แอ๊ด
ประตูของโรงเก็บฟืนที่เคยปิดสนิทพลันเปิดออก
หิมะจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นตามแรงเปิดนั้น
ลมพัดแรงจนทุกคนลืมตาแทบไม่ขึ้น
ท่ามกลางหิมะ มีร่างเล็กๆ สีเทาก้าวออกมาจากตรงนั้น
เด็กชายตัวน้อยเดินก้มหน้างุด ดังนั้นจึงไม่มีใครมองเห็นสีหน้าของเขาได้ชัดเจน
ทันทีที่เห็นเขา สีหน้าหวาดกลัวเหนือคำบรรยายก็พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของบรรดาทหารรักษาพระองค์ที่ยืนอยู่ใกล้กับโรงเก็บฟืนแห่งนั้น ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างระหว่างจำใจต้องชักเท้ากลับหนึ่งก้าว
ผู้อาวุโสต่อว่าพวกเขาทันทีที่เห็นเช่นนั้น ”มัวทำอะไรอยู่ รีบจับตัวเขาเอาไว้สิ!”
บรรดาทหารรักษาพระองค์หันไปมองฮ่องเต้ด้วยความกลัว พวกเขาไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ราวกับมีพลังที่มองไม่เห็นบีบคอของพวกเขาอยู่ ทันทีที่เห็นองค์ชายเจ็ดเดินออกมา ทุกอย่างก็ดูผิดปกติไป!
เด็กชายตัวน้อยเดินต่อ กระแสพลังอันไร้ที่มาสร้างความปั่นป่วนให้กับร่างกายของเขาและทำให้เขาทั้งเจ็บและคันไปทั่วร่าง เขารู้สึกเหมือนมีฝูงแมลงตัวเล็กๆ วิ่งพล่านอยู่ในเส้นเลือด และกำลังพยายามที่จะเจาะร่างของเขาออกมา
หลังมือของเขาคันอย่างรุนแรง และหน้าผากของเขาก็ร้อนฉ่า เขาทนอยู่ในโรงเก็บฟืนไม่ไหวอีกต่อไปเพราะเขาหิว แต่เขาไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเป็นปีศาจ ดังนั้นเขาจึงเลียนแบบพี่สาม และใช้สายตาเย็นชามองทหารรักษาพระองค์เหล่านั้นพร้อมกับคำรามขึ้นว่า ”ถอยไป!” ถ้ายังไม่ไป เขาจะจัดการบดขยี้คนพวกนี้เสีย
แต่ทันทีที่เขาก้าวขาออกไป ยันต์รูปดาวห้าแฉกก็พลันปรากฏขึ้นจากใต้ฝ่าเท้าของเขา มันลอยขึ้นไปในอากาศตามมุมทั้งสี่ทิศ สุดท้ายจึงกลายเป็นตาข่ายเรืองแสงร่วงลงมาจากฟ้าแล้วคลุมร่างขององค์ชายเจ็ดตัวน้อยไว้!
มันทำมาจากลวดทองแดง และเป็นค่ายกลอาคมที่พวกเขาเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า
ผู้อาวุโสหัวเราะอย่างผู้ชนะ แล้วเอ่ยว่า ”องค์ชายเจ็ด อาคมนี้เป็นอาคมที่ซับซ้อนที่สุดในโลก มันจะบังคับให้ปีศาจกลับคืนสู่ร่างที่แท้จริงของตัวเองเมื่อถูกจับ กระหม่อมขอแนะนำว่าอย่าขัดขืนเลยพ่ะย่ะค่ะ ท่านมีแต่จะยิ่งทำให้ตัวเองต้องเจ็บตัวเสียเปล่าๆ”
เด็กชายตัวน้อยขมวดคิ้ว เขายกแขนขึ้นแล้วขยับตัวไปมา
ทันใดนั้น ตาข่ายทำจากลวดทองแดงอันนั้นก็รัดร่างของเด็กชายตัวน้อยแน่น ลวดแต่ละเส้นกรีดลงไปบนผิวอันอ่อนนุ่มบริเวณหลังมือของเขา เรียกเลือดให้ไหลลงมาตามง่ามนิ้วก่อนหลั่งลงบนพื้นดิน
เด็กชายตัวน้อยหยุดเคลื่อนไหว แล้วใช้ดวงตากลมโตเหมือนตาเสือมองไปที่เท้า แสงนั้นให้ความรู้สึกรวดร้าวและแสบร้อนตอนที่มันสัมผัสกับผิวของเขา ประกายระยิบระยับในดวงตาของเขาค่อยๆ เลือนหายไปทีละน้อยราวกับลูกเสือหมดแรงสู้ แต่อะไรบางอย่างที่อยู่ใต้นั้นกลับทำให้ทุกคนรู้สึกไม่สบายใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำมือแน่นด้วยความเจ็บปวดใจ และสั่งว่า ”หยวนหมิง ทำลายอาคมนี้ซะ!”
