ตอนที่ 636 ความอาวรณ์ของครูใหญ่
หลินม่ายมีความสุขมากจนอยากจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและหัวเราะ
แต่เพื่อนร่วมชั้นมากมายโดยรอบต่างกำลังสลดใจ หากทำแบบนั้นเธอจะโดนรุมประชาทัณฑ์ไหม?
หลินม่ายไปยังห้องเรียนและครูใหญ่ก็มาถึงแล้ว เมื่อเห็นเธอ เขาก็หัวเราะจนกรามแทบหลุดและชื่นชมเธอที่ทำข้อสอบได้ดี
หลินม่ายยิ้มอย่างนอบน้อม “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ”
หลังจากที่นักเรียนมาถึง ครูประจำชั้นก็ชมเชยหลินม่ายเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงเริ่มแจกใบรายงานผลคะแนน
นักเรียนบางคนกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเมื่อได้ใบรายงาน
นักเรียนบางคนเศร้าใจถึงกับร้องไห้
เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง อาจารย์ใหญ่ได้กำชับนักเรียนที่สอบได้ดีให้ตรวจสอบการรับสมัคร
เพื่อจะได้ไม่พลาดการรับสมัครและทำให้ตัวเองลำบากเมื่อลงทะเบียนในเดือนกันยายน
หรืออาจมีคนอื่นแอบอ้างทำการสมัครแล้วไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยแทน
การไปเรียนแทนเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมากในยุคนี้
ส่วนใหญ่เป็นเพราะข้อมูลยังด้อยพัฒนา ผู้ที่ถูกปลอมแปลงมักไม่รู้ว่าตนถูกปลอมแปลงข้อมูล และโดยพื้นฐานแล้วทางมหาวิทยาลัยจะรับเข้าศึกษาตามข้อมูลในใบประกาศรับสมัครเท่านั้น
ตราบเท่าที่ข้อมูลของนักเรียนสอดคล้องกับประกาศรับสมัคร ทางมหาวิทยาลัยก็จะยอมรับ
สิ่งนี้นำไปสู่การปลอมแปลงข้อมูลได้ง่าย
นอกจากนี้แม้ว่าจะถูกจับได้ แต่การลงโทษก็น้อยมาก หรืออาจไม่ได้รับโทษเลย ดังนั้นผู้คนจำนวนมากจึงกระทำเช่นนี้
นั่นเป็นเหตุผลที่ครูใหญ่เน้นย้ำเรื่องนี้กับพวกเขา
นักเรียนอำลาครูใหญ่อย่างไม่เต็มใจ
แม้ว่าครูใหญ่จะส่งนักเรียนออกไปทุกชั้นปี แต่เขาก็ไม่ชินกับมัน
ทุกครั้งที่นักเรียนถูกส่งออกไป เขาอดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอ และในปีนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น
ครูใหญ่ไม่ต้องการร้องไห้ต่อหน้านักเรียน เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็คงน่าอายจนเกินไป
ดังนั้นเขาจึงหันหลัง ถอดแว่น แล้วแอบเช็ดน้ำตา
เมื่อหันกลับไปมองนักเรียนอีกรอบ ห้องเรียนก็พลันว่างเปล่า ไม่เหลือนักเรียนสักคนเดียว…
ในเวลานี้หลินม่ายและเพื่อนร่วมชั้นมาถึงสนามเด็กเล่น และร้องเพลง ‘เพื่อนจ๋าเรามาพบกัน’ อย่างสุนทรีขณะกำลังเดิน
หลินม่ายรู้สึกตลกอยู่ในใจ เธอเป็นมนุษย์มาสองชั่วอายุคน และอายุจิตใจของเธอก็ไม่เด็กแล้ว ทว่าเธอกลับดูเหมือนเด็กสาวอายุสิบเก้าปีในโรงเรียนมัธยมที่กำลังร้องเพลงประสานเสียงกับเพื่อนร่วมชั้น
ทันทีที่คนกลุ่มหนึ่งเดินออกจากโรงเรียน นักข่าวหลายคนรุมล้อมหลินม่าย และสัมภาษณ์เธอเกี่ยวกับผลคะแนนสอบภาษาอังกฤษ
