กว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะกลับมาจากตำหนักเฉียนชิงก็ค่ำมืด การรับมือกับฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องยากแต่ประการใด ทว่าความเบื่อหน่ายที่เกิดจากการใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายไปกับฮ่องเต้ต่างหากที่ทรมานเขายิ่งนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกประโยคที่ออกมาจากปากของฮ่องเต้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เขาสูญเสียพลังปราณไป
เฮ้อ ฮ่องเต้ก็แค่อยากให้เขาอยู่ห่างจากตำแหน่งรัชทายาทเท่านั้น
ตลอดหลายปีมานี้ เขาเอาแต่ใช้วิธีสกปรกเหมือนเดิมอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย
เด็กหนุ่มเยาะยิ้มพร้อมกับใช้มือซ้ายถอดเสื้อคลุมของตัวเองออก แต่เขาก็เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีที่ตระหนักได้ว่าห้องนี้เงียบเกินไป
หลังจากสาวเท้าเดินต่อสองสามก้าว เขาก็ยังไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว
แม้กระทั่งเตาที่อยู่บนโต๊ะไม้จันทน์ก็ยังเย็นเฉียบ
ทันใดนั้นความรู้สึกหวาดกลัวอันคุ้นเคยก็พวยพุ่งออกมาจากหัวใจและแพร่กระจายไปจนถึงปลายเท้าของเขา
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความเย็นภายในร่างกาย แม้กระทั่งศีรษะของเขาก็พลันหนักอึ้ง
อีกแล้วหรือ
นางหายตัวไปตามใจอีกแล้วหรือ
เขาหายใจเข้าลึก แล้วกำนิ้วเข้าหากันอย่างช้าๆ
พอเถอะ
พอกันที
ก็แค่ผู้หญิงคนเดียว
บนโลกนี้มีผู้หญิงคนอื่นอีกตั้งมากมายที่เชื่อฟังเขามากกว่านาง
อย่าไปสนใจนางอีกเลย
นางมักเข้ามาสร้างความวุ่นวายให้กับจิตใจของเขาก่อนจะหายตัวไปตามอำเภอใจเสมอ ราวกับว่านี่คือสิ่งที่นางเชี่ยวชาญที่สุด
จากวันแรกจนกระทั่งวันนี้ นางมักจะเป็นเช่นนั้นเสมอ
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดเลย ก็แค่หาผู้หญิงคนอื่นเท่านั้น
แม้นั่นจะเป็นสิ่งที่เขาบอกกับตัวเองในใจ แต่ดวงตาของเขากลับเผยความจริงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาเจ็บปวดอย่างสุดแสน
เขาไม่สามารถข่มอารมณ์ของตัวเองได้เลย
เด็กหนุ่มแนบฝ่ามือเข้ากับหน้าผากพลางเริ่มหัวเราะเยาะตัวเอง จากนั้นเขาจึงตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงลึกล้ำว่า ”ใครก็ได้!” เตาไฟอาจจะเย็นแล้ว แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความอุ่นอันน้อยนิดนั้น นางคงยังไปได้ไม่ไกล!
ความคิดนั้นยังคงอยู่ในในของเด็กหนุ่ม แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นร่างร่างหนึ่งเดินออกมาจากมุมห้อง
นางดูเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน บนไหล่ของนางยังมีผ้าห่มพาดอยู่เลยด้วยซ้ำ นางมองเขาอย่างงุนงง อาจเป็นเพราะนางคิดว่าเมื่อครู่นี้เขาเรียกหานางนั่นเอง
“เจ้าอยากดื่มชาหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดื่มชาเป็นกิจวัตร โดยอย่างยิ่งในฤดูหนาว เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้มืออังกาน้ำชา พลางเอ่ยว่า ”มันเย็นแล้ว ข้าจะไปตามคนมารินชาร้อนๆ ให้ก็แล้วกัน”
แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ก้าวเท้าออกไป นางก็ถูกอุ้มจนตัวลอยจากทางด้านหลังแล้ววางลงบนตั่งยาวตัวที่ใกล้ที่สุด
ตามมาด้วยจูบอันเร่าร้อนอย่างกะทันหัน จูบนั้นค่อยๆ ดุดันขึ้นทีละน้อยเหมือนกับการล้อมโจมตีปราสาท
ถ้าเป็นเรื่องของทักษะการจูบแล้วละก็ เฮ่อเหลียนเวยเวยเทียบไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ติด
