ตอนที่ 642 ศัตรูคู่แค้น
ต่อจากนั้น หลินม่ายทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่แผนกรับสมัครนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชิงหวา และเตรียมเอกสารรับรองยืนยันตัวตนของเธอ เพื่อแสดงว่าเธอเป็นนักเรียนที่สอบเข้าได้เป็นอันดับหนึ่งของการสอบคัดเลือกนักศึกษาปีนี้
ตั้งแต่องค์กรชุมชน สำนักงานแขวง โรงเรียนและสำนักการศึกษา ล้วนไม่ขาดหลักฐานไปแม้แต่ที่เดียว
ถึงแม้เธอจะมีสถานะเป็นผู้ชนะเลิศในการสอบคัดเลือกเข้าศึกษา และการออกใบรับรองพวกนี้จะผ่านฉลุยตลอดทาง มันก็ยังต้องใช้เวลาถึงสามวันเต็ม ๆ จนเธอเดินเอกสารขาแทบหักแล้ว
หลินม่ายคิด ถ้าจดหมายตอบรับเข้าศึกษาของนักเรียนธรรมดาทั่วไปหายไป หลังจากวิ่งเต้นทำใบรับรองพวกนี้ คาดว่าครึ่งเดือนคงยังไม่แล้วเสร็จ
ในยุคที่ไร้อินเตอร์เน็ต ไม่ง่ายเลยที่จะยืนยันตัวตนของคนหนึ่งคน!
หลังจากวิ่งทำเรื่องลงทะเบียนแล้ว หลินม่ายก็จัดประชุมผู้บริหารขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มหาวิทยาลัยจะเปิด
เนื้อหาของการประชุมหลัก ๆ คือการปรับเปลี่ยนบุคลากร
นอกจากตำแหน่งและงานของเฉินเฟิงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยังรับผิดชอบดูแลว่านถงกรุ๊ปเหมือนเดิมแล้ว เกือบจะทั้งหมดที่เหลือล้วนเปลี่ยนแปลง
เพราะความสามารถในการทำงานที่เยี่ยมยอดของเจิ้งซวี่ตง เขาควรได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานตั้งนานแล้ว แต่เพราะในตอนนั้นต้องคอยดูแลจิตใจของวังเสี่ยวลี่จึงไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ครั้งนี้ถึงได้เลื่อนตำแหน่งเสียที
เขารับผิดชอบดูแลกลุ่มร้านเปาห่าวซือ ร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่วรวมถึงโรงงานอาหารรสชาติพิเศษติ่งเซียง และส่วนงานอาหารหลัก ๆ อีกหลายกลุ่ม
จ้าวเลี่ยงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไป รับผิดชอบตลาดสดทั้งหมด
เหรินเป่าจูเปลี่ยนจากรับผิดชอบจัดการดูแลเสื้อผ้าจิ่นซิ่วและเครื่องประดับไป๋เหอ กลับกันให้รับผิดชอบการจัดการของเสื้อผ้าจิ่นซิ่วอย่างเดียว
การเติบโตของเสื้อผ้าจิ่นซิ่วก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก ต้องมีใครสักคนทุ่มเทจัดการอย่างจริงจัง ดังนั้นเหรินเป่าจูจุึงไม่ควรมีเครื่องประดับไป๋เหอมาดึงความสนใจ
โฮ่วซินอี้มีความสามารถในการควบคุมการผลิตดีเยี่ยม หลินม่ายจึงเลื่อนตำแหน่งเขาที่แต่เดิมเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการโรงงานเป็นรองผู้จัดการโรงงานเชี่ยวชาญการด้านการผลิต
เครื่องประดับไป๋เหอเติบโตไม่น้อย หลินม่ายจึงแต่งตั้งผู้จัดการและรองผู้จัดการขึ้นมาดูแลรับผิดชอบ
เถาจื่ออวิ๋นยังคงเป็นหัวหน้านักออกแบบของเสื้อผ้าจิ่นซิว แต่หลินม่ายไม่ให้หล่อนช่วยจัดการโรงงานตัดเสื้ออีกแล้ว แต่ให้ทุ่มเทไปกับการออกแบบแทน
เสิ่นเสี่ยวผิงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาของหลินม่าย คอยรายงานสถานการณ์ในบริษัทหลาย ๆ อย่างให้เธอโดยเฉพาะ และถ่ายทอดคำสั่งของเธอ
สำหรับผู้บริหารคนอื่น ๆ หลินม่ายก็จัดหาตำแหน่งงานให้เหมาะสมกับความสามารถและประสิทธิภาพในการทำงานของพวกเขา