นักเรียนคนหนึ่งรีบตอบ “119 คะแนน ขาดคะแนนไปอีกแค่ 1 คะแนนก็ได้คะแนนเต็มแล้วค่ะ”
นักข่าวทุกคนประหลาดใจ
ภาษาอังกฤษเป็นวิชาใหม่ในหลายโรงเรียน แม้แต่ความสามารถทางภาษาอังกฤษของครูสอนภาษาอังกฤษยังไม่ดีนัก
การสอบผ่านก็ถือเป็นเรื่องที่น่าตะลึงงันแล้ว ทว่าหลินม่ายกลับได้คะแนนสูงถึง 119 คะแนน
เรียกได้ว่าเป็นคะแนนที่สูงลิ่ว
สาเหตุที่นักข่าวเหล่านี้มาสัมภาษณ์คะแนนภาษาอังกฤษของหลินม่าย เพราะหลินม่ายอ้างว่าเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ
นักข่าวต่างพากันหาว่าหลินม่ายพูดเล่น แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าทุกอย่างที่เธอพูดคือความจริง
หลังจากให้สัมภาษณ์นักข่าว หลินม่ายที่รู้สึกตื่นเต้นก็เดินไปยังโรงพยาบาลผู่จี้โดยต้องการบอกข่าวดีให้ฟางจั๋วหรานทราบโดยเร็วที่สุด
เธอมาที่นี่ด้วยความลิงโลด แต่กลับผิดหวัง
ฟางจั๋วหรานกำลังอยู่ในระหว่างการผ่าตัดครั้งใหญ่ ทำให้เธอไม่อาจเข้าพบเขาได้
หลินม่ายกลับบ้านด้วยความขุ่นเคือง
คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และโต้วโต้วอยู่ที่บ้านเพื่อรอฟังผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยของหลินม่าย
ทันทีที่เธอกลับมา ทุกคนแทบรอไม่ไหวที่จะถามคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเธอ
หลินม่ายรู้สึกมีความสุขอีกครั้งและแสดงใบรายงานการสอบเข้าวิทยาลัยให้พวกเขาดู
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต่างดีใจเมื่อได้เห็น และคุณปู่ฟางก็ตั้งใจจะออกไปซื้อขนมเพื่อนำไปแจกเพื่อนบ้าน
ข้างนอกร้อนเกินไป หลินม่ายกลัวว่าปู่ฟางจะเป็นโรคลมแดดจึงอาสาไปซื้อลูกอมแจกจ่ายเพื่อนบ้านด้วยตัวเอง
แม้ว่าครอบครัวของพวกเขาจะอาศัยอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่รู้จักใครนอกจากเฉินเฟิงและภรรยาของเขา
เนื่องจากที่นี่เป็นเขตตัวเมือง ผู้คนจึงไม่ค่อยรู้จักกันมากเท่ากับชุมชนในชนบท
หลินม่ายมายังประตูบ้านของเพื่อนบ้านเพื่อแจกจ่ายขนม เพื่อนบ้านต่างพูดคุยกับเธออย่างมีความสุข
เคอจื่อฉิงมีความสุขมากขึ้นเมื่อเธอได้รับขนมของหลินม่ายและถามหลินม่ายว่าจะจัดงานเลี้ยงฉลองหรือไม่?
หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “ต้งรอดูว่าคุณปู่กับคุณย่าจะว่ายังไง ให้พวกเขาตัดสินใจดีกว่า”
เธอไม่สนใจที่จะจัดงานเลี้ยง และหากเธอต้องการแบบนั้นก็จะไม่มีงานเลี้ยงเกิดขึ้น
หลังจากคุยกับเคอจื่อฉิงสักพักก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว
เฉินเฟิงขี่มอเตอร์ไซค์กลับมา และเมื่อเขาเห็นหลินม่ายก็ถามเกี่ยวกับผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเธอ
เคอจื่อฉิงชี้ไปยังลูกกวาดบนโต๊ะกาแฟแล้วกล่าว “ม่ายจื่ออยู่ที่นี่ ก็แน่นอนอยู่แล้วล่ะว่าหล่อนมีผลการสอบดีเยี่ยม!”