“ตอนนี้น่ะหรือ” หยวนหมิงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง เขาถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ว่า ”การทำลายอาคมนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายย่อมไม่ต่างจากการฉีกหน้าฮ่องเต้ต่อหน้าสาธารณชน ฮ่องเต้จะต้องเห็นเจ้าเป็นกบฏและจับกุมเจ้าไปพร้อมกับเจ้าหนูตรงนั้นแน่ เจ้าแน่ใจแล้วหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเย้ยหยัน ”แน่นอน ในเมื่อเจ้าเจ็ดของเราถูกรังแก ข้าย่อมไม่มีเหตุผลให้ต้องออมมือหรือรักษาหน้าใครทั้งนั้น! เป็นกบฏก็กบฏ!”
นางไม่เสียเวลาพูดต่อ สายลมเริ่มส่งเสียงร้องหวีดหวิว เมฆบนฟ้าหมุนเคว้งยามนางยกนิ้วขึ้น ใบมีดคมกริบสีเงินกรีดผ่านอากาศ พวกมันล้วนแต่พุ่งตรงไปยังเหล่านักพรตที่ควบคุมอาคมนั้นอยู่
เมื่อนักพรตเหล่านั้นตกอยู่ในความโกลาหล อาคมของพวกเขาก็ย่อมได้รับผลกระทบเช่นกัน
ความเดือดดาลวาบขึ้นในดวงตาของผู้อาวุโสระหว่างที่เขาตะโกนขึ้นว่า ”ทหาร! จับตัวกบฏที่กล้ากวัดแกว่งอาวุธของนางต่อหน้าฝ่าบาทซะ!”
บรรดาทหารรักษาพระองค์มองฮ่องเต้ที่ยืนอยู่ไกลออกไป เมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะคัดค้าน พวกเขาก็ยกหอกและคันธนูขึ้น ปลายหอกของพวกเขาชี้ตรงไปยังเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยืนอยู่ด้านหน้าของเด็กชายตัวน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับตัวเล็กน้อยพร้อมกับหยิบร่มพับสีดำออกมา เกล็ดหิมะขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมาและกระทบเข้ากับร่มคันนั้น นางพลิกด้ามจับอย่างรวดเร็วแล้วใช้มันกันลูกธนูที่ร่วงกราวลงมาเป็นห่าฝนนั้น
“เฮ่อเหลียนเวยเวย!” ฮ่องเต้ที่เงียบมาตลอดพลันส่งเสียงขึ้น เขาจ้องมองนางด้วยสีหน้ามืดทะมึน แล้วตะโกนขึ้นว่า ”เจ้าคิดจะเป็นกบฏหรือ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเผชิญหน้าอย่างสง่าผ่าเผย แล้วเหยียดยิ้มให้กับข้อกล่าวหานั้น นางเอ่ยช้าๆ ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและเฉื่อยชาว่า ”เวยเวยไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอกเพคะ แต่ฝ่าบาท ครั้งนี้ท่านจะมิใจร้อนไปหน่อยหรือ เจ้าเจ็ดเป็นโอรสของท่านนะเพคะ อีกอย่างเราก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้เลยว่าเขาเป็นคนฆ่านางกำนัลเหล่านั้น จากวิธีการที่ท่านใช้ไล่ต้อนเขาจนจนมุมเช่นนี้ ดูแล้วไม่เหมือนกับว่าท่านกำลังตามหาตัวฆาตกรเลยนะเพคะ”
“เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เจ้ากำลังกล่าวหาข้าหรือ” แสงสีแดงวาบขึ้นในดวงตาของฮ่องเต้ก่อนจะเลือนหายไปในขณะที่เขาคำรามขึ้น ”ข้ายอมปล่อยเจ้าไปนับครั้งไม่ถ้วนและไม่ถือสาหาความกับความหยาบคายของเจ้าเพียงเพราะเจ้าเป็นลูกหลานของชายผู้ทรงเกียรติ แต่เจ้ากล้าตำหนิข้าเชียวหรือ! ดียิ่งนัก! จับเฮ่อเหลียนเวยเวยไปขังคุก!