ลำตัวของเขาที่แนบชิดกับหน้าอกของนางร้อนระอุ ร่างสูงโปร่งร้อนขึ้นทุกนาทีจนแทบจะเผานางให้เป็นจุล
มือข้างหนึ่งของเขาไล้ไปตามแผ่นหลังของนางก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ทรวงอกอันอ่อนนุ่ม เขาออกแรงคลึงมันเบาๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเกร็งตัวขึ้นในทันที สิ่งเดียวที่นางต้องทำในเวลานี้คือถดตัวออกห่างจากเขา
แต่เขากลับไม่ยอมให้นางได้ทำเช่นนั้นพร้อมทั้งใช้ฝ่ามือใหญ่ของตัวเองยึดด้านหลังศีรษะนางเอาไว้ ปลายลิ้นของเขายังมีกลิ่นชาหอมติดอยู่ กลิ่นนั้นค่อยๆ พรั่งพรูเข้ามาในลมหายใจของนางอย่างแช่มช้า
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อนางตั้งสติกลับมาได้อีกครั้ง ร่างของนางก็จมอยู่ใต้เสื้อคลุมขนสัตว์นุ่มๆ ของเขาเสียแล้ว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหายใจกระเส่าขณะที่ร่างกายของเขาร้อนราวกับไฟเผา สายตาที่เขามองนางเปี่ยมไปด้วยความร้อนแรงและบ้าคลั่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยายามจะอ้าปากพูด แต่ปากของนางก็ถูกร่างที่โน้มลงมาขวางไว้ จากนั้นเขาจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวลงมาที่ด้านล่าง ตั้งแต่ซอกคอไปจนถึงหน้าอกอันงดงามของนางล้วนแต่ถูกเขากัดและดูดไปทั่ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกหมดเรี่ยวแรงไปทั้งร่างทันทีที่ความรู้สึกอุ่นวาบราวกับกระแสไฟฟ้ากระจายไปทั่วตัวจนนางต้องงอขา แต่สติของนางกลับยังแจ่มชัด
นางเริ่มผลักเขาออก แต่เขากลับดูเหมือนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้มือข้างหนึ่งยึดแขนทั้งสองข้างของนางไว้เหนือศีรษะ ขณะที่ใช้มืออีกข้างสำรวจไปทั่วร่างของนาง ดวงตาลึกล้ำคู่สวยของเขาดูเหมือนกับบ่อน้ำอันไร้ก้นบึ้ง ”เจ้าปฏิเสธข้าหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันผิดปกติของเขา นางตอบเขาด้วยดวงตาอันเยือกเย็นและถอนหายใจออกมา ”ข้าไม่ใช่นางบำเรอของเจ้า แล้วก็ไม่ใช่คนคนนั้นจากตระกูลเฮ่อเหลียน เจ้าล้ำเส้นเกินไปแล้ว”
“ล้ำเส้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยฝังใบหน้าเข้ากับลำคอของนางพลางเอ่ยต่อ ”ตอนนั้นเป็นเจ้าต่างหากที่ยั่วข้าก่อน ในเมื่อเจ้าทำเช่นนั้นลงไปแล้ว ทำไมเจ้าไม่อยู่ต่อและให้ความหวังกับข้าสักนิดเล่า การได้ผลักไสข้ากลับไปสู่ขุมนรกนั่นเป็นเพียงเรื่องตลกสำหรับเจ้าหรือ”
ในเวลานั้นราวกับว่าการปรากฏตัวของนางเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ
มันเหมือนกับช่วงเวลาฟ้าสางที่แสงสว่างส่องผ่านม่านหมอกสีดำหนาทึบลงมา และแทงทะลุเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจของเขา
ทุกคนมีแผนการบางอย่างในใจกับเขาเสมอ รวมถึงบรรดาสาวใช้และมารดาร่วมสายโลหิตของเขาด้วย
มีแต่นางเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะจูบมุมปากของเขาก่อนเข้านอน
นางเป็นเพียงหนทางเดียวที่เขาจะได้ความรักอันอบอุ่นมาไว้ในมือ แต่ความรักของนางกลับไม่ได้มีไว้เพื่อเขา
การรู้ว่าเขาเคยรู้สึกมีความสุขเพียงใดมีแต่จะยิ่งทำให้ความรู้สึกนี้ยากจะกล้ำกลืนขึ้นเท่านั้น
สำหรับนางแล้ว เขาเป็นเพียงแค่เศษชิ้นส่วนวิญญาณชิ้นหนึ่ง นางไม่เห็นเขาเป็นตัวของเขาเองเลยด้วยซ้ำ
แปดปีที่แล้ว เขาได้ใช้เวลาอยู่กับนางเพียงแค่สิบวันเท่านั้น แต่คนคนนั้นกลับได้ใช้เวลาส่วนมากร่วมกับนาง
พวกเขาถึงขั้นแต่งงานกันแล้วด้วยซ้ำ
นางจะจูบคนคนนั้นเหมือนอย่างที่นางจูบเขาหรือเปล่า