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หลินม่ายย่อมไม่ต้องจัดการบริหารบริษัทด้วยตนเองแล้ว
ก่อนที่การประชุมจะสิ้นสุด หลินม่ายเน้นย้ำถึงความปลอดภัยในการผลิต
เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อน เธอเห็นข่าวหนึ่งในหนังสือพิมพ์
ในโรงงานแป้ง คนงานไม่ปฏิบัติตามกฏระเบียบ จึงเกิดการระเบิดของฝุ่นละอองขนาดใหญ่ ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
หลินม่ายเล่าข่าวนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้ผู้บริหารถือข่าวนี้เป็นตัวอย่าง ให้ให้ความรู้แก่พนักงานให้ได้ตระหนักถึงความปลอดภัยในการผลิต
เธอยังเคยเรียกพนักงานปฏิบัติการมาด้วยตนเอง ย้ำแล้วย้ำอีกมาแป้งทำให้เกิดการระเบิดของฝุ่นละอองได้ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
คนงานส่วนมากมักไม่ได้รับการศึกษา คิดอยู่เสมอว่าแป้งระเบิดไม่ได้ มันจะระเบิดได้อย่างไร?
ตอนนี้พวกเขาเห็นตัวอย่างแล้ว หวังว่าพนักงานทุกคนจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการผลิต
ในวันที่ยี่สิบห้าเดือนแปด เป็นวันที่หลินม่ายจะได้เฉลิมฉลองการได้เข้าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชิงหวาในฐานะนักเรียนที่สอบเข้าได้เป็นอันดับหนึ่งในการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับประเทศ
ฟางจั๋วหรานจัดเตรียมงานเลี้ยงสิบหกโต๊ะที่ภัตตาคารอ้ายฉินไห่เพื่อเฉลิมฉลองให้หลินม่ายโดยเฉพาะ
ความหมายสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ลิ่วลิ่วต้าชุ่น* ราบรื่นทุกประการ
เถาจื่ออวิ๋นยังจัดเตรียมชุดเดรสสีชมพูให้หลินม่าย
งานเลี้ยงวครั้งไม่ได้เชิญแค่อาจารย์ แต่ยังเชิญเพื่อนร่วมชั้นบางคนของหลินม่ายมาด้วย รวมถึงเหยียนเหวินเล่อและเหมยจวิน
ในตอนที่หลินม่ายชนแก้วกับพวกเขา เธอถามสองสามคำถามเกี่ยวกับผลการเรียนของเหมยจวินด้วยความเป็นห่วง
เธอไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับเหวินเล่อมากนัก คน ๆ นี้เป็นคนฉลาด อีกทั้งยังไม่มีภาระทางบ้าน จดจ่อแค่เพียงการเรียน
ถ้ามีเงื่อนไขที่ดีแบบนี้แล้วผลการเรียนยังใช้ไม่ได้อีก ก็ไม่มีใครช่วยเขาได้แล้ว
หลินม่ายเป็นห่วยเหมยจวิน เพราะคิดว่าสำหรับเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆ
ต้องเรียนหนังสือ และยังต้องทำงานในตลาดสดเพื่อหาเงิน
เหมยจวินใกล้จะขึ้นมัธยมปลายปีที่สองแล้ว การบ้านก็จะหนักขึ้น หลินม่ายกลัวว่าถ้าเขายังทำงานให้เธออยู่อีก จะเรียนไม่ไหว
เธออยากรู้สถานการณ์ของเขา เพื่อพิจารณาว่าควรช่วยหรือไม่
เหยียนเหวินเล่อรีบตอบ “การเรียนของเจ้าคนนี้อยู่กลาง ๆ เขาเก่งคณิต ฟิสิกส์ และเคมีจนแทบจะลอยขึ้นสวรรค์ แต่กับวิชาอังกฤษช่างหดหู่จนทำให้อาจารย์ด่าเขาทุกวัน”
เมื่อหลินม่ายได้ยินว่าเหมยจวินเก่งคณิต เธอก็สบายใจ
พูดอย่างจริงจัง “ไม่เก่งภาษาอังกฤษไม่ได้นะ ถ้าเธออยากได้ประสบความสำเร็จในวิชาคณิต ฟิสิกส์ และเคมี ก็ต้องเก่งอังกฤษ ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่เข้าใจเนื้อหาสาระของต่างประเทศ จะพัฒนาตนเองได้ยังไง?”
