เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นถึงความผิดปกติทันทีที่นางก้าวเข้ามาในวังหลวง
มีนักพรตถูกส่งมาจากจวนผู้อาวุโสมากเกินไป อีกทั้งยังอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกโดยไม่มีทีท่าจะกลับ ท่าทางของพวกเขาเหมือนกับกำลังค้นหาใครสักคนอยู่
“ดูเหมือนจะมีเรื่องเกิดขึ้นในวังหลวง” น้ำเสียงชั่วร้ายของหยวนหมิงดังขึ้นจากทางด้านหลังของนาง ”ปราณแห่งความเคียดแค้นหนาแน่นรุนแรงยิ่งนัก อาจมีใครบางคนตกสู่วิถีแห่งปีศาจแล้วก็เป็นได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอียงศีรษะเล็กน้อยขณะที่ฟังคำพูดของเขา นางรีบคว้าตัวนางกำนัลคนหนึ่งเข้ามา แล้วถามว่า ”นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“พระชายาสาม!” นางกำนัลคนนั้นสะดุ้งด้วยความตกใจ นางรีบลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นอย่างรวดเร็วเพื่อทำความเคารพเฮ่อเหลียนเวยเวย ”คารวะพระชายาสามเพคะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นมือออกไปฉุดนางขึ้น จากนั้นจึงเอ่ยว่า ”ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าหรอก แค่บอกข้ามาก็พอว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมที่นี่ถึงมีนักพรตเต็มไปหมดเช่นนี้ได้”
“ท่าน… ท่านไม่รู้หรือเพคะ” นางกำนัลประหลาดใจ จากนั้นนางจึงเหลือบมองนาง แล้วตอบอย่างตะกุกตะกักว่า ”ดูเหมือนว่าที่จริงแล้วองค์ชายเจ็ดจะเป็นปีศาจเพคะ ฮ่องเต้ก็เลยมีรับสั่งให้คนมาจับตัวเขา”
“ปีศาจหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วแน่น และถามต่อ ”ใครบอกหรือ”
นางกำนัลตกใจกับน้ำเสียงที่นางใช้ นางตอบว่า ”หม่อมฉันเองก็ไม่มั่นใจเช่นกันเพคะ แต่ข่าวนี้ดูจะแพร่ออกมาจากตำหนักเฉียนชิง ว่ากันว่าคนที่ถูกฆ่าตายในวังหลวงในระยะนี้ต่างก็ถูกองค์ชายเจ็ดตัวน้อยดูดเลือดจนแห้งไปหมดตัวเพคะ”
“ตำหนักเฉียนชิงหรือ” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยดำทะมึนขึ้น ที่แห่งนั้นคือที่ที่อดีตฮ่องเต้ประทับอยู่มิใช่หรือ นางจำได้ว่าหยวนหมิงเองก็เคยบอกว่าที่นั่นมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล…
“เจอแล้ว พวกเราเจอตัวองค์ชายเจ็ดแล้ว!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นมาแต่ไกล
หัวใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยดิ่งวูบ นางรีบตามนักพรตเหล่านั้นไปทันที
ทหารรักษาพระองค์กว่าร้อยนายยืนล้อมโรงเก็บฟืนหลังเล็กในสวนของตำหนักเฉียนชิง
ฮ่องเต้และเสนาบดีจากกรมขุนนางภายในยืนอยู่นอกวงนั้น
“บุกเข้าไปซะ!” ฮ่องเต้สั่งการด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
บรรดาเสนาบดีจากกรมขุนนางภายในมองหน้ากันด้วยความไม่แน่ใจ สุดท้ายพวกเขาจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า ”ฝ่าบาท นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายเจ็ดยังเด็กนัก เขาจะฆ่าคนได้อย่างไร”
ฮ่องเต้ยังคงเงียบ
ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างเขาแค่นหัวเราะพลางเอ่ยขึ้นว่า ”ใต้เท้าจาง ท่านคงแก่เกินไปแล้วกระมัง! องค์ชายเจ็ดเป็นปีศาจ ดังนั้นเขาย่อมสามารถเข่นฆ่าผู้คนได้อย่างแน่นอน เรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกับอายุไม่” จากนั้นเขาจึงหันหน้าไปทางฮ่องเต้พร้อมกับประสานมือเข้าหากันแล้วพูดต่อ ”ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าเราควรจุดไฟเผาโรงเก็บฟืนหลังนั้นเพื่อบีบให้เขาออกมาพ่ะย่ะค่ะ จากนั้นเราจะให้เหล่าเสนาบดีได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยตาตัวเอง”
บรรดาเสนาบดีจากกรมขุนนางภายในไม่ได้เตรียมใจมาสำหรับเรื่องนี้ พวกเขาไม่ได้มีวาทศิลป์และมีไหวพริบมากเท่าผู้อาวุโสผู้นั้น อีกทั้งท่าทีของฮ่องเต้ที่มีต่อเรื่องนี้ก็ยังชัดเจนเกินไป
พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย!
