ตอนที่ 639 พบกู้ม่านซือในฮ่องกง
สองวันต่อมา เมื่อหลินม่ายและฟางจั๋วหรานมาถึงฮ่องกง สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือถ่ายรูปงานแต่งงาน
พวกเขาเลือกที่จะถ่ายภาพแต่งงานที่นี่และนำติดตัวกลับไปยังเจียงเฉิงด้วย เพราะในเจียงเฉิงไม่มีสตูดิโอถ่ายภาพแบบนี้
หลังจากถ่ายรูปแต่งงานเสร็จสิ้น หลินม่ายก็ไปทำงานทันที
เริ่มแรกเธอจดทะเบียนบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบการประมูล และต้องการทำสัญญาโครงการอสังหาริมทรัพย์สอง โครงการที่กำลังจะเริ่มก่อสร้างกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างทั่วไป
แต่เธอกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยและเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในฮ่องกงเป็นเวลานาน ดังนั้นการทำสัญญาโครงการทั้งหมดจึงเป็นข้อตกลงที่ดีในการก่อสร้างอาคาร
ทันทีที่มีข่าวออกมา บริษัทรับเหมาก่อสร้างอย่างเป็นทางการทุกขนาดในฮ่องกงต่างแห่กันไปยังอาคารดังกล่าว
หลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงซบเซาอย่างมาก และบริษัทก่อสร้างหลายแห่งก็ไม่มีงานให้รับเหมา
บริษัทผู้รับเหมามากมายจึงพยายามลดราคาของตนเองให้ต่ำลงเพื่อชนะการประมูลและถูกเลือก
ในที่สุด บริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่อย่างเป็นทางการที่มีอำนาจสองแห่งก็ประมูลได้สำเร็จ
หลินม่ายตรวจสอบบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ทั้งสองอย่างระมัดระวังและเห็นว่าพวกเขามีชื่อเสียงที่ดี ดังนั้นจึงเซ็นสัญญากับพวกเขา
หัวหน้าของบริษัทก่อสร้างทั้งสองเห็นว่าหลินม่ายอายุยังน้อยและมาจากจีนแผ่นดินใหญ่
พวกเขาจึงวางแผนเก็งกำไรและตั้งใจจะขุดหลุมพรางให้เธอตกลงไปเพื่อฉวยเอาผลประโยชน์จากหลินม่ายให้ได้มากที่สุด
มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่เสนอราคาที่ต่ำเช่นนี้เมื่อประมูล พวกเขาเพียงต้องการบิดเบือนสัญญาและรอคอยเชือดหลินม่ายเมื่อจนมุม
แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าหลินม่ายจะเฉลียวฉลาดตั้งแต่อายุยังน้อย เธอสามารถมองผ่านช่องโหว่ในสัญญาได้อย่างรวดเร็ว
หัวหน้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างทั้งสองรู้สึกหดหู่ใจ และความปรารถนาของพวกเขาก็ไร้ผล
แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะมีสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่ารอพวกเขาอยู่
หลินม่ายเสนอว่าบริษัทรับเหมาก่อสร้างควรวางเงินมัดจำเป็นประกันเพื่อให้การก่อสร้างดำเนินไปตามสัญญา
เธอจะจ่ายเงินเพียงหนึ่งในห้าของราคาเต็มไว้ก่อนโดยมีเงื่อนไขว่าคุณภาพต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของเธอ มิฉะนั้นเธอจะปฏิเสธที่จะจ่ายเงิน
หลินม่ายนำเสนอเงื่อนไขที่รุนแรงเช่นนี้ ทำให้บริษัทก่อสร้างทั้งสองแห่งต่างตกตะลึง
เธอขอให้พวกเขาวางเงินเป็นประกันเพื่อยืนยันว่าการก่อสร้างและคุณภาพจะดำเนินไปตามสัญญา แล้วหากเป็นเธอเองที่ผิดนัดเรื่องการจ่ายเงินล่ะ?
