ระหว่างพูด เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ขยับตัวเข้าไปจูบที่มุมปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
แต่ในเวลานั้น ดวงตาของเด็กหนุ่มกลับแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ไม่ต้องคิดก็รู้
ว่านางเห็นเขาเป็นใคร
แต่แทนที่จะโกรธ เขากลับสัมผัสได้เพียงแค่ความรู้สึกว่างเปล่าที่อยู่ภายในใจ
เด็กหนุ่มชักมือกลับโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงพร้อมกดสายตาลงมองนางจากระดับสูงกว่า น้ำเสียงของเขาทั้งขุ่นมัวและเย็นชา ”ที่ข้าอนุญาตให้เจ้ากับมา ไม่ใช่เพื่อให้เจ้ามาทำตัวเกียจคร้านเช่นนี้ แต่ให้เจ้ามาเรียนรู้การเป็นนางกำนัลที่แท้จริงต่างหาก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตื่นเต็มตาทันทีที่นิ้วสัมผัสพื้น นางขมวดคิ้วด้วยความสับสนพร้อมกับมองเข้าไปในดวงตาไร้อารมณ์ของเขา
แม้กระทั่งกลางดึกเช่นนี้ เขาก็ยังออกคำสั่งกับนาง ไม่ใช่แค่สั่งให้นางรินชาให้ แต่ยังสั่งให้นางไปฝนหมึกอีกด้วย
งานพวกนี้ย่อมไม่เป็นปัญหาสำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่นางไม่ชอบความรู้สึกของการถูกปฏิบัติเหมือนตัวเองเป็นนางกำนัลจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางต้องเตรียมอาหารกลางวันเพื่อเลี้ยงคนสนิทขององค์ชายในวันรุ่งขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท
“มันเผ็ด ข้าทานไม่ได้หรอก” เด็กสาวในชุดสีพื้นชำเลืองมองต้มปลาที่เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมา แล้วส่ายหน้าอย่างกระอักกระอ่วน นางไม่ได้แกล้งทำ แต่นางทานอาหารรสเผ็ดไม่ได้จริงๆ
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยังสุขุมเยือกเย็น สายลมก่อตัวขึ้นที่ใจกลางฝ่ามือของนาง พลังสายหนึ่งพุ่งออกมาจากนิ้วเรียวและขาวซีดของนาง ก่อนจะส่งอาหารหลายจานลอยขึ้นไปในอากาศ
จากนั้นนางจึงเคาะโต๊ะเบาๆ
เพียงชั่วพริบตาเดียว อาหารเหล่านั้นก็ลอยกลับลงมาวางบนโต๊ะโดยไม่หกเรี่ยราดแม้แต่น้อย ความเปลี่ยนแปลงเดียวที่มีคือการจัดวางจานเท่านั้น
ทันทีที่เด็กสาวในชุดสีพื้นคนนั้นเห็นภาพนี้ ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ”เจ้า… มีพลังปราณล้นเหลือถึงเพียงนี้เชียวหรือ ถ้าเจ้าลงแข่งในการประลองละก็ จะต้องคว้าอันดับหนึ่งมาได้แน่!”
ในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเช่นกัน นิ้วของเขาที่กำอยู่รอบตะเกียบกำเข้าหากันแน่น
เขาจงใจมองข้ามคำถามนี้มาตลอดหลายปี
มันคือคำถามที่ว่าในตอนนั้นนางสามารถหลบเลี่ยงองครักษ์มากมายในวังหลวงและหายตัวไปได้อย่างไร
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ถ้าดูจากท่าทางกระฉับกระเฉงของนางเมื่อครู่นี้แล้วละก็ ถ้านางคิดที่จะหนี ย่อมไม่มีองครักษ์เงาที่อยู่นอกห้องบรรทมคนใดสามารถหยุดนางได้…
“องค์ชายเพคะ องค์ชาย…” เด็กสาวในชุดสีพื้นคนนั้นเรียกเขาเสียงเบา เห็นได้ชัดว่านางสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเขา ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง
“หืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบ แม้แต่สายตาของเขาก็ยังดูอ่อนโยนยิ่งนักเมื่อมองนาง แน่นอนว่ามันย่อมทำให้ทุกคนที่ได้เห็นรู้สึกอิจฉาเป็นธรรมดา
แต่มีแค่เพียงเด็กสาวในชุดสีพื้นคนเดียวที่รู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไป ความอ่อนโยนนี้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องโกหกเท่านั้น
ตั้งแต่ที่นางรู้จักเขามา ผู้คนต่างก็เกรงกลัวเขากันทั้งนั้น ยกเว้นตอนที่เขายังเป็นเด็ก
แต่หลังจากนั้นเขากลับปฏิบัติกับนางอย่างอ่อนโยนด้วยความสง่างาม เขาไม่เคยโกรธหรืออารมณ์เสียเมื่ออยู่ต่อหน้านาง
ทุกคนล้วนแต่กล่าวว่า เขาทุ่มความอดทนทั้งหมดที่มีให้กับนาง
แต่ความจริงนั้นความอดทนนี้กลับดูเหมือนการจงใจทำเสียมากกว่า…
“ไม่มีอะไรเพคะ” เด็กสาวลืมสิ่งที่ตั้งใจจะพูดไปจนหมด เมื่อบวกกับความรู้สึกหวาดกลัวที่นางมีให้กับเขามาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ นางจะระมัดระวังตัวเป็นพิเศษในทุกครั้งที่ต้องรับมือกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
หนานกงเลี่ยมองภาพนี้จากด้านข้าง มุมปากของเขาโค้งขึ้น ”อาเจวี๋ย เจ้าเจอของที่หายไปหรือยัง”
“ยัง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบเสียงเรียบพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวในมือเช็ดมุมปากตัวเอง
หนานกงเลี่ยเหลือบมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยืนอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มของเขายิ่งปรากฏให้เห็นเด่นชัด ”เช่นนั้นเจ้าก็ควรตั้งใจหาให้ดี อาเจวี๋ย ไหนเจ้าบอกข้ามาสิว่าวันนั้นเป็นวันแรกที่เจ้าได้ใกล้ชิดกับสตรีใช่หรือเปล่า”
สีหน้าของชายทั้งสองยังคงไร้การเปลี่ยนแปลงเมื่อได้ยินคำถามนี้ จะมีก็แต่เพียงเด็กสาวคนนั้นคนเดียวที่มีปฏิกิริยาอย่างรุนแรง ตั้งแต่แก้มทั้งสองข้างจนมาถึงลำคอของนางกลายเป็นสีชมพู
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ สายตาของเขาสบเข้ากับรอยยิ้มที่อยู่บนริมฝีปากของหนานกงเลี่ย ก่อนจะเอ่ยออกมาเพียงคำเดียวว่า ”เปล่า”
“โอ๊ะ?” หนานกงเลี่ยคิดว่าเขาเดาถูก แต่ทันทีที่ได้ยินคำตอบของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แสงในดวงตาของเขาก็เปลี่ยนไป เขาชำเลืองมองเด็กสาวที่นั่งหน้าแดงอยู่ข้างๆ ”จริงหรือ เจ้า… พวกเจ้าเคยจูบกันมาก่อนหรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่อยู่ใต้แขนเสื้อยาวก็ถึงกับชะงัก นางหันกลับไปมองคนทั้งสอง หนึ่งในนั้นเย็นชาและไม่แยแสราวกับหยก ในขณะที่อีกคนกลับมีอาการเขินเป็นอย่างยิ่ง ความแตกต่างระหว่างทั้งสองดูเหมาะสมกันอย่างลงตัว
นางแค่นหัวเราะเสียงเบาและไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่หัวใจของนางกลับทิ้งตัวลงสู่ความสับสน
หากพิจารณาจากความเข้าใจที่นางมีต่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ต่อให้เขาอยากสร้างความประทับใจเอาไว้ แต่เขาย่อมไม่มีทางทำอะไรเช่นนั้นแน่
แต่ถ้าเขาทำ มันย่อมแสดงให้เห็นว่าการกระทำนั้นมีความจริงใจเจือปนอยู่ และเขาทำมันด้วยความตั้งใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว นางรู้สึกปวดขมับขึ้นมาเล็กน้อย
