“ข้าประเมินเขาต่ำเกินไปจริงๆ อย่างไรองค์ชายสามก็เป็นคนที่เลี้ยงเขามากับมือ เขาจะรู้จักแต่เรื่องของกินได้อย่างไร” ฮ่องเต้สัมผัสเลือดที่เปรอะอยู่บนริมฝีปากตัวเอง สายตาของเขามืดมิดระหว่างออกคำสั่งว่า ”ประกาศให้ทุกคนรู้ซะว่าเราระบุตัวฆาตกรที่สังหารนางกำนัลพวกนั้นได้แล้ว”
ขันทีเกาชะงักไป พร้อมกับทวนคำถามกลับว่า ”ฆาตกรที่สังหารนางกำนัลหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ถูกต้อง” ฮ่องเต้กระตุกยิ้มพลางกล่าวว่า ”องค์ชายเจ็ดเผยนิสัยอันชั่วร้ายเยี่ยงปีศาจของตัวเองออกมา และสังหารพวกนางเพื่อข่มความหิวโหยของตัวเอง เขาหลบหนีไปทันทีหลังจากที่ข้ารู้เรื่องนี้เข้า ร่างราชโองการแล้วนำไปประกาศให้สาธารณชนได้รู้พร้อมๆ กัน และสั่งให้กรมขุนนางภายในสืบสวนเรื่องนี้โดยทันที!”
ไม่ควรมีใครได้ล่วงรู้ความลับของเขา…
แม้กระทั่งบุตรชายของเขาเอง!
ความจริงแล้ว… เหตุการณ์นี้ก็นับว่าเป็นโอกาสสำหรับเขาเลยก็ว่าได้
ตราบใดที่กรมขุนนางภายในเปลี่ยนผู้ต้องสงสัยเป็นคนอื่น เขาก็จะสามารถหลบหนีจากปัญหานี้ไปได้
สำหรับเขาแล้ว บุตรชายมีหน้าที่แบกรับภาระแทนผู้เป็นบิดา
องค์ชายเจ็ดควรคิดเสียว่านี่เป็นโอกาสในการตอบแทนความรักและความเมตตาที่เขาได้รับมาตลอดหลายปี
ทันทีที่ราชโองการถูกประกาศออกไป จะไม่มีใครเชื่อคำพูดของเจ้าเจ็ดอีก!
ขันทีเกามองสถานการณ์นี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่เขาก็ไม่สามารถให้การช่วยเหลืออันใดได้ในเมื่ออดีตฮ่องเต้และองค์ชายสามไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าเขาไม่ทำตามรับสั่งของฮ่องเต้ เขาจะต้องถูกประหารชีวิตอย่างแน่นอน เพราะอย่างไรชายผู้นี้ก็เป็นผู้ตัดสินทุกอย่างในวังหลวง!
ราชโองการถูกประกาศออกไปในคืนเดียวกันนั้นนั่นเอง
กองพันลาดตระเวนทั้งหมดของหน่วยทหารรักษาพระองค์เข้ามาถึงวังหลวง
พวกเขาล้วนแต่เป็นทหารของฮ่องเต้ เมื่อใดที่พวกเขาถูกเรียกตัวเข้ามา ย่อมหมายความว่ากำลังจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น
บรรดานางกำนัลและขันทีต่างกระซิบกระซาบกันด้วยความหวาดกลัวว่า ”เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“เจ้าไม่ได้ยินหรือ มีข่าวลือว่าพวกเขาจะตามล่าตัวองค์ชายเจ็ด ข้าได้ยินข่าวลือมาจากตำหนักเฉียนชิงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา คนที่ฆ่านางกำนัลพวกนั้นก็คือองค์ชายเจ็ดนี่เอง!”
“ไม่มีทางหรอก!” หนึ่งในนั้นแย้งขึ้น ”องค์ชายเจ็ดเป็นเด็กน่ารักถึงเพียงนั้น อีกอย่างเขาก็ยังเด็กมากด้วย เขาจะฆ่านางกำนัลจำนวนมากถึงเพียงนั้นได้อย่างไร”
“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ลือกันว่าเขากำลังจะกลายร่างเป็นปีศาจ เจ้าไม่สังเกตหรือว่ากระเพาะขององค์ชายเจ็ดใหญ่กว่าคนธรรมดาทั่วไป เด็กธรรมดาจะกินอาหารมากถึงเพียงนั้นได้อย่างไร แต่องค์ชายเจ็ดกลับไม่เคยพูดสักครั้งเลยว่าเขารู้สึกอิ่ม เจ้าจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ห้องของขันทีซุนได้หรือเปล่า ที่ว่าตอนนั้นเขาถูกขันทีซุนดุเพราะเขาวิ่งเล่นอย่างไม่รู้จักระวังทั้งที่ในปากยังมีปลาทองตัวเป็นๆ อยู่ ต่อไปนี้พวกเราคงต้องระวังตัวกันให้มากขึ้นแล้วกระมัง โดยเฉพาะเมื่อองค์ชายเจ็ดยังลอยนวลอยู่เช่นนี้ ถ้าเขาเห็นพวกเราเข้า พวกเราอาจจะถูกเขาสูบเลือดออกจนหมดตัวก็ได้…”
“เจ้าหยุดพูดเถอะ ชักจะน่ากลัวเกินไปแล้ว!”