หลินม่ายบอกคะแนนที่แน่นอนให้เฉินเฟิงฟังก่อนจะเดินทางกลับ
เธอพบฟางจั๋วหรานที่ประตูลานบ้าน จึงถามด้วยความประหลาดใจว่า “คุณกลับมาทำไมคะ?”
เนื่องจากต้องทำงาน ฟางจั๋วหรานจึงไม่ค่อยกลับบ้านตอนเที่ยง เว้นแต่ว่าจะไม่มีผู้ป่วยที่อาการหนักในวันนั้น
ฟางจั๋วหรานยิ้มอย่างอ่อนโยน “ผมอยากรู้ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยของคุณจึงกลับมา”
หลินม่ายไม่ได้บอกว่าเธอไปโรงพยาบาลเพื่อตามหาเขา แต่บอกผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้เขาฟังอย่างมีความสุข
ฟางจั๋วหรานลูบศีรษะเธอ “ภรรยาของผมน่าทึ่งมาก!”
หลินม่ายปัดมือของเขาออกและพูดอย่างเขินอาย “ใครคือภรรยาของคุณไม่ทราบ?”
ฟางจั๋วหรานมองเธอเหมือนคนโง่ “คุณไง! จะใครอีก?”
หลินม่ายกล่าวอย่างเคร่งขรึม “แต่เรายังไม่ได้จดทะเบียนสมรส”
“เอาน่า อีกไม่นานแล้ว”
หลินม่ายหน้าแดงและกลอกตาใส่เขา “ใครจะรีบเร่งขนาดนั้น!”
ทั้งสองเข้าไปคุยกันในห้อง
คุณย่าฟางนั่งอยู่บนโซฟา มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์และกวักมือเรียกหลินม่าย “ม่ายจื่อ พี่สาวของเธอโทรมา!”
หลังได้ยินดังนั้น หลินม่ายก็รีบวิ่งไปทันที
ปลายสายคือไป๋ลู่ หล่อนโทรมาถามหลินม่ายเกี่ยวกับผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยใน
หลินม่ายจึงบอกให้หล่อนฟัง
ไป๋ลู่กรีดร้องอย่างตื่นเต้น “ว้าว! เธอเก่งมาก! ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยชิงหวาหรือมหาวิทยาลัยปักกิ่งก็ล้วนเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น!”
หล่อนบอกหลินม่ายครั้งแล้วครั้งเล่าว่าทันทีที่เดินทางไปถึงเมืองหลวงให้โทรหาหล่อน เพื่อที่หล่อน พี่ชาย และพ่อจะได้เดินทางไปรับหลินม่ายที่สถานีรถไฟ
หลินม่ายเอ่ยถามหล่อนถึงการตรวจร่างกายของไป๋ซวง และไป๋ลู่ก็ได้เปิดเผยความจริงว่าหล่อนแกล้งป่วย
ไป๋ลู่กล่าว “ไม่จำเป็นต้องพาหล่อนไปตรวจร่างกายหรอก ความจริงได้เปิดเผยแล้วว่าหล่อนไม่ได้ป่วยจริง ทั้งหมดเป็นเพียงการเสแสร้ง”
หลินม่ายถามด้วยความสงสัย “พี่รู้ได้ยังไง?”