นางไม่เคยคิดถึงสถานการณ์นี้มาก่อน
แม้ครั้งหนึ่งคนคนนั้นจะเคยทิ้งทุกอย่างได้เพื่อนาง นางก็จะไม่ยอมให้ความรักของนางถูกใครทำให้แปดเปื้อน
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น นางก็จะพาเขากลับไปให้จงได้
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับชอบหรือไม่ชอบ
แต่มันคือภารกิจที่นางต้องทำให้สำเร็จ
เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับข้อมือ แล้วมองตรงไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย ดังนั้นนางจึงไม่ทันสังเกตเห็นตอนที่เด็กสาวคนนั้นส่ายหน้าเล็กน้อย
แต่มันกลับทำให้หนานกงเลี่ยรู้สึกสนใจยิ่งนัก เขาลดเสียงลงจนได้ยินกันเพียงแค่สองคนที่ข้างหูไป๋หลี่เจียเจวี๋ยว่า ”ถ้าไม่ใช่นาง เช่นนั้นเจ้าไปจูบกับใครมา”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ตอบเขา แต่กลับจัดการอาหารต่อด้วยสีหน้าราบเรียบ
หนานกงเลี่ยสงสัยอย่างมาก ”คนคนนั้นเป็นใครกันแน่”
“ถ้าเจ้าพูดออกมาอีกคำเดียว ก็ออกไปซะ” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเย็นเยียบ
ประสาทสัมผัสอันเฉียบคมของหนานกงเลี่ยสัมผัสได้ว่าวันนี้เขาอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นเขาจึงมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้ง
ช่วงนี้ทุกครั้งที่อาเจวี๋ยรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ส่วนมากแล้วมันมักจะมีความเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนี้…
เฮ่อเหลียนเวยเวยนวดศีรษะที่เริ่มปวดอย่างรุนแรง มันปวดหนักเสียจนนางแทบไม่ได้ยินสิ่งที่คนอื่นๆ คุยกันอยู่เลยทีเดียว
อาการนี้นับว่าผิดปกติอย่างมาก
ความแข็งแกร่งทางร่างกายของนางดูจะอ่อนล้าลงตั้งแต่เมื่อวาน
สาเหตุมาจากอะไรกัน
ตามทฤษฎีแล้ว มันควรมีเวลาเหลืออยู่มากกว่ายี่สิบวัน และเวลาที่เหลืออยู่นั้นก็น่าจะเพียงพอ
เช่นนั้นทำไมนางถึงได้รู้สึกกดดันรุนแรงถึงเพียงนี้ล่ะ
เป็นไปได้หรือเปล่าว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับคนที่คุ้มกันพวกนางอยู่
ความคิดมากมายวาบขึ้นในใจของเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่นางกลับไม่แสดงอารมณ์อันใดออกมาทางสีหน้า จะมีก็แต่เพียงเปลือกตาของนางที่หนักขึ้นทุกวินาทีเท่านั้น
หนานกงเลี่ยนับถือที่นางยังคงสามารถรักษาความเยือกเย็นไว้ได้เป็นอย่างดี ตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างเขากำลังมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นด้วยสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
แต่หนานกงเลี่ยกลับรู้สึกว่าความรู้สึกนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของเจ้าตัว และมันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับอาเจวี๋ย...
ระหว่างมื้ออาหารนั้น ต่างคนต่างก็มีความคิดของตัวเองวิ่งวนอยู่ในหัว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้จดจ่ออยู่กับอาหารของตัวเอง เมื่อฮ่องเต้เรียกตัวไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้าพบด้วยเหตุผลบางประการ มื้อกลางวันมื้อนั้นจึงสิ้นสุดลงทันที
เมื่อไม่มีใครอยู่ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็พยายามพูดคุยกับด้ายแดงผูกวิญญาณที่อยู่รอบข้อมือ และตั้งใจใช้กระแสจิตเรียกหากิเลนอัคคี
แต่สุดท้ายสิ่งที่นางได้รับกลับมากลับมีเพียงความเงียบ
นางอาจจะเรียกผิดวิธีกระมัง
หรือไม่นางอาจจะได้ยินเสียงเขาก็ต่อเมื่อกิเลนอัคคีเป็นฝ่ายเริ่มติดต่อหานางก่อน...
การคาดเดาต่างๆ นานามีแต่จะทำให้อาการปวดศีรษะของเฮ่อเหลียนเวยเวยย่ำแย่ขึ้น แม้แต่ร่างกายของนางก็ยังพลอยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยไปด้วย
เพื่อการฟื้นตัวอย่างมีประสิทธิภาพ เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงหามุมอับสายตาภายในห้องบรรทมแห่งนั้นแล้วหลับตาลง…