เธออยู่ในแผ่นดินใหญ่ และไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะตามหาเธอเพื่อทวงหนี้
หลินม่ายยิ้มอย่างไร้พิษภัย “ฉันบอกชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอคะว่า ฉันจะจ่ายก่อนเพียงหนึ่งในห้าราคาก่อสร้าง และฉันจะไม่จ่ายยอดที่เหลือจนกว่าคุณจะสร้างเสร็จทั้งหมด แน่นอนว่าพวกคุณไม่ได้โง่ หากฉันไม่จ่ายเงินส่วนที่เหลือจากหนึ่งในห้าของยอดทั้งหมด พวกคุณก็แต่ยุติการก่อสร้าง จะเกิดอะไรขึ้นหากโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งสองโครงการสร้างไม่เสร็จ? คิดว่าฉันจะทำกำไรจากการก่อสร้างนี้ได้เหรอคะ? คิดว่าฉันจะยอมเก็บสิ่งเล็กน้อยไว้เพื่อสูญเสียสิ่งใหญ่หลวงเหรอคะ?”
เมื่อเห็นว่าการเบิกเงินทุนล่วงหน้าไม่อาจใช้ได้ หัวหน้าของบริษัทก่อสร้างทั้งสองจึงร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร
พวกเขากล่าวว่าบริษัทของตนไม่มีสภาพคล่องทางการเงินและไม่สามารถจัดหาเงินทุนเพื่อมาสำรองจ่ายล่วงหน้าได้
เมื่อหลินม่ายเห็นกลอุบายของพวกเขา เธอก็ยื่นข้อเสนอว่าหากพวกเขาไม่มีความมั่นคงทางด้านการเงิน เธอจะจัดหาบริษัทอื่นมารับผิดชอบงานแทนพวกเขา
หัวหน้าบริษัทรับเหมาก่อสร้างทั้งสองแห่งตื่นตระหนกและกล่าวว่าพวกเขาสามารถระดมเงินทุนได้
อันที่จริงหลินม่ายไม่ได้ต้องการให้บริษัทก่อสร้างทั้งสองแห่งเบิกเงินทุนในการสำรองจ่ายก่อน แต่เธอทำแบบนั้นเพราะหัวหน้าของบริษัทก่อสร้างทั้งสองต้องการขุดช่องโหว่ในสัญญาเพื่อฉวยเอาผลประโยชน์จากเธอ
เธอกลัวว่าพวกเขาอาจใช้เล่ห์เหลี่ยมบางอย่างที่เธอคาดไม่ถึง จึงยื่นข้อเสนอให้พวกเขาสำรองจ่ายก่อนเพื่อป้องกันการคดโกง
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาในฮ่องกง หลินม่ายยุ่งอยู่กับการสร้างอาคารในตอนกลางวัน และไปช้อปปิ้งกับฟางจั๋วหรานในตอนกลางคืนเพื่อซื้ออุปกรณ์จัดงานแต่งงาน
ฟางจั๋วหรานไม่ได้อยู่เฉยในระหว่างวัน เขาได้รับเชิญจากโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงในฮ่องกงให้เข้ารับการผ่าตัดใหญ่
การผ่าตัดหนึ่งครั้งทำให้ได้รับเงินจำนวนมาก และเขาก็ดำเนินการผ่าตัดสามครั้งต่อวัน
หลินม่ายหัวเราะพร้อมบอกว่าเขาคือแม่ไก่ที่ออกไข่ทองคำ เขาสามารถสร้างรายได้มากมายด้วยทักษะการผ่าตัดอันยอดเยี่ยมไม่ว่าจะไปที่ไหน
ฟางจั๋วหรานไม่เคยลังเลที่จะซื้อของให้หลินม่าย เขาซื้อรองเท้าหลายคู่ซึ่งมีราคาหลายหมื่นดอลลาร์ฮ่องกง
แต่เขากลับปฏิเสธรองเท้ามูลค่าหนึ่งพันหยวนที่หลินม่ายซื้อให้ โดยให้เหตุผลว่าผู้ชายไม่จำเป็นต้องแต่งตัวดีถึงขนาดนั้น
อันที่จริงผู้ชายเท่านั้นที่ต้องสวมเสื้อผ้าและรองเท้าราคาแพง
ผู้ชายและผู้หญิงแตกต่างกัน สิ่งที่ผู้ชายสวมใส่คือรสนิยม
เสื้อผ้าราคาแพงเท่านั้นที่สามารถสะท้อนรสนิยม การสวมเสื้อผ้าราคาถูกก็จะทำให้พวกเขาโดนดูแคลนได้
ผู้หญิงสามารถสวมใส่เสื้อผ้าได้ทุกแบบขอเพียงสวยงาม
พวกเขาทั้งสองไม่จำเป็นต้องซื้อชุดแต่งงาน เพียงขอให้เถวจืออวิ๋นช่วยตัดเย็บให้
ดังนั้นพวกเขาจึงเพียงซื้อรองเท้าและถุงเท้าสำหรับสองคน รวมถึงเครื่องประดับทองคำที่จะสวมใส่ในวันแต่งงาน