ไป๋ลู่ขอให้ไป๋เซี่ยและพ่อไป๋ทำตามแผนการของหล่อน นั่นคือติดตามไป๋ซวงไปยังโรงพยาบาล
ไป๋ลู่เล่าให้หลินม่ายฟังถึงเรื่องที่ไป๋ซวงใช้วิธีอันน่าขยะแขยงเพื่อควบคุมหัวหน้าพานแห่งแผนกห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลฉือซิน และขอให้หัวหน้าพานปลอมแปลงผลการตรวจร่างกายให้หล่อน
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ หลินม่ายทำได้เพียงชื่นชมในความแข็งแกร่งของพันธุกรรมความชั่วร้ายแห่งตระกูลหลิน
แม้แม่ไป๋จะยังไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้ แต่การได้เติบโตมาในครอบครัวนักปราชญ์อย่างหล่อนก็จะต้องทำให้พื้นฐานครอบครัวของตระกูลไป๋เติบโตมาอย่างมีคุณภาพ
สภาพแวดล้อมที่ดีเช่นนี้ไม่อาจทำให้ไป๋ซวงกลายเป็นคนชั่วร้ายแบบนี้ได้ นอกจากพันธุกรรมที่ถ่ายทอดผ่านตระกูลหลินแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดอธิบายความชั่วร้ายนี้ได้เลย
หลินม่ายถาม “ตอนที่แม่ไป๋รู้ว่าไป๋ซวงแสร้งทำเป็นป่วย ท่านมีปฏิกิริยาอย่างไร?”
ทันทีที่พูดถึงแม่ไป๋ หัวใจของไป๋ลู่ก็หนักอึ้ง “ฉันคิดว่าแม่เองก็คงเสียใจอยู่ไม่น้อยแต่ในขณะที่ใจท่านกำลังเอนเอียง ไป๋ซวงก็กินยาฆ่าตัวตาย เรื่องนี้เลยทำให้แม่อยู่เคียงข้างหล่อนโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าพ่อและพี่ชายของฉันจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรแม่ก็ไม่ฟัง หลังจากเกลี้ยกล่อมหลายครั้ง ท่านก็ร้องไห้ออกมาโดยบอกว่าไป๋ซวงช่างน่าสงสาร และถึงกับขู่ว่าหากใครยืนกรานที่จะขับไล่ไป๋ซวง ท่านจะออกจากบ้านตระกูลไป๋ไปพร้อมกับยัยนั่น”
เมื่อนึกถึงวันที่ไป๋ซวงฆ่าตัวตายและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล พ่อไป๋ก็ตกลงกับสองพี่น้องว่าจะพูดคุยถึงวิธีการจัดการนางงูพิษไป๋ซวงหลังกลับจากเลิกงาน
ผลของการหารือระหว่างพ่อลูกคือ ส่งไป๋ซวงกลับไปยังตระกูลหลิน
แต่แม่ไป๋ไม่เห็นด้วย ทำให้จนถึงตอนนี้ไป๋ซวงยังคงอาศัยอยู่ในบ้านของพวกเขา
หลินม่ายไม่ได้คาดหวังว่าไป๋ซวงจะชั่วร้ายถึงขนาดที่กล้าแสร้งฆ่าตัวตาย
เธอเย้ยหยัน “ทำไมไป๋ซวงถึงน่าสมเพชขนาดนี้? หล่อนมีชีวิตที่ดีตั้งแต่เกิด แต่ฉันกลับถูกตระกูลหลินข่มเหง หากจะบอกว่าหล่อนน่าสงสาร ฉันก็คงน่าสังเวช ทำไมคุณไป๋ถึงไม่เคยหลั่งน้ำตาเพราะสงสารฉันบ้าง?”
เมื่อได้ยินหลินม่ายเรียกแม่ไป๋ว่าคุณไป๋ ไป๋ลู่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าคำสรรพนามนี้ดูห่างเหินจนเกินไป
เพราะแม่ของหล่อนปฏิบัติต่อหลินม่ายไม่ดี หากหลินม่ายไม่เต็มใจที่จะเรียกแม่ก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ
ไป๋ลู่ลดเสียงลงและกล่าว “ตัวฉันเองก็เศร้าใจไม่น้อยไปกว่าเธอ แต่ชะตาของเธอน่ะเลวร้ายสู้ไป๋ซวงไม่ได้เลยสักนิด”
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจมาก “เป็นไปได้อย่างไร!”