พวกเขาคงไม่สามารถยืนเฉยรอดูองค์ชายเจ็ดถูกไฟคลอกได้หรอกใช่ไหม
ดูจากนิสัยของฝ่าบาทแล้ว เขาย่อมไม่มีทางไว้ชีวิตพวกเขาแน่หากพวกเขารู้เรื่องนี้เข้าทีหลัง!
ในเวลานี้ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาสามารถทำได้จริงๆ…
“จุดไฟ!” ผู้อาวุโสเอ่ยเสียงดัง สะเก็ดไฟสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาขณะที่เขาประกาศก้องว่า ”ฟังให้ดี! ปีศาจตัวนี้จำต้องจับเป็น!”
“ขอรับ!” นักพรตเหล่านั้นตั้งแถว และกำลังเตรียมตัวที่จะจุดไฟ
แต่ทันใดนั้น น้ำเสียงแจ่มชัดก็พลันดังก้องไปทั่วอากาศพร้อมกับบรรยากาศกดดันอันหนาแน่น เสียงนั้นถามว่า ”ท่านเรียกใครว่าปีศาจหรือ”
บรรยากาศตกสู่ความเงียบในชั่วพริบตา กลิ่นอายแห่งความตายที่ใกล้เข้ามานั้นกุมหัวใจของพวกเขาเอาไว้ราวกับมือที่มองไม่เห็น
หากบิดเพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถทำให้เลือดของพวกเขาสาดกระเซ็น และคร่าชีวิตของพวกเขาจนเหลือเพียงเถ้าธุลี!
สายฟ้าแลบพาดผ่านท้องฟ้า แสงของมันสว่างมากพอที่จะทำให้รูม่านตาของทุกคนหดลงทันที
ตอนนั้นเองที่พวกเขาได้เห็นใบหน้าอันงดงามอย่างยากจะหาใดเปรียบปรากฏอยู่ใต้แสงสว่างเจิดจ้านั้น
เป็นใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั่นเอง นางสาวเท้าเข้ามาอย่างคุกคามและเย็นชาราวกับภูตผี ทันใดนั้นนางก็ขยับฝ่ามืออย่างรวดเร็ว!
หิมะปลิวขึ้นมาจากพื้นดินราวกับพายุหมุน และกลืนกินเปลวไฟทันที
ผู้อาวุโสยืนอยู่กลางพายุนั้น ใบหน้าของเขาเจ็บแปลบจากสายลมอันรุนแรง เขายกแขนขึ้นบังลมพร้อมกับหรี่ตาลง และตะโกนว่า ”เฮ่อเหลียนเวยเวย! เจ้าอีกแล้วหรือ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่?!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยค่อยๆ ก้าวออกมาข้างหน้า แขนเสื้อของนางที่สะบัดอยู่ในสายลมทำให้นางดูเหมือนตัวแทนจากนรกไม่มีผิด สายตาเย็นชาของนางจับจ้องอยู่ที่ผู้อาวุโสขณะเอ่ยถามว่า ”ข้าก็กำลังจะถามท่านอยู่เหมือนกัน ท่านผู้อาวุโส ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เจ้าเจ็ดมีสายเลือดของราชวงศ์ไหลเวียนอยู่ในร่าง แต่ท่านกลับไม่สนใจฐานะของเขา และสั่งให้จุดไฟโดยไม่แม้แต่จะคิดซ้ำสองได้เช่นนี้ ท่านมีจุดประสงค์อะไรกันแน่!”
ผู้อาวุโสถึงกับพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
ขันทีตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างฮ่องเต้เห็นว่าผู้เป็นนายของเขาพยักหน้าเล็กน้อย เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า ”พระชายาสาม พวกเราทุกคนล้วนแต่รู้ว่าท่านต้องการปกป้ององค์ชายเจ็ด แต่ท่านไม่ควรปกป้องเขาด้วยวิธีนี้! เวลานี้องค์ชายเจ็ดได้กลายร่างเป็นปีศาจและเข่นฆ่าผู้คนในวังหลวงไปมากมาย แต่ท่านก็ยังกล้าหันไปตั้งคำถามกับท่านผู้อาวุโสว่ามีจุดประสงค์อะไร! นี่ท่านกำลังพยายามปกป้องฆาตกรอยู่ชัดๆ!”