ทองคำเป็นที่นิยมในประเทศจีน ฟางจั๋วหรานจึงซื้อเครื่องประดับทองคำทั้งชุด และยังซื้อปิ่นปักผมหงส์ที่ทำทองคำบริสุทธิ์ให้หลินม่าย
เมื่อเห็นว่าปิ่นปักผมหงส์ทองคำนี้มีราคาหลายหมื่น หลินม่ายก็ปฏิเสธที่จะซื้อมัน แม้อีกฝ่ายจะพยายามยัดเยียดก็ตาม
แต่ฟางจั๋วหรานไม่ฟังเธอ เขาซื้อมันในทันที
ตอนที่เคอจื่อฉิงและเฉินเฟิงแต่งงาน ร่างกายของเคอจื่อฉิงล้วนประดับประดาไปด้วยทองคำและปิ่นปักผมหงส์ทอง
ดังนั้นว่าที่ภรรยาของเขาจะต้องไม่ถูกเปรียบเทียบและด้อยไปกว่าเคอจื่อฉิง ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจซื้อปิ่นปักผมหงส์ทองคำนี้!
แม้ฟางจั๋วหรานจะไม่ใช่คนโอ้อวด แต่เขาก็จำเป็นต้องรักษาหน้าตาทางสังคมให้กับว่าที่ภรรยาของเขา
นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกเขายังต้องซื้อบุหรี่ แอลกอฮอล์ และลูกอมอีกด้วย
บุหรี่และแอลกอฮอล์เป็นของดีในจีน ทั้งสองจึงไม่หาซื้อสิ่งนี้ในฮ่องกง
รวมถึงลูกอม หลินม่ายวางแผนจะเดินทางกลับไปซื้อในประเทศจีน
ราคาในฮ่องกงนั้นสูงเกินไป และลูกอมที่มีชื่อเสียงก็ไม่ได้ถูก
หากซื้อลูกอมที่มีชื่อเสียงในฮ่องกงหนึ่งเม็ด อาจสามารถซื้อลูกอมที่มีชื่อเสียงในจีนได้สิบเม็ด
ลูกอมกระต่ายขาวในประเทศจีนนั้นมีรสชาติดีและราคาถูก
การซื้อขนมพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นในประเทศจีน ไม่เพียงทำให้แขกพึงพอใจ แต่ยังช่วยรักษาหน้าตาของเจ้าภาพด้วย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องหาซื้อในฮ่องกง
แต่ฟางจั๋วหรานกลับใช้จ่ายราวกับคนร่ำรวยและมีอำนาจ เขายืนกรานที่จะซื้อขนมในฮ่องกง
เขาต้องการที่จะทำให้งานแต่งงานนี้เป็นงานที่ทุกคนต่างอิจฉา
อันที่จริงหลินม่ายไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เธอสนใจเพียงว่าคนสองคนจะใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขไปจนแก่เฒ่าได้หรือไม่
แต่เธอต้องยอมรับความปรารถนาของฟางจั๋วหรานและปล่อยให้เขาจัดการ
สตูดิโอใช้เวลาน้อยกว่าสามวันในการจัดทำภาพงานแต่งงานของหลินม่ายและฟางจั๋วหรานก็ทำการเลือกรูปภาพทั้งหมดด้วยตัวเอง
เมื่อมาถึงสตูดิโอถ่ายภาพ หลินม่ายก็มองดูภาพถ่ายทั้งหมด
แม้ว่าภาพถ่ายทั้งหมดจะดูงดงาม แต่เธอก็เลือกรูปตามปริมาณขั้นต่ำที่ตกลงกับสตูดิโอถ่ายภาพในคราวแรก
พนักงานต้อนรับสาวของร้านพลันพูดจาหว่านล้อม โดยกล่าวว่ารูปที่หลินม่ายไม่ได้เลือกก็งดงามมากเหมือนกัน ถ้าเธอไม่เลือกไปด้วย ทางสตูดิโอก็คงต้องเก็บทำลายทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก
ผู้คนล้วนแต่งงานกันครั้งเดียวในชีวิต และถ่ายรูปแต่งงานเพียงครั้งเดียวเช่นกัน หล่อนจึงคะยั้นคะยอให้หลินม่ายรับรูปทั้งหมดเอาไว้
หลินม่ายกลับไม่เปลี่ยนใจ เธอจงใจยิ้มให้พนักงานต้อนรับคนนั้น และตอบว่าในเมื่อรูปที่เธอไม่ได้เลือกจะต้องถูกทำลาย ก็คงเป็นการดีกว่าหากจะยกให้เธอแบบฟรีๆ
พนักงานสาวถึงกับหุบปากฉับ พลางครุ่นคิดในใจเงียบ ๆ คนจากแผ่นดินใหญ่ขี้งกอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร แต่นี่ยังอยากจะให้ยกให้แบบฟรีๆ อีก!
