บทที่ 614 หลี่จิ่วเต้าปวดหัวใจ พลังสูงส่งปะทุออกไปอย่างบ้าคลั่ง!
พลังมิติอันยุ่งเหยิงไหลหลาก นี่มิใช่มิติปริภูมิทั่วไป หากแต่เป็นรอยแยกมิติ เป็นมิติที่พังทลายไปแล้ว ซ้ำยังเชื่อมโยงกับแดนบรรพโกลาหล พลังโกลาหลที่แฝงอยู่ในนี้อันตรายถึงขีดสุด!
หากมิใช่เช่นนั้น ซีย่อมไม่กลายเป็นแบบนี้ สุนัขขาวก็คงไม่คิดจะใช้รอยแยกมิติสลัดสตรีเหล่านั้น
รอยร้าวมากมายปรากฏบนตัวซี โลหิตแดงฉานหลั่งไหลออกมาตามรอยร้าว ลมหายใจของนางแผ่วเบาลงไปอีก ต้านทานมิได้จริง ๆ ประกายในแววตาของนางหม่นหมองลง สติค่อย ๆ เลือนหาย
…
ภายในเมืองชิงซาน
หลี่จิ่วเต้าจับพู่กัน ตวัดไปมาฉวัดเฉวียน ลายมืองดงามดุดันดั่งมังกร ตัวอักษรสามสี่ตัวจรดอยู่บนกระดาษเซวียน
เขากำลังหัดเขียนตัวอักษรในห้องหนังสือ
ทันใดนั้น หัวใจเขาปวดแปลบ พู่กันชะงักงัน หมึกแผ่วงออกไป อักษรที่ถูกเขียนไว้ถูกทำลายภาพอักษรวิจิตรเละไม่เป็นท่า!
เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาปวดใจโดยไม่ทราบสาเหตุ อารมณ์หดหู่หม่นหมองลงฉับพลัน ราวกับกำลังจะสูญเสียคนสำคัญที่สุดไปอย่างนั้น
“ซี…เกิดเรื่องกับเจ้าหรือ!?”
หลี่จิ่วเต้าพึมพำกับตัวเอง นึกถึงซีขึ้นมาทันใด มือที่จับพู่กันอยู่กำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว พู่กันได้รับแรง ซึมทะลุกระดาษเซวียน หมึกที่ปลายพู่กันถูกบีบคั้นจนไหลเจิ่งออกมา
ความปวดใจนี้ยากจะพรรณา เขาแทบหายใจไม่ออก
“ซี เจ้าห้ามเป็นอะไร ต้องอยู่รอดต่อไปให้ได้!!!”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเข้ม ภาวนาในใจไม่หยุด ขอให้ไม่เกิดเรื่องกับซี
ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใด หัวใจของเขาหาได้เคยว้าวุ่นเฉกเช่นตอนนี้ เขาหายใจหนักหน่วง ขออย่าให้เกิดเรื่องกับซี ซีต้องอยู่รอดปลอดภัยต่อไป!
…
ภายในหลุมดำ พลังมิติแปรปรวนประดุจมีดคมมากมายฉีกกระชากร่างซีออกจากกัน รอยร้าวคืบคลานเต็มตัวของซี ตัวโชกเลือดไปหมด
“ข้าเจ็บใจนัก…ข้ายังไม่บรรลุสักสิ่ง ยังมิได้ล้างแค้นให้ท่านพ่อท่านแม่ คนในตระกูล นอกจากนี้…เหมือนว่าข้าจะลืมเลือนเรื่องสำคัญและคนสำคัญไป…”
น้ำตาไหลผ่านใบหน้าของซี นางเจ็บใจเหลือแสน อยากจะพยายามยันตัวขึ้น ทว่ากระดิกนิ้วยังมิได้
สติของนางเลือนรางไปอย่างสิ้นเชิง ตาที่ไม่อยากปิดสุดท้ายก็ปิดลง ร่างกายและวิญญาณของนางใกล้แตกสลายเต็มดี ความตายครอบคลุมเข้ามา
ตู้ม!
เวลานั้นเอง ประกายเจิดจ้าพวยพุ่งออกจากความว่างเปล่านับล้าน ส่องสว่างไปทั่วหลุมดำ แสงนั้นยังส่งไปถึงแดนบรรพโกลาหล ทะยานขึ้นฟ้า คลี่ปกคลุมไปทั่วแดนบรรพโกลาหล!