นางต้องจูบแน่อยู่แล้ว ตอนที่นางยังไม่ได้สติเต็มที่ นางถึงกับเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนคนนั้นอีกด้วย…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเยาะยิ้มอย่างเย้ยหยัน แต่มันกลับดูเหมือนเขากำลังยิ้มให้กับตัวเอง เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งว่า ”เจ้าไปแล้ว กลับมาทำไมอีก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหลุบตาลง ”เจ้าก็รู้เหตุผลว่าทำไม”
“เจ้าต้องการให้ข้าตามเจ้ากลับไปหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจวนเจียนจะถูกความมืดภายในใจกลืนกินเต็มที เขาหวังว่าจะได้คำตอบอื่นจากนาง แต่… เขามีประโยชน์เพียงแค่นั้นจริงๆ หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยตกใจกับความเย็นชาและห่างเหินที่อยู่ในตาของเขา เมื่อเห็นเขาลุกขึ้น นางก็พลิกตัวกลับโดยไม่ลังเล นางแยกขาออกแล้วกักขังเขาเอาไว้ใต้ร่างของนาง มือซ้ายของนางบีบอยู่บนบ่าของเขา ขณะที่นางถามว่า ”เจ้าจะตามข้ากลับไปหรือเปล่า”
“ไม่” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นเย็นชายิ่งนัก แสงในดวงตาของเขาเลือนหายไปจนหมดสิ้นและไม่มีทีท่าว่าจะสว่างขึ้นมาอีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ถึงรสชาติขมปร่าในปาก ”เป็นเพราะเจ้าหาเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่ได้แล้วหรือ เจ้าถึงกับให้จูบแรกของเจ้ากับคนคนนั้นไป ดูเหมือนเจ้าคงไม่อยากกลับไปกับข้าอีกแล้ว”
“จูบแรก…” ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเรืองแสงวาบขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกันนั้นเขาก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของนาง ”จูบแรกของข้าเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย ทำไมเจ้าจึงต้องสนใจถึงเพียงนี้ด้วยล่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเจ็บจากมือที่ถูกกุมอยู่ แต่นางก็ไม่มีเวลาให้ขัดขืน
ทันใดนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ดึงนางกลับเข้ามาสู่อ้อมกอด น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาดังก้องอยู่ในหูของนาง ”เจ้าคิดว่าคนแรกที่ข้าจูบคือใครหรือ”
นางจะไปรู้ได้อย่างไร เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น เขาว่ากันว่าองค์ชายไม่ชอบเข้าใกล้หญิงใดเกินงามมิใช่หรือ ทำไมเขาถึงเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้นัก
“ก็เจ้าน่ะสิ นานแสนนานมาแล้ว ข้าคิดอยู่บ่อยๆ ว่าข้าควรจะจูบเจ้าอย่างไรดี ข้าควรจะใช้ลิ้นของข้าสัมผัสกับริมฝีปากของเจ้าอย่างไรถึงจะสามารถทำให้เจ้าแสดงสีหน้าอื่นๆ ออกมาได้ หึ เจ้าดูประหลาดใจทีเดียว เด็กผู้ชายก็โตวัยเช่นนี้ การคิดเรื่องพวกนี้ออกด้วยตัวเองโดยไม่มีแม้กระทั่งคำชี้แนะนับว่าเป็นเรื่องปกตินัก” ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่ห่างจากเฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงไม่กี่นิ้ว นางสัมผัสได้กระทั่งลมหายใจของเขาในขณะที่เขาพูดราวกับว่ามันรินรดลงบนริมฝีปากของนางโดยตรง ความรู้สึกนี้ทำให้ขาของนางอ่อนแรงลงเล็กน้อย
“แต่แน่นอนว่าแค่จูบมันยังไม่พอ ถ้าในวันที่เจ้ากลับมาไม่ได้มีคนอยู่มากถึงเพียงนั้นละก็ ข้าคงจะตรึงเจ้าเอาไว้กับโต๊ะไม้จันทน์และทำทุกสิ่งที่ข้าอยากทำกับร่างของเจ้าไปแล้ว เจ้าคงไม่มีโอกาสได้ขัดขืนข้าด้วยซ้ำ” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มสง่างามและราบเรียบ แต่มันก็แฝงไปด้วยอำนาจอันแปลกประหลาดที่ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเหมือนถูกกระแทกไปทั้งตัว…