“ยิง!”
ทหารรักษาพระองค์อีกกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามา
เฮ่อเหลียนเวยเวยลอยอยู่กลางอากาศโดยใช้ร่มเป็นศูนย์กลาง เสื้อคลุมของนางปลิวไสวพร้อมกับลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งออกมาจากด้านหลังของนาง ก่อให้เกิดเป็นกระแสลมขนาดใหญ่ เมื่อบวกกับเลือดที่ไหลออกมาจากนิ้ว นางก็สั่งออกมาเพียงคำเดียวว่า ”ทำลาย!”
ด้ายสีทองขาดออกเป็นเสี่ยงๆ ค่ายกลอาคมถูกทำลายลงขณะที่นักพรตเหล่านั้นมองดูเฮ่อเหลียนเวยเวยร่อนลงพื้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็บาดเจ็บเช่นกัน นิ้วมือของนางได้รับบาดเจ็บจากธนูเพลิงอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
หากนางอยู่คนเดียว การจะหนีหรือสู้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ทำได้โดยง่าย แต่อย่างไรนางก็ต้องปกป้องเจ้าเจ็ด
ทหารรักษาพระองค์กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าพุ่งเข้ามาหาทั้งสอง ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยเปรอะไปด้วยคราบเขม่า แต่ดวงตาของนางกลับเป็นประกายเจิดจ้าอย่างน่ากลัว
ทหารรักษาพระองค์เหล่านั้นไม่เคยพบคู่ต่อสู้ที่รับมือยากเช่นนี้มาก่อน นางสามารถต่อกรกับพวกเขาได้ด้วยตัวคนเดียวโดยไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาถึงกับเริ่มสงสัยว่าพวกเขาจะสามารถจับตัวองค์ชายเจ็ดได้หรือไม่
เมื่อมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจอมจุ้นที่เข้ามาขัดขวางแผนการของเขา ฮ่องเต้ก็สั่งให้นำถังน้ำมันเข้ามาทันที น้ำมันถูกเทเป็นวงกลมรอบตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยจนหมดถังระหว่างที่พวกเขาเตรียมใช้ไฟจัดการกับนาง
“กลิ่นอะไรน่ะ” ท่ามกลางการต่อสู้ จู่ๆ หยวนหมิงก็เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยสูดจมูก แล้วสายตาของนางก็ดำทะมึน คนฉลาดอย่างนางย่อมเดาจุดประสงค์ของฮ่องเต้ออกได้ทันที ”พวกเขาคิดจะใช้ไฟจัดการกับเรา เสี่ยวไป๋ ออกมา แล้วพาเจ้าเจ็ดออกไปจากที่นี่ก่อน”
“ถ้าข้าทำได้ข้าคงทำไปแล้ว แต่กลิ่นอายของสัตว์อสูรบนร่างของเขาเริ่มส่งผลต่อข้าแล้ว เวลานี้ข้าไม่สามารถปรากฏตัวออกมาได้ ไม่อย่างนั้นข้าจะพลอยเสียสติไปด้วย” เสี่ยวไป๋ลดเสียงลง ”อีกทั้งสภาพเขาตอนนี้ก็ยังเลวร้ายอย่างมาก เลือดเพียงนิดเดียวก็สามารถทำให้เขาสูญเสียการควบคุมได้โดยสมบูรณ์…”
เสียงระเบิดดังขึ้นในระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกัน!
เปลวเพลิงเริ่มก่อตัวขึ้นก่อนจะล้อมพวกเขาเป็นวงกลม!
เด็กชายตัวน้อยยืนอยู่กลางกองเพลิงอย่างหมดเรี่ยวแรง เล็บของเขาเริ่มมีสีดำปะปน
เมื่อนักพรตเหล่านั้นสังเกตเห็นว่าเด็กชายตัวน้อยเงียบผิดปกติ สีหน้าของพวกเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เหงื่อเม็ดโตผุดพรายขึ้นมาตามหน้าผากของพวกเขา ”แย่แล้ว เขากำลังจะคลุ้มคลั่ง!”
การจะปราบปีศาจที่คลุ้มคลั่งย่อมไม่สามารถเป็นไปได้
มันจะสูญเสียความมีเหตุผลทั้งหมด และดูดเลือดของทุกคนจนเหือดแห้ง!