ฟางจั๋วหรานมองหลินม่ายต่อรองกับพนักงานสาวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นว่าแฟนสาวเป็นฝ่ายเหนือกว่า เขาก็บอกว่า “เราอยากได้รูปที่เหลือด้วย คุณคิดราคาขั้นต่ำมาได้เลยครับ แล้วช่วยแถมกรอบทองมาให้เป็นของขวัญด้วย”
หลินม่ายคว้าแขนเขาไว้ทันที “คุณจะบ้าไปแล้วเหรอ! มีรูปเหลืออยู่เยอะเลยนะ ต่อให้ซื้อหมดนี่ด้วยราคาขั้นต่ำมันก็ยังสูงกว่าราคาต้นทุนที่เราตั้งเอาไว้ตั้งหลายเท่า!”
ฟางจั๋วหรานเขย่ามือของเธอเป็นเชิงปลอบ “แฟนผมสวยขนาดนี้ ไม่เก็บรูปพวกนั้นไว้ก็เสียดายแย่นะสิ”
และท้ายที่สุดฟางจั๋วหรานก็ซื้อรูปทั้งหมดที่หลินม่ายไม่ได้เลือก
หลินม่ายบ่นอุบอิบว่าเธอไม่ได้อยากซื้อรูปพวกนั้นสักหน่อย หลังกลับมาถึงโรงแรมเธอก็นอนแผ่หลาบนเตียง ทว่าดวงตากลับมองพวกมันอย่างสนอกสนใจ
ในวันก่อนจะออกจากฮ่องกง ก็เหลือเพียงเครื่องนอนสำหรับงานแต่งเท่านั้นที่ยังไม่ได้ซื้อ หลินม่ายจึงจับมือกับฟางจั๋วหรานไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อหาซื้อเครื่องนอน
ในยุคนี้ประเทศจีนยังใช้เครื่องนอนและฟูกแบบเก่ากันอยู่
ห้างสรรพสินค้าหลักในฮ่องกงล้วนขายฟูกและเครื่องนอนแบบตะวันตก ซึ่งดูสวยงามน่าใช้มาก แต่ราคาก็สูงมากเช่นกัน
ขณะเลือกเครื่องนอนสำหรับงานแต่งงาน หลินม่ายก็รู้สึกละลานตาจนเลือกไม่ถูก และอยากจะซื้อชุดเครื่องนอนที่ถูกใจเธอที่สุด
ฟางจั๋วหรานรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยยามมาเดินซื้อของกับเธอ เขาจึงขอตัวออกไปซื้อน้ำแข็งไสมาสองถ้วยเพื่อดับร้อน
ในที่สุดหลินม่ายก็ถูกใจกับชุดเครื่องนอนสีแดงชุดหนึ่ง และดูตัวอย่างซ้ำไปซ้ำมา
เห็นว่าเธอมีบุคลิกดีและยังแต่งตัวงดงาม พนักงานขายก็เดาว่าเธอต้องเป็นคนจีนโพ้นทะเลแน่ จึงแนะนำสินค้าให้เธออย่างอบอุ่นและเสนอชุดเครื่องนอนมากมายให้เธอเลือก
ในตอนนี้นี่เอง หญิงสาวสวยคนหนึ่งก็พาเด็กชายหน้าตาน่ารักมาหาหลินม่าย และยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “คุณคือคุณหลินใช่ไหมคะ?”