เธอยกตัวอย่าง “ศาตราจารย์ฟางบ้านเราเก่งอังกฤษมาก ไม่อย่างนั้นทักษะทางการแพทย์ของเขาคงไม่ดีขนาดนี้”
ขอแค่หลินม่ายพูดคุยกับผู้ชาย หูของฟางจั๋วหรานก็จะกระดิกเหมือนมีเรดาร์
ทั้งที่รู้ว่าหลินม่ายแค่พูดคุยเรื่องทั่วไปกับผู้ชายเหล่านั้น แต่ก็ระงับอารมณ์อยากแอบฟังไม่ได้
พอได้ยินหลินม่ายพูดชมเขา เขาจึงหันหน้าไปยิ้มให้เธอ
เหมยจวินเกาหัวแกรก ๆ ด้วยความอาย “ฉันจะเรียนภาษาอังกฤษให้หนักขึ้นกว่านี้”
หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูด “นายควรหยุดทำงานที่ตลาดสดของฉัน และเอาเวลาไปเรียนภาษาอังกฤษให้ดี”
เหมยจวินร้อนร้น “ถ้าฉันไม่ไปทำงานที่ตลาดสดของเธอ ฉันจะไม่มีเงินเรียนแล้ว แต่ละเดือนฉันต้องซื้ออุปกรณ์และหนังสือเรียนจำนวนมาก”
“ฉันจะให้ทุนนาย อีกอย่างฉันจะชี้วิธีหาเงินให้ครอบครัวของนาย”
สายตาของเหมยจวินเปล่งประกาย “วิธีไหน?”
หลินม่ายเอ่ย “เขตที่พักอาศัยที่ฉันสร้างขึ้นที่ถนนชิงเหนียนมีผู้เข้าพักอาศัยเต็มแล้ว แต่ขาดร้านค้าเล็ก ๆ อยู่ที่นั่น นายให้พ่อแม่ของเปิดร้านค้าเล็ก ๆ ที่ย่านที่พักอาศัยถนนชิงเหนียน หาเงินได้ และงานไม่หนักเกินไป นายก็จะมีเงินเรียนแล้ว”
ครอบครัวของเหมยจวินยากจน เหตุผลหลักเพราะพ่อแม่ของเขาสุขภาพไม่ดี ทำงานหนักไม่ได้ จึงยากจนเพราะความเจ็บป่วย
เปิดร้านเล็ก ๆ ไม่ลำบากหนักหนา เหมาะกับพ่อแม่ของเขามาก
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหมยจวินค่อย ๆ จางลง “เปิดร้านเล็ก ๆ ก็ต้องมีเงินทุน แต่ครอบครัวของเราไม่มี”
หลินม่ายเอ่ย “ฉันจะให้นายยืม รอสังสรรค์เสร็จแล้วนายก็มาเอาเงินจากฉัน”
เหมยจวินซาบซึ้งใจจนตาแดงก่ำ พร่ำขอบคุณไม่หยุด
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมองหลินม่ายด้วยความชื่นชม
ใครบอกว่าม่ายจื่อของพวกเขาเลือดเย็น?
คนเขาจิตใจดีงามขนาดนี้?