แต่อันที่จริงนั้นตลอดหลายปีที่มีชีวิตอยู่มา พวกเขาไม่เคยพบเจอปีศาจที่คลุ้มคลั่งมาก่อน
ประการแรกเป็นเพราะปีศาจระดับล่างไม่สามารถเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งได้
ประการที่สองเป็นเพราะปีศาจระดับล่างจะรู้จักยับยั้งตัวเองตอนที่พวกมันพัฒนาขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้น ดังนั้นพวกมันจึงไม่เสียสติง่ายๆ
แต่สถานการณ์ปัจจุบันนั้นแตกต่างจากที่พวกเขาคิดโดยสิ้นเชิง
เดิมทีนั้นพวกเขาคิดว่าต่อให้เขากลายเป็นปีศาจ การรับมือกับเขาย่อมทำได้โดยง่าย เพราะเขายังเด็กมากนัก
พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมา!
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้แตกต่างจากสิ่งที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ลิบลับ อาจเป็นเพราะพวกเขาเสียเวลากับเรื่องนี้นานเกินไป…
นักพรตเหล่านั้นหลุบตาลง พวกเขาใช้ยันต์สีเหลืองสื่อสารกับชายที่อยู่ห่างออกไปผ่านทางกระแสเสียง ”นายท่าน พวกเราควรทำอย่างไรกันต่อดีขอรับ”
“กำจัดเขาซะก่อนที่เขาจะคลุ้มคลั่ง” น้ำเสียงอ่อนโยนติดจะแหบพร่าตอบ ”ระวังเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ แยกนางออกจากเขา”
“ขอรับนายท่าน” ด้ายสีทองปรากฏขึ้นในมือของพวกเขา บรรดานักพรตเหล่านั้นวาดยันต์แปดเหลี่ยมห้าธาตุขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
ไม่มีโอกาสสำหรับความผิดพลาด พวกเขาโจมตีได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น!
“พวกเขาคิดจะทุ่มสุดตัว” หยวนหมิงเอ่ยเตือนเฮ่อเหลียนเวยเวยเสียงต่ำ ”พวกเขาคงต้องการกำจัดเจ้าเจ็ดก่อนการกลายร่างของเขาจะเสร็จสมบูรณ์”
มือของเฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไปชั่วอึดใจ นางเลือดขึ้นหน้า ”หยวนหมิง ข้อตกลงที่เจ้าเคยพูดถึง มันยังมีผลอยู่หรือไม่”
“เจ้า… เจ้าพูดเล่นใช่หรือเปล่า” ดวงตาของหยวนหมิงมืดมนและลึกราวกับมหาสมุทรอันไร้ก้นบึ้ง ”เพื่อเด็กธรรมดาคนเดียว เจ้าถึงกับยอมมอบแก่นวิญญาณของตัวเองให้ข้าเชียวหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับเท้าไปด้านข้างแล้วเชือดคอของทหารรักษาพระองค์นายหนึ่งที่พุ่งเข้ามา ใบหน้างดงามของนางเปรอะไปด้วยเลือด ”เขาไม่ใช่แค่เด็กธรรมดา แต่เป็นน้องชายของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ข้าต้องปกป้องทุกสิ่งที่เป็นของเขาก่อนที่เขาจะกลับมา ยิ่งกว่านั้นคนที่เรากำลังพูดถึงอยู่คือเจ้าเจ็ดอีกด้วย”
หยวนหมิงไม่พูดอะไร ใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาของเขาชั่วร้ายอย่างมาก ”ในฐานะปีศาจ แน่นอนว่าสิ่งที่ข้าต้องการที่สุดย่อมเป็นแก่นวิญญาณของเจ้า”
มีแต่เพียงการทำพันธสัญญาเท่านั้นที่จะสามารถฟื้นคืนความแข็งแกร่งเดิมที่เคยมี และนำความทรงจำที่หายไปกลับคืนมาได้!
