แม้จะได้เสวยยาอายุวัฒนะ แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจ และสุดท้ายความปรารถนาอยากเป็นอมตะอย่างแรงกล้าของเขาก็ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์นี้
เลือดของเด็กสาวเป็นสิ่งที่ช่วยยืดอายุได้ดีที่สุด แต่มันก็สามารถล่อล่วงผู้คนให้เข้าสู่หนทางแห่งการเป็นปีศาจได้เช่นกัน
ยาทุกเม็ดที่ฮ่องเต้เสวยล้วนแต่มีเลือดอยู่ในนั้น
ทันทีที่นายท่านออกคำสั่ง คนคนนั้นก็จะกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือของพวกเขา…
ค่ำคืนเริ่มดึกสงัด เงาไม้ส่ายไหวไปมาภายในห้องแห่งหนึ่งของวังหลวง
ฮ่องเต้อยู่ในฉลองพระองค์สีทองทั้งตัว เขานั่งอยู่ในมุมที่มืดที่สุดของห้อง ไม่มีใครมองเห็นสีหน้าของเขา สิ่งเดียวที่เห็นได้มีแต่เพียงคราบเลือดบนริมฝีปากของเขาเท่านั้น และมันทำให้เขาดูน่าขนลุกทีเดียว
ขันทีเกาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองจากอีกฟากของฉากกั้น เขาตัวสั่นด้วยความกวาดกลัวและเอาแต่ก้มหน้า แม้กระทั่งนิ้วของเขาก็ยังสั่นอย่างรุนแรง
ฮ่องเต้เหลือบตามองเขา น้ำเสียงของเขาเย็นชาขณะกล่าวว่า ”เจ้าเห็นหรือเปล่า”
ขันทีเกาสะดุ้ง เขาตัวสั่นไปทั้งตัวพร้อมกับตอบเสียงดังว่า ”กระหม่อมไม่เห็นอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้จ้องมองเขาอย่างเย็นชา แล้วจึงบอกว่า ”ข้าชอบคนฉลาด ในเมื่อเจ้าไม่เห็น เช่นนั้นก็ไปนำตัวนางกำนัลมาให้ข้าอีก!”
“แต่ แต่ช่วงนี้… สถานการณ์ในวังหลวง.. ฝ่าบาทก็น่าจะทรงทราบว่า…” ขันทีเกาตะกุกตะกัก เขาหยุดกลืนน้ำลายก่อนจะเอ่ยต่อ ”หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป กรมขุนนางภายในจะต้องรู้เรื่องนี้แน่ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ ฮ่องเต้ก็มีน้ำโหขึ้นมาทันที เขาคำรามว่า ”นางกำนัลตายไปแค่ไม่กี่คน กรมขุนนางภายในกลับยังไม่หยุดตรวจสอบเรื่องนี้อีก พวกมันกล้าดีอย่างไรถึงได้พยายามสืบสวนเรื่องนี้!”
ความจริงแล้วเขากลัวยิ่งกว่าใครว่าจะมีคนรู้เรื่องนี้เข้า
สมาชิกราชวงศ์จะกราบไหว้บูชาปีศาจมิได้ มันคือกฎที่บรรพบุรุษของพวกเขาส่งต่อกันมา
แม้ว่าอดีตฮ่องเต้จะไม่ได้อยู่ในวังหลวง แต่บรรดาอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ยังมีอำนาจทางการทหารอยู่บางส่วน
เขาจะบุ่มบ่ามทำอะไรไม่ได้เด็ดขาด ถ้าคนพวกนั้นรู้เรื่องที่เขาดื่มเลือดมนุษย์เพื่อความเป็นอมตะละก็…
ทุกอย่างจะต้องถูกพรากไปจากเขาอย่างแน่นอน
เขาจะเสียบัลลังก์และอำนาจที่อยู่ในมือไปไม่ได้
เขาอยากได้ชีวิตอมตะอย่างมากเพราะเขาอยากนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรนี้ไปตลอดกาล!
ถึงเขาจะสามารถไล่ผู้ติดตามที่อดีตฮ่องเต้ไว้ใจออกได้ แต่คนทั่วไปย่อมไม่ยอมรับคนที่ดื่มเลือดมนุษย์เป็นฮ่องเต้ของพวกเขา
ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ความลับนี้
ค่ายกลอาคมสู่ความเป็นอมตะของเขากำลังจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทั้งหมดที่เขาต้องการก็คือเลือดของสาวใช้พรหมจรรย์อีกสักสามคน
เขาจำต้องคิดหาแผนการปิดปากคนจากกรมขุนนางภายในให้ได้เสียก่อน
ฮ่องเต้หลับตาลง และดำดิ่งสู่ภวังค์ความคิดของตน…
แต่ทันใดนั้น อีกด้านของฉากกั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น!