หลินม่ายหันไปมองสาวสวยคนนั้น “คุณเป็นใครเหรอคะ?”
หญิงสาวคนนั้นจึงแนะนำตัว “ฉันคือแฟนเก่าของจั๋วหราน กู้ม่านซือค่ะ”
แล้วหล่อนก็ชี้ไปที่เด็กชายตัวน้อยข้างกาย “ส่วนเด็กคนนี้ก็คือสักขีพยานรักระหว่างฉันกับจั๋วหราน”
หลังกล่าวดังนี้ หล่อนก็มองหลินม่ายอย่างคาดหวัง หวังว่าเธอจะแสดงสีหน้าโกรธหรือโศกเศร้าออกมา
แต่หลินม่ายทำเพียงอุทานเบาๆ และไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นก็หันไปพิจารณาชุดเครื่องนอนที่พนักงานขายสาวเสนอมาให้
กู้ม่านซือพลันผิดหวัง ก่อนจะได้ยินเสียงที่หล่อนเอาแต่เฝ้าคำนึงถึงทั้งวันทั้งคืนดังมาทางด้านหลัง “คุณกับผมมีสักขีพยานรักกันตั้งแต่เมื่อไหร่? อย่ายัดเยียดเด็กที่เกิดกับคนอื่นมาใส่หัวผมสิ”
กู้ม่านซือหันหลังไปทันที แล้วก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาของฟางจั๋วหราน
หล่อนกระพริบตากลมโตที่ปัดขนตาจนดำหนา พลางยิ้มอย่างเข้าใจ “ฉันรู้ค่ะว่าคุณไม่อยากยอมรับชงชงเป็นพยานรักของเราเพราะกลัวว่าคุณหลินจะโกรธ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันจะไม่ทำให้พวกคุณต้องแยกทางกัน”
หลังจากนั้นหล่อนก็ป้องปากหัวเราะอย่างมีชัยสองสามครั้ง เป็นการยั่วยุให้หลินม่ายโมโหหรือไม่ก็กระวนกระวาย
แต่ปัญหาก็คือหลินม่ายไม่ได้มีท่าทางโมโหหรือกระวนกระวายเลย เธอไม่ได้สนใจหล่อนด้วยซ้ำ
หลินม่ายนึกเย้ยหยันอยู่ในใจ
ไม่ใช่ว่านังจิ้งจอกนี่แสดงท่าทางแบบนี้ต่อหน้าฟางจั๋วหรานเพียงเพราะตั้งใจทำให้เธอดูเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยและใจแคบหรอกหรือ?
อย่างนั้นเธอก็แสดงด้านร้ายกาจให้หล่อนได้เห็นบ้าง
เธอคืนชุดเครื่องนอนให้กับพนักงานขาย “คุณอยากให้เราเลิกกันไม่ใช่เหรอคะ? ไม่งั้นคุณจะเอาแต่พูดว่าเด็กชายคนนี้เป็นพยานรักระหว่างคุณกับจั๋วหรานต่อหน้าฉันไปทำไม? ถ้าคุณไม่อยากให้เราเลิกกัน คุณก็ไม่ควรกล่าวถึงความสัมพันธ์ของเด็กคนนี้กับจั๋วหรานสิ”
ฟางจั๋วหรานคว้ามือของเธอไว้ทันที “ม่ายจื่อ เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกผม”
หลินม่ายพยักหน้า “ฉันรู้ค่ะ ฉันแค่สมมติว่าเขาเป็นลูกคุณเฉยๆ”
ฟางจั๋วหรานฟังแล้วก็โล่งอก
เขากลัวเหลือเกินว่าแม่สาวน้อยของเขาจะเชื่อว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเขาจริงๆ และเขาก็คงจะจบเห่
กู้ม่านซือไม่อาจคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้าได้อีกต่อไป กระนั้นหล่อนก็พยายามพูดต่อ “คุณมีสิทธิที่จะรู้เรื่องนี้ ซึ่งแน่นอนว่าฉันแค่อยากบอกคุณเท่านั้น”
ฟางจั๋วหรานกล่าวอย่างเย็นชา “แล้วม่ายจื่อมีสิทธิอะไรต้องรับรู้เรื่องราวของเด็กที่เป็นลูกของคนอื่นด้วยล่ะ? คุณคิดว่าผมจะทำอะไรไม่ได้หากคุณยัดเยียดเด็กคนนี้ให้เป็นลูกผมงั้นเหรอ? คุณอย่าลืมสิว่าตอนนี้โรงพยาบาลผู่จี้สามารถตรวจสอบการเป็นพ่อแม่ลูกกันได้แล้ว”
สีหน้าของกู้ม่านซือเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หล่อนไม่คิดเลยว่าวิทยาศาสตร์การแพทย์ของโรงพยาบาลในประเทศจะพัฒนาจนสามารถตรวจระบุการเป็นพ่อแม่ลูกกันได้แล้ว
นี่ไม่ใช่เหตุผลที่หล่อนกล้ายัดเยียดเด็กที่เกิดจากคนอื่นให้ฟางจั๋วหรานรับผิดชอบเพราะเห็นว่าวิทยาศาสตร์การแพทย์ในประเทศยุคนี้ล้าหลังจนไม่สามารถตรวจสอบความเป็นพ่อแม่ลูกได้หรอกหรือ?