“นี่เป็นความคิดเห็นของเจ้า หรือเจ้ากำลังพูดแทนฮ่องเต้อยู่” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปทางฮ่องเต้อย่างช้าๆ
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
ขันทีตัวน้อยฉลาดพอที่จะไม่เปิดโปงผู้เป็นนาย เขาเอ่ยเสียงดังว่า ”กระหม่อมเพียงแค่พูดแทนนางกำนัลทุกคนที่ถูกฆ่าตายไปพ่ะย่ะค่ะ!”
โครม!
เสียงไม้หักดังขึ้นในทันใด พร้อมกับเศษไม้ติดไฟที่ร่วงลงมาที่เท้าของขันทีตัวน้อย!
ขันทีตัวน้อยสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจกลัว และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยที่มองเขาอยู่ ดวงตาดำขลับราวน้ำหมึกของนางดูเหมือนกับมหาสมุทรอันไร้ก้นบึ้ง แม้แต่เสียงของนางตอนที่พูดก็ยังเยือกเย็นจนชวนขนลุก ”พูดอีกทีสิ”
ขันทีตัวน้อยตัวแข็ง จากนั้นเขาก็กรีดร้องขึ้นเสียงแหลม ”กระหม่อมพูดความจริงมิได้หรือพ่ะย่ะค่ะ!? องค์ชายเจ็ดเป็นปีศาจจริงๆ…”
พูดยังไม่ทันจบประโยค ร่างของเขาก็ล้มลงกระแทกพื้น!
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหยียบลงบนข้อมือของเขา ในเวลาเดียวกันนั้นสายลมที่พัดอยู่รอบตัวของนางก็พลันร้อนขึ้นด้วยเหตุผลบางประการเช่นกัน มันร้อนเสียจนขันทีตัวน้อยรู้สึกเหมือนมันกำลังแผดเผาร่างกายของเขาจนเป็นรู!
แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือการที่เขาไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้เลยแม้แต่นิดเดียว เขาทำได้เพียงอ้าปากค้างและดิ้นอยู่เงียบๆ ราวกับคนกำลังจะสิ้นลมด้วยฝีมือของยมทูต
“ใครบอกเจ้าว่านางกำนัลพวกนั้นถูกเจ้าเจ็ดฆ่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยถามอย่างเย็นชา ”ขันทีธรรมดาคนเดียวกล้าใส่ความองค์ชายหรือ สมควรตายยิ่งนัก!”
ฮ่องเต้นึกไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะกล้าใช้ความรุนแรงต่อหน้าเขา เขาไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นที่อยู่บนใบหน้าได้อีกต่อไป เขาเค้นเสียงออกมาจากริมฝีปากขณะคำรามว่า ”เฮ่อเหลียนเวยเวย…”
แต่เฮ่อหลียนเวยเวยกลับไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูด นางรีบคำนับลงตรงหน้าเขาด้วยท่าทางจงรักภักดีเท่าที่นางจะสามารถทำได้ พร้อมกับเอ่ยขัดขึ้นว่า ”ฝ่าบาท! หม่อมฉันจัดการคนทรยศที่ใส่ความองค์ชายเจ็ดให้แล้วเพคะ! หม่อมฉันหวังว่าท่านจะไม่ถือสาอันใดในการกระทำของหม่อมฉัน!”
ใบหน้าของฮ่องเต้กระตุกด้วยความเดือดดาล แต่เขาไม่สามารถทำอะไรเฮ่อเหลียนเวยเวยได้
ถ้าเขาทำ มันจะชัดเจนเกินไป
มันย่อมสร้างความสงสัยให้กับทุกคนอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงรักษาสีหน้าเฉยเมยของตัวเองไว้ และเอ่ยขึ้นว่า ”เจ้าลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนตัวตรง
ผู้อาวุโสคนนั้นเย้ยขึ้น ”ต่อให้พูดดีเพียงใด เรื่องบางเรื่องเราก็จำเป็นต้องสืบสวนกันให้ชัดเจน องค์ชายเจ็ดจะเป็นปีศาจหรือไม่นั้น เราจะมั่นใจได้ก็ต่อเมื่อได้เห็นเขา! ใครก็ได้! เคาะประตูต่อไปอย่าได้หยุด! ถ้าไม่มีใครตอบก็จุดไฟเผาซะ!”
แต่ทันใดนั้นเอง…