ฮ่องเต้ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วมองไปยังทิศทางของต้นเสียงพร้อมกับตะโกนว่า ”นั่นใคร”
ร่างของเด็กชายตัวน้อยที่ยุกยิกอยู่แข็งทื่อในทันที เขามองเชิงเทียนที่อยู่ใต้เท้า ดวงตาสุกใสเป็นประกายค่อยๆ ปิดลง ความเย็นชาชั่วร้ายทะลักออกมาจากศีรษะของเขาก่อนกระจายไปทั่วตัว
เขาชะงักไปชั่วอึดใจ ก่อนจะวิ่งเข้าไปด้วยท่าทางร่าเริงพร้อมกับถือขนมที่ได้มาจากข้างนอกไว้ในมือ เขากัดขนมเข้าปากคำหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยอย่างมีชีวิตชีวาว่า ”เสด็จพ่อ ข้าเอง! ข้าหิวแล้วไม่มีอะไรกิน ข้าก็เลยมาหาท่าน”
ฮ่องเต้เคลื่อนสายตาลงมองเด็กชายตัวน้อยที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เขาหลับตาลงครู่หนึ่งราวกับต้องการยืนยันอะไรบางอย่าง แล้วจึงเอ่ยว่า ”มานี่สิ เข้ามาหาพ่อใกล้ๆ”
เด็กชายตัวน้อยกำมือซ้ายที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมตัวยาวพลางพยายามรักษาสีหน้าตื่นเต้นของตัวเองเอาไว้
พี่สามเคยบอกเอาไว้
ว่าไม่ว่าจะเจอสถานการณ์เช่นใด
อย่าแสดงอารมณ์ที่แท้จริงของตัวเองออกไปให้อีกฝ่ายเห็น…
แล้วถึงจะยังมีโอกาสอยู่!
เมื่อคิดได้ดังนั้น เด็กชายตัวน้อยจึงกัดขนมเข้าปากอีกคำ แล้วก้าวเข้าไปหาฮ่องเต้ตามปกติ
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…
“พอแล้ว ไม่ต้องเข้ามาอีก” ฮ่องเต้ส่งยิ้มอบอุ่นให้กับเขา และเอ่ยว่า ”ยืนอยู่ตรงนั้นล่ะ ข้าเห็นเจ้าชัดเจนดีแล้ว เมื่อครู่นี้ตอนที่เจ้ายืนอยู่นอกห้อง เจ้าได้ยินอะไรหรือไม่”
เด็กชายตัวน้อยรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทดสอบเขา พี่สามเคยบอกเขาว่าคนใหญ่คนโตควรพูดเท็จแค่สามส่วน และรักษาความจริงเอาไว้เจ็ดส่วนเพื่อเกลี้ยกล่อมผู้อื่น
ปัญหาอยู่ที่ว่าจะพูดความจริงเจ็ดส่วนนั้นออกมาอย่างไรให้อีกฝ่ายคลายความสงสัยลงได้
“ได้ยินขอรับ” เจ้าเจ็ดตอบพลางเคี้ยวขนมเต็มปากจนแก้มพอง จากนั้นจึงเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า ”ข้าไม่ได้หูหนวก แน่นอนว่าข้าย่อมได้ยินขอรับ ท่านกำลังคุยกับขันทีเกาอยู่หรือ พวกท่านคุยเรื่องอะไรกันหรือขอรับ ใช่เรื่องมื้อเช้าพรุ่งนี้หรือเปล่า”
ขันทีเกาถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากได้ยินที่เขาพูด
ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เขากลัวว่าองค์ชายเจ็ดจะได้ยินอะไรเข้า แล้วเอาเรื่องนั้นไปบอกทุกคน
หากดูจากตำแหน่งที่ฮ่องเต้อยู่ในปัจจุบันแล้ว องค์ชายเจ็ดคงได้ตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวงแน่ ถ้าเขาได้ยินทุกอย่างเข้าจริง…
โชคดี! โชคดีเหลือเกิน!