ใครเป็นพ่อที่แท้จริงของเด็กล้วนอยู่ในการตัดสินใจของหล่อนคนเดียว!
ถึงตอนนี้หลินม่ายก็เอ่ยอย่างเย็นชา “พาเด็กเปรตคนนี้ออกไปเถอะค่ะ อย่ามาทำตัวขายหน้าที่นี่เลย!”
เจ้าเด็กชงชงอายุเจ็ดขวบเห็นหลินม่ายเอ่ยวาจาไร้ปรานีเช่นนี้ก็พ่นน้ำลายใส่เธออย่างเต็มปากเต็มคำ
ฟางจั๋วหรานตอบสนองไวกว่าจึงดึงกู้ม่านซือที่เป็นแม่ของเด็กมาบังไว้ตรงหน้า ทำให้น้ำลายคำนั้นกระเด็นโดนกู้ม่านซือแทน
กู้ม่านซือทั้งโกรธทั้งเสียหน้าในคราวเดียวกัน ขณะที่ฟางจั๋วหรานตะโกนไล่ “ไสหัวไป!”
กู้ม่านซือตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม และพาชงชงจากไป
หลังเดินจากไปไกลแล้ว หล่อนก็หันมามองอีกครั้งด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
ฟางจั๋วหรานเมื่อก่อนมองหล่อนด้วยสายตาอ่อนโยนเอาใส่ใจมาก แต่ตอนนี้เขากลับใช้สายตาอ่อนโยนเอาใจใส่นี้กับหญิงอื่น และมองหล่อนด้วยสายตาดุร้ายอย่างยิ่ง
กู้ม่านซือกัดริมฝีปากอย่างไม่เต็มใจ
นับตั้งแต่ที่หล่อนพยายามตามหาไปทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา หล่อนก็พบว่าคนที่มีอิทธิพลไม่ใช่หลินม่าย แต่เป็นฟางจั๋วหราน
ความรักที่หล่อนมีต่อฟางจั๋วหรานก็พลันปะทุขึ้นมาราวกับภูเขาไฟ
หล่อนขายทุกสิ่งที่หล่อนมีในสหรัฐอเมริกา พาชงชงกลับประเทศ ภายหลังจากสืบมาหลายทาง หล่อนก็ทราบมาว่าฟางจั๋วหรานทำงานอยู่ในเจียงเฉิง
หล่อนพาชงชงไปที่เจียงเฉิงอีกครั้ง บังเอิญว่าฟางจั๋วหรานพาคู่หมั้นมาซื้อของเตรียมแต่งงานที่ฮ่องกงพอดี
หล่อนจึงพาชงชงไปฮ่องกง และพบหลินม่ายในที่สุด จึงตั้งใจวางท่าข่มเธอ
แต่ไม่คิดเลยว่าฟางจั๋วหรานจะรวมหัวกับหลินม่ายขับไล่หล่อนตั้งแต่เริ่ม
ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก!
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เอ้า ยัยแฟนเก่านี่ยังไง จะมาจุดถ่านไฟเก่ากับพี่หมอเหรอ แฟนเก่าก็อยู่ส่วนของแฟนเก่าไปสิยะ
ไหหม่า(海馬)