“นายท่าน” คนตัวเล็กที่สะพายขวดน้ำเต้าเอาไว้บนหลังยืนอยู่กลางวังหลวง เขาค่อยๆ โยนปราณแห่งความเคียดแค้นขึ้นไปในอากาศ ”ใกล้จะถึงเวลาแล้วขอรับ”
จิ่งอู๋ซวงมองดูแสงไฟจากที่ไกลๆ แล้วตอบรับเสียงเบา เขายกนิ้วขึ้นและเริ่มร่ายมนตร์ ปราณแห่งความเคียดแค้นสีดำลอยขึ้นก่อนจะรวมเข้าหากัน มันพันกันเหมือนกับอสรพิษสีดำสนิทจำนวนนับไม่ถ้วนที่บิดตัวไปมาอย่างช้าๆ
สสารสีดำนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าของมนุษย์จำนวนมาก ใบหน้าบิดเบี้ยวแสนอัปลักษณ์นั้นเบียดชิดเข้าหากัน มีทั้งร้องไห้ หัวเราะ และบ้างก็เป็นใบหน้าไร้อารมณ์ ในขณะที่บางหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่ไม่มีใบหน้าใดในนั้นที่มีตาหรือจมูก มันมีแต่เพียงรูสีดำอ้ากว้างราวกับถูกฉีกออกจากบริเวณที่ควรเป็นปากของพวกมัน เสียงหายใจโหยหวนและแหบพร่าดังมาจากในนั้นในขณะที่ใบหน้าเหล่านั้นลอยเข้าไปหาร่างสองร่างที่ยืนอยู่กลางกองเพลิง…
ทันทีที่เห็นใบหน้าพวกนั้น ผู้อาวุโสก็รู้ว่านายท่านมาถึงแล้ว ความตื่นเต้นเอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเขาอย่างปิดไม่มิด ทันทีที่นายท่านเริ่มเคลื่อนไหว เฮ่อเหลียนเวยเวยกับองค์ชายเจ็ดจะต้องตายแน่นอน!
เด็กชายตัวน้อยสัมผัสได้ถึงปราณแห่งความเคียดแค้นที่รุนแรงยิ่งกว่ากำลังเข้ามาใกล้เขาจากด้านนอก เล็บของเขาที่แต่เดิมนั้นเคยเรียบและโค้งมนกลับงอกยาวและกลายเป็นแหลมคม รูม่านตาสีแดงราวกับเลือดนั้นขยายออกจนถึงขีดสุด!
“นั่น นั่นมันอะไรกัน!” คราวนี้ทุกคนเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ พวกเขาไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ความหวาดกลัวฉาบอยู่บนใบหน้าของพวกเขา พวกเขาคิดว่าใบหน้าสีดำเหล่านั้นปรากฏออกมาเพราะองค์ชายเจ็ด พวกเขาจึงตะโกนขึ้นด้วยนิ้วอันสั่นเทาว่า ”ฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ แต่เขากลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก อันที่จริงเขากลับรู้สึกพอใจยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำนั้น เขารู้สึกราวกับว่าความกระหายเลือดของตัวเองได้รับการเติมเต็ม
“มันเป็นอาคมเรียกปราณแห่งความเคียดแค้น แม่นาง เขายังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะชิงกายเนื้อของเจ้าไป!” เสียงของเสี่ยวไป๋ดังขึ้นจากในมิติสวรรค์
ดูเหมือนว่าจิ่งอู๋ซวงจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามนุษย์โง่เขลาเหล่านั้นล้วนแต่ไม่ครณามือเฮ่อเหลียนเวยเวย
นางไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา
ต่อให้นางเดินเข้ามาในวังหลวงเพียงคนเดียว ก็สามารถทำให้สถานการณ์ทุกอย่างยากขึ้นได้
แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับจิ่งอู๋ซวงแต่อย่างใด ทุกอย่างที่เขาต้องการมาตั้งแต่ต้นก็คือการให้หนีเฟิ่งได้กลับมาเกิด และลืมตาตื่นขึ้น!
เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย นางไม่สามารถสู้อย่างสุดความสามารถได้เมื่อนางจำเป็นต้องปกป้องใครสักคน
จิ่งอู๋ซวงหลับตาลง คนในวังหลวงที่เคยกลั่นแกล้งเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ย่อมไม่ได้ตายดีทันทีที่หนีเฟิ่งตื่นขึ้น
เขาย่อมไม่มีวันยืนดูนางถูกคนพวกนั้นล้อมเอาไว้โดยไม่ทำอะไรอย่างแน่นอน!
ซ่า!
เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกขังอยู่ในวงล้อมของใบหน้าพวกนั้น เยื่อบางๆ แต่เหนียวหนึบที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเริ่มปกคลุมไปทั่วร่างของนาง
มันเริ่มจากข้อเท้า ขึ้นมาที่ขา ไปที่เอว แล้วพันไปรอบหน้าอกนาง…