ด้วยกลัวว่าจะมีใครอยู่รอบ ๆ และบังเอิญได้ยินเข้า ไป๋ลู่จึงกล่าวต่อหลินม่าย “ฉันไม่สะดวกที่จะบอกเธอผ่านทางโทรศัพท์ ไว้จะเล่าทุกอย่างให้ฟังหลังจากที่เธอเดินทางมาถึงเมืองหลวงนะ”
หลังจากวางสาย หลินม่ายก็ไปรับประทานอาหารกลางวันขณะที่ทุกคนนั่งรออยู่
โดยปกติแล้ว มื้อเที่ยงของบ้านหลังนี้จะมีอาหารเพียงสามอย่างและซุปหนึ่งอย่าง แต่วันนี้ล้วนมีกับข้าวรสเลิศมากมาย
คุณย่าฟางยิ้มและพูดกับหลินม่าย “อาหารกลางวันกำลังจะเสร็จแล้ว ย่าจะให้จั๋วหรานทำการจองร้านอาหารในโรงแรมของเจียงเฉิง เพื่อทำการฉลองให้กับเธอก่อนเบื้องต้น เมื่อได้รับการยืนยันว่าผ่านการสมัครแล้วจริง ๆ เราถึงค่อยจัดงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่ให้”
หลินม่ายกล่าวอย่างนอบน้อม “ทุกอย่างให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณปู่และคุณย่าเลยค่ะ”
คุณย่าฟางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจพร้อมเตือนเธอและฟางจั๋วหรานว่างานแต่งงานของพวกเขากำลังใกล้เข้ามาแล้ว แต่พวกเขายังไม่ได้เตรียมอะไรเลย
ฟางจั๋วหรานพูดด้วยความงุนงง “นอกเหนือจากชุดที่ผมและม่ายจื่อสวมใส่ในวันนั้นแล้ว เราควรเตรียมอะไรอีกเหรอครับ…”
สำหรับเรื่องอาหารก็ไม่ใช่เรื่องยาก จองโรงแรมระดับไฮเอนด์ก่อนการแต่งงานเพียงหนึ่งสัปดาห์ก็ยังทัน
เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องเตรียมอะไรอีกบ้าง
คุณย่าฟางจ้องมองเขาด้วยความโกรธ “สมัยนี้นิยมซื้อทองสามอย่างให้เป็นของขวัญสำหรับการแต่งงาน หลานไม่คิดจะซื้อทองให้กับม่ายจื่อเลยเหรอ? อีกอย่างแม้บ้านหลังนั้นจะมีคนคอยจัดการดูแลให้ แต่หลานก็ยังคงต้องตกแต่งด้วยตนเอง แน่นอนว่าจำเป็นต้องจับจ่ายซื้อของเพื่อตกแต่งบ้านใหม่ ซื้อผ้าปูที่นอนสีแดงมงคลสำหรับวันแต่งงานแล้วหรือยัง? การแต่งงานต้องมีการเตรียมการมากมาย ไม่เหมือนงานหมั้นที่เพียงเชิญแขกมางานฉลองก็เสร็จนะ”
คุณย่าฟางส่ายศีรษะพลางพูดไม่ออก “ไม่ผิดที่ม่ายจื่อยังเด็กและไม่เข้าใจอะไรเลย แต่หลานอยู่ในวัยสามสิบแล้ว ทำไมถึงยังไม่รู้อะไรอีก!”
ฟางจั๋วหรานรู้สึกละอายใจ “ผมจะหารือกับม่ายจื่อในภายหลัง แล้วค่อยหาเวลาซื้อของจัดเตรียมงานแต่งงานครับ”
หลังอาหารกลางวัน ฟางจั๋วหรานไม่รีบไปโรงพยาบาล เขานั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นและคุยกับหลินม่ายว่าจะซื้ออะไรบ้าง
คุณย่าฟางกอดโต้วโต้ว คุณปู่ฟางซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างคอยแทรกแซงบทสนทนาของพวกเขาเป็นครั้งคราว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่หมอยังไม่ได้เตรียมงานแต่งอีกเหรอคะ ต้องให้ย่าสอนเสียแล้ว
ไหหม่า(海馬)