กฎระเบียบดึกดำบรรพ์ในฟ้าดินแล่นออกมา เสียงขับร้องบทเพลงเต๋าดึกดำบรรพ์สะท้อนก้องไปในกาลเวลาอันยาวนาน คล้ายว่าดังออกมาจากยุคสมัยเก่าแก่ที่สุด
นี่คือเสียงที่เก่าแก่ที่สุด เป็นเสียงแห่งวิถีเต๋า แม้แต่ผู้ทรงอำนาจในแดนบรรพโกลาหลยังไม่เคยได้ยินเสียงเช่นนี้มาก่อน
ท่ามกลางประกายเจิดจ้า ร่างพร่าเลือนร่างหนึ่งหลอมรวมปรากฏขึ้น กฎระเบียบดึกดำบรรพ์ถูกร่างพร่าเลือนร่างนั้นเหยียบไว้ใต้เท้า บทเพลงเต๋าดังคล้ายสรรเสริญ เขาเป็นเหมือนผู้พิพากษา คอยพิพากษาสรรพสิ่งทั้งปวง!
เขาลงมืออย่างบ้าคลั่ง ความโกรธแค้นท่วมท้นนภาโถมทับสู่ผืนนภาแห่งกาลเวลาอันยาวนาน หลุมดำระเบิด พลังมิติรวนเรเผ่นแน่บราวกับมีชีวิต และอกสั่นขวัญผวาถึงขีดสุด!
ภาพนี้เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
ผู้พิพากษาแห่งสรรพสิ่ง กระทั่งกฎระเบียบดึกดำบรรพ์ยังถูกเหยียบไว้ใต้เท้า บทเพลงเต๋าเก่าแก่ที่สุดขับร้องต้อนรับ เขาต้องเป็นตัวตนสูงส่งระดับไหนกัน แล้วไฉนเลยจะบันดาลโทสะง่าย ๆ
อีกนัยหนึ่งคือ มีเรื่องใดที่ทำให้ผู้พิพากษาสูงสุดผู้นี้โกรธเกรี้ยวได้ถึงปานนี้
ทว่าผู้พิพากษาสูงสุดเช่นนี้ แม้แต่ผู้ทรงอำนาจในแดนบรรพโกลาหลยังต้อยต่ำราวธุลีเมื่ออยู่ตรงหน้า ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง กลับพิโรธจริง ๆ ในเวลานี้ ทั้งยังลงมืออย่างบ้าคลั่ง!
พลังมิติที่เผ่นหนีไปถูกเขาสูบกลับมาด้วยมือเดียว หลอมรวมให้เป็นรูปเป็นร่าง แล้วฉีกเป็นชิ้น ๆ!
ทั้งที่ท่านผู้นี้สามารถลบล้างพลังมิติได้ง่าย ๆ กลับเลือกลงมือด้วยวิธีนี้ เห็นได้ชัดว่าท่านผู้นี้เดือดดาลอย่างแท้จริง!
ครั้งแล้วครั้งเล่า ฉีกแล้วหลอมใหม่ ฉีกไปเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง สุดท้ายถึงลบล้างพลังมิติไปอย่างสิ้นเชิง!
แสงมงคลสาดกระทบตัวซี บาดแผลของหญิงสาวหายดีในชั่วพริบตา ผิวทุกระเบียดของนางเปล่งประกาย นุ่มนวลยิ่งกว่าผิวของเด็กทารกเกิดใหม่เสียอีก อาภรณ์ที่เคยเปรอะเปื้อนโลหิตจนแดงฉาน ก็คืนสู่สภาพขาวสะอาดดุจหิมะ
ร่างพร่าเลือนนั้นสลายหายไป พลังอ่อนโยนมวลหนึ่งห่อหุ้มตัวซี ส่งซีเข้าไปในแดนบรรพโกลาหลช้า ๆ
“เกิดอันใดขึ้น!”
“นั่นแสงอะไร!?”
เวลานั้น สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลทั้งปวงต่างสะท้าน ลำแสงเจิดจ้านับล้านเมื่อครู่ทะลวงไปทั่วแดนบรรพโกลาหล จนพวกเขาตื่นตระหนกตกใจกันหมด และเหลือเชื่อว่านั่นเป็นพลังอันใดกันแน่!?
ที่นี่คือแดนบรรพโกลาหล สรรพสิ่งและพลังทั้งปวงล้วนถือกำเนิดขึ้นจากความโกลาหล มีแสงอันใดสามารถทะลวงแดนบรรพโกลาหลได้บ้าง
เป็นไปไม่ได้เลย!
ไม่ว่าแสงอันใดก็ไม่อาจทะลวงแดนบรรพโกลาหลได้ และจะลบล้างพลังกฎระเบียบในแดนบรรพโกลาหลทั้งปวงลง!
มีผู้ทรงอำนาจหมายจะพยากรณ์ให้ล่วงรู้ความจริง พลังระดับพวกเขา ไม่มีสิ่งใดเร้นกายจากการพยากรณ์ของพวกเขาได้ ความจริงทั้งหมดจะปรากฏออกมาด้วยการทำนาย
ทว่าการพยากรณ์ของเขายังไม่ทันเริ่ม เพิ่งได้ตั้งท่าเท่านั้น ก็ระเบิดแหลกลาญไปทั้งร่าง กลายเป็นเพียงหมอกเลือด!