ขันทีเกาปลอบตัวเองในใจ
อีกด้านหนึ่ง ฮ่องเต้หัวเราะออกมาและตอบว่า ”เจ้าคิดว่าทุกคนสนใจแต่เรื่องกินเหมือนเจ้าหรือ ถ้าหิวก็ไปที่ห้องเครื่องแล้วบอกให้พวกเขาทำอะไรอร่อยๆ ให้เจ้ากิน ข้าเริ่มรู้สึกเพลียขึ้นมาแล้ว เจ้าน่าจะบอกราตรีสวัสดิ์ข้าแล้วก็ออกไปเสีย”
“ขอรับ! ว่าแต่ข้าเอาขนมพวกนี้ออกไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ” เด็กชายตัวน้อยแสร้งทำเป็นเห็นแก่กินเหมือนตอนปกติ
ยิ่งเขามีท่าทางเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็ยิ่งพอใจ ”ย่อมได้อยู่แล้ว!” ทุกสิ่งย่อมเป็นไปได้ด้วยดีถ้าเขาไม่ได้ยินอะไร
“ขอบพระทัยขอรับเสด็จพ่อ” เด็กชายตัวน้อยเดินออกไปอย่างกระฉับกระเฉง เขายื่นมือออกมาจากแขนเสื้อ แต่มันคันจนเด็กชายต้องรีบเกา
ฮ่องเต้จ้องเขม็งไปที่การกระทำของเจ้าเจ็ด สายตาของเขาหยุดอยู่ที่หลังมือของอีกฝ่าย
องค์ชายเจ็ดฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่ยังเล็ก ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าฮ่องเต้กำลังจ้องเขาเหมือนอสรพิษที่กำลังจ้องเหยื่อของมัน หากเหยื่อเผยจุดอ่อนออกมาเมื่อใด อสรพิษตัวนั้นก็พร้อมที่จะกลืนมันลงไปทั้งตัว!
เด็กชายตัวน้อยยืนหันหลังให้กับแสงแล้วหรี่ตาลงขณะรวบเอาขนมทุกชิ้นบนโต๊ะขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน เขาหอบพวกมันค่อยๆ เดินออกไปจากห้องบรรทมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อเห็นว่าเด็กชายตัวน้อยออกไปแล้ว สีหน้าของฮ่องเต้จึงกลับมาดำทะมึนอีกครั้ง ”ส่งคนออกไปรักษาการณ์นอกห้อง จากนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามาในห้องบรรทมของข้าตามอำเภอใจ!”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเกาตัวสั่น เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของฮ่องเต้ได้เป็นอย่างดี
ฮ่องเต้ดูเหมือนจะคิดเรื่องอื่นขึ้นมาได้ เขาจึงถามว่า ”เจ้าเห็นมือของเจ้าเจ็ดหรือไม่”
“เห็นพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเกาตอบด้วยท่าทางเคารพ ”องค์ชายเจ็ดยังมีอาการเช่นเดิมเหมือนตอนประสูติพ่ะย่ะค่ะ เมื่อใดที่มีปราณแห่งความเคียดแค้นมากเกินไป หรือเมื่อใดที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม เขาจะรู้สึกระคายผิวพ่ะย่ะค่ะ นอกจากรอยโรคผิวหนังที่เขาได้มาตอนอายุหนึ่งขวบ ก็นานมากแล้วที่เขาไม่ได้คันผิวจนถึงขั้นต้องเกาหนักเช่นนี้ แต่ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเชื่อว่าในอีกสองสามวันนี้เขาก็น่าจะหายเป็นปกติดี”
หลังจากได้ฟังดังนี้ ฮ่องเต้ก็ค่อยๆ หรี่ตาลง เลือดสีแดงเข้มไหลผ่านเส้นเลือดที่หางตาของเขา พร้อมกันนั้นเขาก็คำรามขึ้นว่า ”เจ้าว่าเขาได้ยินสิ่งที่ข้าพูดหรือเปล่า”
คำพูดทุกคำที่ฮ่องเต้เอ่ยออกมาล้วนแต่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว
หัวใจของขันทีเกาบีบตัวเข้าหากันแน่นขณะที่เขาตอบอย่างตะกุกตะกักว่า ”ไม่… ไม่น่าจะได้ยินนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่น่าจะหรือ” ฮ่องเต้หันหน้ามามองเงาของตัวเองในกระจก เขาสามารถมองเห็นริมฝีปากเปื้อนเลือดที่อยู่ใต้ปลายจมูกของตัวเองได้อย่างชัดเจน…
ทันใดนั้น ฮ่องเต้ก็หรี่ตาลงและพูดขึ้นอย่างชั่วร้ายว่า ”ไม่ เขาได้ยินทุกอย่าง เขาเพียงแค่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินต่างหาก”