เสียงของพวกเขาค่อยๆ เลือนหายไปในวังหลวง
สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นางกำนัลทุกคนต่างไปไหนมาไหนกันเป็นกลุ่ม แม้กระทั่งเวลาทำธุระส่วนตัว พวกนางก็ยังหาเพื่อนไปด้วยเพราะกลัวจะประสบเหตุการณ์น่าสะพรึงขวัญเข้า
องค์ชายเจ็ดมีพลังปราณสูงส่ง ดังนั้นการจับกุมตัวเขาจึงไม่ง่ายเลยทีเดียว
กองพันลาดตระเวนส่งทหารหลายพันนายกระจายกำลังกันออกค้นหาภายในวังหลวง
ไม่ว่าจะเป็นประตูทางทิศตะวันออก ทิศตะวันออก ทิศเหนือ หรือแม้แต่ทิศใต้…
ประตูทุกบานล้วนแต่ได้รับการคุ้มกันโดยยอดฝีมือจากจวนผู้อาวุโส
แม้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่าพวกเขาจะสามารถจับกุมตัวองค์ชายเจ็ดได้หรือไม่ แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือเขายังคงอยู่ในวังหลวง…
กร๊อบ!
ต้นสนกลางฤดูหนาวโน้มลงเพราะไม่สามารถต้านทานน้ำหนักของหิมะที่ทับถมกันอยู่บนกิ่งของมันได้และทำให้หิมะร่วงหล่นลงมาที่ร่างของเด็กชายตัวน้อย
เด็กชายตัวน้อยคู้ตัวเป็นก้อนกลม ชุดของเขาเปียกโชก อาการคันเรื้อรังและความเจ็บปวดที่ร่างกายกำลังประสบอยู่ทำให้เขาเผลอเกาตัวเองโดยควบคุมไม่ได้
แต่อาการคันอันเจ็บปวดนั้นกลับไม่ได้บรรเทาลงเลย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เวลานี้หลังมือของเขากลับปกคลุมไปด้วยรอยข่วนเปื้อนเลือดหลายแห่ง
เด็กชายตัวน้อยขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจขณะจ้องมองสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหลังมือตัวเอง ก่อนจะเอนหลังพิงเข้ากับลำต้นของต้นไม้อีกครั้ง
เดิมทีนั้นเขาวางแผนที่จะไปหาพี่สาม
แต่ระหว่างทาง เขาก็พลันตระหนักขึ้นมาได้ว่าช่วงนี้พี่สามกับพี่สะใภ้สามไม่อยู่
นอกจากนั้นตำหนักของพี่สามก็ยังเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดอีกด้วย
ถ้ายังเขาซ่อนตัวอยู่ในตำหนักเฉียนชิง โอกาสที่เขาจะถูกจับได้ในทันทีย่อมมีน้อยกว่า
เด็กชายตัวน้อยขยับร่างอันเหนื่อยล้าของตัวเองและพยายามขยับขาทั้งสองข้าง แต่เขากลับรู้สึกร้อนจี๋ไปทั้งร่าง แม้กระทั่งแขนขาทั้งสี่ก็ยังไร้เรี่ยวแรง
หลังจากลูบท้องตัวเอง เขาก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วส่งมันเข้าปาก พอเคี้ยวไปสองสามคำ เด็กชายก็เงยใบหน้าเล็กๆ ของตัวเองขึ้น
เขาบังเอิญได้ยินบทสนทนาของนางกำนัลเข้า
มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่เสด็จพ่อจะใช้เขาเป็นแพะรับบาป
เจ้าเจ็ดรู้ว่าเขาแตกต่างจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ย สิ่งที่เขาตระหนักได้ทำให้ดวงตาของเขาหม่นแสงลง เขาเม้มริมฝีปากที่สั่นระริกของตัวเองเข้าหากันแน่นด้วยท่าทางราวกับกำลังจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ
แต่เขาก็ยั้งตัวเองได้อย่างรวดเร็วหลังจากสูดน้ำมูกไปสองครั้ง
พี่สามบอกว่าลูกผู้ชายไม่หลั่งน้ำตา
เขาบอกตัวเองว่าเขาเป็นลูกผู้ชาย และจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องเสื่อมเสียภาพลักษณ์
แต่อย่างไรเขาก็ยังหวาดกลัวอยู่ในใจ ไม่ใช่เพราะสาเหตุใด แต่เป็นเพราะสิ่งที่อยู่บนมือ
เด็กชายตัวน้อยถูมันอย่างแรง เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม
ข้าก็แค่มีความสุขกับการกินจริงๆ นอกจากนั้นข้าก็ออกจะหน้าตาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ ทำไมพวกเขาถึงเรียกข้าว่าปีศาจล่ะ
เด็กชายตัวน้อยคิดกับตัวเองขณะเงยหน้าขึ้น เขากัดขนมเย็นชืดก้อนนั้นเข้าปาก จากนั้นจึงร้องออกมาราวกับลูกเสือตัวน้อย ”พี่สาม ท่านอยู่ที่ไหนขอรับ…” ถ้าท่านไม่กลับมาในเร็วๆ นี้ เขาอาจจะถูกจับจริงๆ เขาไม่อยากถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินเพราะอาหารข้างล่างนั่นจะต้องสกปรกและไม่อร่อยแน่ๆ
เด็กชายตัวน้อยกัดฟัน เขารู้ว่าซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะลองลุกขึ้นเสี่ยงโชคอีกสักหน แต่โชคร้ายที่แขนขาทั้งสี่ของเขายังอ่อนแรงยิ่งนัก
วิหารบวงสรวงตั้งอยู่ข้างนอก และติดกับประตูทางทิศตะวันตกของวังหลวง บางทีเขาอาจจะไปที่นั่นเพื่อหาเจ้าเลี่ยโรคจิตนั่นได้ แต่เขาต้องระมัดระวังเอาไว้ให้มากเพราะตระกูลผู้บวงสรวงมีคนของเสด็จพ่ออยู่จำนวนไม่น้อยทีเดียว
เด็กชายตัวน้อยไม่เคยตกอยู่ในสภาพนี้มาก่อน แม้กระทั่งฝีเท้าของเขาก็ยังไม่มั่นคง เขารู้สึกเหมือนสัตว์ที่ถูกขังและถูกถอดกรงเล็บออกไป…
…
“ยังจับตัวเขาไม่ได้อีกหรือ” พระพักต์ของฮ่องเต้แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาอยู่ในความมืดมิด ”เจ้าค้นห้องบรรทมขององค์ชายสามดูหรือยัง”
ทหารรักษาพระองค์สวมหน้ากากเหล็กประสานมือเข้าหากันพร้อมกับตอบว่า ”ฝ่าบาท พวกเราค้นหาทั่วทุกแห่งแล้ว แต่ก็ยังไม่พบแม้กระทั่งร่องรอยขององค์ชายเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วคนของกรมขุนนางภายในล่ะ พวกเขาได้ข่าวว่าองค์ชายเจ็ดต้องการนำความลับสำคัญมาบอกให้พวกเขารู้บ้างหรือเปล่า” ฮ่องเต้ถามต่อ
หัวหน้าหน่วยรักษาพระองค์ส่ายหน้า แล้วตอบว่า ”ไม่มีใครได้ข่าวนั้นเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ แต่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าองค์ชายเจ็ดจะสังหารนางกำนัลเหล่านั้นได้ ทั้งยังเห็นว่าการอ้างว่าองค์ชายเจ็ดกำลังจะกลายร่างเป็นปีศาจนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องน่าขันอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“น่าขันหรือ ถ้าพวกเขาได้เห็นองค์ชายเจ็ดด้วยตาตัวเอง พวกเขาจะต้องพูดเป็นอีกอย่างแน่ เด็กคนนี้ซ่อนตัวเก่งจริงๆ ผ่านมานานถึงเพียงนี้ แต่เรากลับยังไม่ได้ข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเขาเลย…” ฮ่องเต้ถูเลือดที่เปรอะอยู่ที่ปลายนิ้ว ถ้าเป็นเด็กธรรมดารู้เรื่องนี้เข้า เขาคงรีบขอความช่วยเหลือจากคนอื่นทันที เขาหรืออุตส่าห์ส่งคนของตัวเองแฝงตัวเข้าไปในกรมขุนนางภายในหลายคนเพื่อจับกุมเขา แต่… ฮ่องเต้กำมือแน่น
ทันใดนั้นหัวหน้าหน่วยรักษาพระองค์ก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาจึงพูดขึ้นว่า ”จริงสิ พวกเรายังไม่ได้ค้นหาในตำหนักเฉียนชิงแห่งนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
นิ้วของเขาชะงักไปทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ความโหดเหี้ยมวาบขึ้นในดวงตาของเขาขณะที่ออกคำสั่งว่า ”ปิดตำหนักเฉียนชิง แล้วสั่งให้คนจากกรมขุนนางภายในทุกคนสวมชุดราชสำนักเข้ามาในวังหลวง องค์ชายเจ็ดเป็นมนุษย์หรือเป็นปีศาจ ข้าอยากให้พวกเขาได้เห็นมันด้วยตาตัวเอง!”