ดีที่เขามีขอบเขตพลังลึกล้ำ จึงมิได้ตายไป หลอมร่างใหม่ขึ้นด้วยความยากลำบากเหลือล้น
“น่า…น่ากลัวเหลือเกิน!”
ใบหน้าของเขาซีดเผือด ไม่เห็นสีเลือดแม้แต่น้อย การพยากรณ์อย่างแท้จริงไม่ทันได้เริ่ม เขาเพียงคิดพยากรณ์ท่านผู้นั้นก็เกือบต้องจบชีวิตลง น่ากลัวยิ่งนัก!
เขาเป็นถึงผู้ทรงอำนาจ ซ้ำยังดำรงตนอยู่ในแดนบรรพโกลาหล เขาไม่ตายไม่ดับ พลังโกลาหลช่วยให้เขาคืนชีพจากความตายได้
แต่เมื่อครู่ เขาสัมผัสถึงอันตรายถึงตายได้จริง ๆ!
ความรู้สึกนั้นแจ่มชัดอย่างยิ่ง หากว่าตายไป แม้แต่พลังโกลาหลก็ไม่อาจคืนชีพให้เขา เขาต้องจบชีวิตลงอย่างสิ้นเชิง!
เขาอกสั่นขวัญผวา เหงื่อเย็นไหลโซม ปลื้มปริ่มเต็มหัวใจ นึกโชคดีที่เขายังมิได้พยากรณ์จริง ๆ มิฉะนั้นเขาไม่มีทางรอดมาได้ จักตายโดยไร้ที่ฝัง!
“นี่มัน!”
“สวรรค์!”
สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลมากมายตกตะลึงหลังได้เห็นภาพการพยากรณ์ของผู้ทรงอำนาจท่านนี้ พวกเขาชาไปทั้งหนังศีรษะ ตัวสั่นประหนึ่งเจ้าเข้า วิญญาณสั่นสะท้าน!
ไม่ทันได้พยาการณ์ก็เกือบตายหรือ ความจริงนั้นเป็นอย่างไรกันแน่!?
ใต้หล้านี้ยังมีพลังที่เหนือกว่าความโกลาหลอีกหรือ!?
พวกเขาไม่อาจเชื่อได้ลง ความตระหนักรู้ที่เคยมีพังครืน กระทั่งความพิศวงลางร้ายที่น่าพรั่นพรึงขีดสุดก็ไม่มีทางทำได้ถึงขั้นนี้!
“วุ่นวายไปหมดแล้ว!”
“ยามหายนะใกล้มาถึง ทุกอย่างจะไม่อาจหยั่งรู้ได้อีกจริง ๆ ด้วย!”
“นี่มันพลังอะไร เกี่ยวข้องกับความพิศวงลางร้ายหรือ”
ภายในแดนบรรพโกลาหล ผู้ทรงอำนาจตนแล้วตนเล่าพึมพำเสียงเบา หัวใจหนักอึ้งเป็นพิเศษ
พวกเขามองอนาคตไม่ออก ซึ่งเป็นเรื่องที่แย่ที่สุด ความพิศวงลางร้ายใกล้ปะทุแล้ว ยามนี้มีพลังเช่นนี้โผล่มาให้เห็นอีก ภายหน้าจะมีเรื่องใดเกิดขึ้นกันแน่!?
ความพิศวงลางร้ายซึ่งถูกสะกดไว้ที่แก่น ช่วงนี้เกิดความวุ่นวายอยู่บ่อย ๆ ผนึกนั้นคล้ายว่าเริ่มหละหลวม ประตูใหญ่เก่าแก่ดูเหมือนจะถูกเปิดออกแล้ว
สนามรบฝุ่นเขรอะนี้ใกล้จะได้ใช้งานอีกครั้ง แต่โบราณใกล้จะได้ดังกึกก้อง อนาคต…วุ่นวายยิ่งนัก!
ขณะเดียวกัน ซีร่วงลงมาบนทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งในแดนบรรพโกลาหล
นางลืมตาขึ้นช้า ๆ เจือไว้ด้วยความฉงนสนเท่ห์
“ที่นี่คือโลกหลังความตายหรือ”
นางพึมพำเบา ๆ เข้าใจว่าตัวเองตายไปแล้ว ในสถานการณ์เยี่ยงนั้น นางไม่มีทางรอด
“ดูเหมือนโลกหลังความตายมิได้เลวร้ายอันใด…ที่นี่สวยยิ่งนัก”
นางจ้องมองท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆขาวสะอาด รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า พร้อมกับเอ่ยขึ้นเสียงเบา