เธอแค่ช่วยเหลือคนที่สมควรช่วย คนที่ไม่สมควรช่วยเธอจะเลือดเย็นด้วยก็เป็นเรื่องธรรมดา
ทุกคนดื่มกินอย่างสนุกสนาน มีแต่นักกินฟางจั๋วเยวี่ยเท่านั้นที่กินอาหารจานผักอย่างไม่เต็มใจ
สายตามองไปที่หลิวหย่งเจียงที่กำลังพูดคุยหัวเราะมีความสุขอยู่กับเถาจื่ออวิ๋นอย่างเหยียดหยาม
ยิ่งมองมากเท่าใดก็อยากอาเจียนเท่านั้น ตนเองอยู่ในวัยที่กำลังรุ่งโรจน์
เถาจื่ออวิ๋นคงจะตาบอดแล้ว ที่เลือกเขาแทนที่จะเลือกตน
หลังผ่านงานเลี้ยงไปได้ครึ่งทาง หลิวหย่งเจียงก็วางตะเกียบลงแล้วลุกออกจากโต๊ะไป มุ่งไปทางห้องน้ำ
ฟางจั๋วเยวี่ยพึมพำเสียงเบา “งานเลี้ยงพึ่งเริ่มมาได้ครึ่งทางก็กินจนต้องเข้าห้องน้ำแล้ว สกปกโสโครกจริง ๆ!” เขาวางตะเกียบลงเช่นกัน แล้วเดินตามไป
หลิวหย่งเจียงเห็นฟางจั๋วเยวี่ยทันทีที่ออกมาจากห้องน้ำ
เขาเมินผ่านไป แต่กลับถูกฟางจั๋วเยวี่ยขวางเอาไว้
ฟางจั๋วเยวี่ยเตือนเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “จื่ออวิ๋นเป็นของฉัน อยู่ให้ห่างจากผู้หญิงของฉันซะ!”
หลิวหย่งเจียงยิ้มอย่างสุภาพ “จื่ออวิ๋นเป็นผู้หญิงของนาย? หลักฐานล่ะ!”
ฟางจั๋วเยวี่ยเหม่อมองอย่างว่างเปล่า ไม่สามารถตอบได้
หลิวหย่งเจียงเอ่ย “นายไม่ต้องมาจ้องฉัน พาลโกรธอย่างนี้จะยิ่งทำให้นายดูไร้ความสามารถ นายบอกว่าจื่ออวิ๋นเป็นผู้หญิงของนาย ก็งัดความสามารถของนายออกมาให้สถานะกับหล่อนสินาย ไม่มีความสามารถ แต่ฉันมี หล่อนแต่งกับฉัน ครอบครัวพวกเราจะปฏิบัติกับหล่อนเหมือนสิ่งล้ำค่า ถ้านายทำไม่ได้ก็หลบไป”
หลิวหย่งเจียงพาเถาจื่ออวิ๋นไปพบกับพ่อแม่ของเขา พ่อแม่ของเขาชอบเถาจืออวิ๋นมาก ถึงกับเร่งให้แต่งงานแล้ว
และหลิวหย่งเจียงก็รู้ว่าฟางจั๋วเยวี่ยกำลังไล่ตามเถาจื่ออวิ๋น
น่าเสียดายที่แม่เขาไม่ยอมรับ เป็นเหตุให้หลิวหย่งเจียงพูดแบบนั้นออกไป
ฟางจั๋วเยวี่ยตาถลนด้วยความโกรธ
เจ้าคนแซ่หลิวคนนี้เมาแล้วหรือไง ถึงกล้าทำแบบนี้กับเขา ไม่กลัวเขาจะชกหรือ?
เขาอยากจะต่อยตีหลิวหย่งเจียงจริง ๆ แต่คนเขาพูดไว้แล้วว่า ยิ่งโกรธมากเท่าใดก็จะทำให้เขาดูไร้ความสามารถเท่านั้น
ฟางจั๋วเยวี่ยทำได้เพียงส่งเสียงฮึดฮัด แล้วเดินจากไปอย่างไม่พอใจ
………………………………………………………………………………………………………………………….
*六六大顺 ลิ่วลิ่วต้าชุ่น หมายถึง ราบรื่นทุกประการ เป็นสำนวนจีนที่ใช้มาแต่โบราณ ลิ่วในที่นี้เป็นเลข 6 ของคนจีน คนจีนมีความเชื่อว่าเลขหกเป็นเลขมงคล
สารจากผู้แปล
รักสาวจริงก็งัดความสามารถออกมาแข่งกับหมอหลิวค่ะ ใช้กำลังแบบนี้มันดูเป็นคนขี้แพ้นะจั๋วเยวี่ย
ไหหม่า(海馬)