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตามองทหารที่ล้อมนางเข้ามา จากนั้นนางจึงเหลือบมองไปยังบรรดาเสนาบดีจากกรมขุนนางภายใน แล้วเอ่ยขึ้นทันทีด้วยเสียงอันดังว่า ”นางกำนัลพวกนั้นล้วนแต่ถูกเรียกตัวไปที่ตำหนักเฉียนชิงก่อนตาย ตอนที่พวกนางถูกพบตัวอีกครั้ง ร่างของพวกนางก็จมอยู่ใต้วัชพืชในแม่น้ำเสียแล้ว เลือดของพวกนางถูกสูบออกจนหมดตัว เหลือแต่เพียงผิวหนังเหี่ยวย่น หากไม่ใช่เพราะระดับน้ำในแม่น้ำสูงขึ้นจนทำให้ศพของพวกนางลอยขึ้นมา เบาะแสหลายอย่างคงสูญหายไปจนหมดสิ้น ต้องขอบคุณการปกปิดหลักฐานของฆาตกรจริงๆ ที่ทำให้การสืบสวนของบรรดาเจ้าหน้าที่มีความท้าทายถึงเพียงนี้ จะว่าไปแล้ว พวกท่านไม่รู้สึกว่ามันน่าสงสัยหรือที่จู่ๆ ระดับน้ำในแม่น้ำก็สูงขึ้นกลางฤดูหนาว ทั้งที่เห็นกันชัดๆ อยู่ว่าฝนก็ไม่ได้ตกบ่อยถึงเพียงนั้น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า…”
“ไร้สาระ!” ฮ่องเต้ตัดบทเฮ่อเหลียนเวยเวยก่อนที่นางจะทันได้พูดจบ ความชั่วร้ายพุ่งออกมาจากดวงตาของเขา ”เฮ่อเหลียนเวยเวย ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่คิดที่จะสำนึก เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องมีเมตตาต่อเจ้าอีกต่อไป! บอกให้พลธนูเพลิงเตรียมลงมือ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกวาดตามองธนูเพลิงพวกนั้นพร้อมกับกระชับร่มสีดำในมือ นางเป็นห่วงอย่างยิ่งว่าหนึ่งในลูกธนูเหล่านั้นจะตกลงมาโดนเจ้าเจ็ดเข้า
หนึ่งในเสนาบดีจากกรมขุนนางภายในประสานมือเข้าหากันทำความเคารพ พร้อมทั้งเอ่ยทูลว่า ”ฝ่าบาท ทำไมเราไม่ฟังสิ่งที่พระชายาสามพูดกันสักประเดี๋ยวล่ะพ่ะย่ะค่ะ มันอาจจะเป็นประโยชน์ก็ได้”
ใบหน้าของฮ่องเต้กระตุกอีกครั้ง เขาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ”อะไรกัน เหล่าหลี่ เจ้าก็คิดที่จะต่อต้านข้าเหมือนกันหรือ?!”
“กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่า…” ผู้อาวุโสหลี่ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรอีก
ฮ่องเต้เหยียดยิ้ม ”ข้อมูลมีประโยชน์อันใดเล่าจะออกมาจากผู้หญิงไร้มารยาทเช่นนาง! จากที่ข้าเห็น พวกเจ้าทุกคนคงอยู่กับองค์ชายสามมานานเกินไปแล้วกระมัง และคงนานพอที่จะทำให้พวกเจ้ามีความคิดก่อกบฏเช่นนี้ได้!”
เสนาบดีเหล่านั้นตัวแข็งกับคำกล่าวหาของฮ่องเต้ น้ำเสียงของเขาสั่นเครือในยามที่ตอบว่า ”กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เหล่าหลี่ ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะหมายความว่าอย่างไร จากนี้ไป ใครที่กล้าขอความเมตตาให้กับกบฏนางนั้นจะต้องถูกลงโทษ!” ฮ่องเต้ไม่เปิดโอกาสให้เฮ่อเหลียนเวยเวยได้พูดแต่อย่างใด เพราะเขาไม่สามารถปล่อยให้นางพูดเรื่องนี้ต่อได้นั่นเอง! ผู้หญิงคนนี้วิเคราะห์ไปไกลถึงเพียงนั้นได้อย่างไร แม้นางจะไม่ได้พูดถึงกุญแจสำคัญของเรื่องนี้ออกมา แต่นางก็สามารถทำให้ทุกอย่างชี้ไปยังตำหนักเฉียนชิงได้ หากนางยังคงพูดต่อไป เรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับระดับน้ำในแม่น้ำจะต้องถูกเปิดเผยออกมาแน่ แล้วจากนั้นคนที่จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยก็คือข้า! ข้าคงปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ไม่ได้เสียแล้ว!