่มันก็ผ่านมาแล้วกว่าหนึ่งก้านธูป ต่อให้พรมจะนุ่มเพียงใด แต่การนั่งคุกเข่าเป็นเวลานานย่อมสร้างความเจ็บปวดให้กับเข่าของเขา
โชคยังดี ในที่สุดคนที่ผล็อยหลับไปก็ลืมตาตื่นขึ้น นางมองเด็กหนุ่มที่โอบแขนอยู่รอบตัวนางราวกับยังตื่นไม่เต็มตา ”เจ้ายังอยู่ในช่วงวัยรุ่นนี่อีกหรือ แต่ก็ดูหล่อเหลาเอาการดี”