ตอนที่ 641 จดหมายตอบรับเข้าเรียน
สองวันต่อมา ผู้จัดการก็แจ้งข่าวดีหลินม่าย
สถานีโทรทัศน์กลางตกลงที่จะแทรกโฆษณาซอสพริกติ่งเซียงในละคร และราคายังต่ำกว่าราคาออกอากาศช่วงต้นและช่วงท้ายของเรื่องถึงสิบเปอร์เซ็นต์
หลินม่ายจึงเอ่ยชมผู้จัดการ
นี่เป็นความสามารถเฉพาะคนจริงๆ สถานีโทรทัศน์กลางจะออกอากาศโฆษณาสักอย่างนับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ผู้จัดการยังสามารถดึงราคาลงมาได้อีก ซึ่งหากเปลี่ยนเป็นเธอก็ไม่แน่ว่าจะทำได้
หลินม่ายคิดกับตัวเอง สถานีโทรทัศน์กลางถูกพวกเขาหลอกแล้ว ไม่รู้ว่าหากรู้ตัวแล้วต่อไปพวกเขาจะยอมสวมรองเท้าคับ ๆ หรือไม่นะ…
เฮ้อ เรื่องของวันหน้าก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของวันหน้าเถอะ ถึงตรงนั้นค่อยเผชิญหน้าและรับมือ
โฆษณาของซอสพริกติ่งเซียงไม่อาจเปรียบเทียบกับโฆษณาในยุคนี้
นักแสดงหลักและนักแสดงเสริมล้วนหน้าตาดี สิ่งสำคัญคือพวกเขามีท่าทางเป็นมิตร ทั้งร้องเพลงทั้งเต้นล้วนดูดึงดูดเชิญชวนเป็นอย่างมาก
ทันทีที่โฆษณาออกอากาศ ก็มีคนดูมากมายชื่นชอบ
โดยเฉพาะท่าเต้นในนั้น ผู้คนต่างก็พยายามลอกเลียนแบบ
นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือส่วนท้ายของโฆษณา ซื้อ 1 ขวด อาจจะแถมอีก 1 ขวด
ในยุคปัจจุบันนี้ เพราะโฆษณาเป็นสิ่งแปลกใหม่ ผู้คนค่อนข้างเรียบง่าย คนธรรมดาทั่วไปคิดว่าสิ่งใดก็ตามแต่ที่ได้โฆษณานับเป็นของดี
ดังนั้นผลของโฆษณาจึงดีมาก โฆษณาคุณภาพสูงจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่า
บวกกับการเสี่ยงทายความโชคดี ยอดขายของซอสพริกติ่งเซียงจึงพุ่งทะยาน ทำให้ของขาดตลาดในเวลาสั้น ๆ
หยางกั๋วเฟิงและโจวฉายอวิ๋นที่ก่อนหน้านี้ยังหน้านิ่วคิ้วขมวดกลับหัวเราะจนปากจึงถึงหูทุกวัน เดิมทีกำลังจะเพิ่มกำลังการผลิต แต่ถูกหลินม่ายหยุดเอาไว้
ตอนนี้ซอสพริกกำลังขายดี เป็นเพราะผลของโฆษณาและการเสี่ยงทายโชค บวกกับความสนใจใคร่รู้ในสิ่งใหม่ของคน
ถ้าหมดช่วงโฆษณาและการชิงโชคแล้ว ผสมกับความสงสัยสิ่งใหม่ของคน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ซอสพริกจะขายดีขนาดนั้น
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเพิ่มการผลิต แค่รักษาจำนวนการผลิตปัจจุบันเอาไว้ก็พอ
เพียงแต่อุปทานเกินกว่าอุปสงค์ วิธีการตลาดเช่นนี้จะทำให้ผู้บริโภคเกิดภาพลวงตา ซอสพริกติ่งเซียงยิ่งขายดี ก็จะทำให้ผู้บริโภคอยากจะซื้อมากขึ้น
ยุ่งวุ่นวายอยู่อย่างนั้น ไม่นานก็เป็นปลายเดือนแปดแล้ว
ระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน คุณปู่ฟางก็ขมวดคิ้ว ถามหลินม่ายด้วยความแปลกใจ
“ฉันกับย่าของเธอไปรำไทเก๊กทุกวัน มีตาเฒ่ายายแก่หลายคนบอกพวกเราว่าเด็ก ๆ ในครอบครัวของพวกเขาที่สอบเข้ามหาลัยได้รับจดหมายตอบรับเข้าเรียนแล้ว ทำไมจดหมายตอบรับเข้าเรียนของเธอยังไม่มา? คงไม่พลาดอะไรใช่ไหม?”
หลินม่ายไม่กังวลที่จดหมายตอบรับเข้าเรียนยังไม่ส่งมาแม้แต่น้อย
ตราบใดที่ได้สมัครเข้าเรียนแล้ว ถึงจะไม่ได้จดหมายตอบรับเข้าเรียน ก็สามารถไปที่มหาวิทยาลัยลงทะเบียนได้ เพียงแต่ยุ่งยากอยู่เล็กน้อย
ไม่เหมือนที่เขาว่ากันว่า ถ้าไม่มีจดหมายตอบรับเข้าเรียน ถึงจะได้รับเลือกแล้ว ก็ลงทะเบียนไม่ได้
เธอรับประทานอาหารอย่างใจเย็น “รอกินข้าวเสร็จแล้ว ฉันจะถามมหาวิทยาลัยชิงหวาดูค่ะว่าเกิดอะไรขึ้น”
ตัวเลือกแรกของเธอคือมหาวิทยาลัยชิงหวา ด้วยคะแนนของเธอที่สูงมากขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่มหาลัยชิงหวาจะไม่รับเธอ
เจ้าหน้าที่ส่วนรับสมัครนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชิงหวาได้รับสายจากหลินม่าย ก็ได้ยินชื่อที่โด่งดังราวฟ้าผ่าของเธอ
จึงบอกเธอไปว่า “คุณเป็นนักเรียนอันดับหนึ่งในการสอบคัดเลือกนักศึกษาของปีนี้ จดหมายตอบรับเข้าเรียนของพวกเราถูกส่งไปที่คุณเป็นคนแรก ถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับจดหมายตอบรับ ถ้าไม่มีใครบางคนเก็บไว้ให้คุณแต่ไม่ได้ส่งให้คุณ บางทีบุรุษไปรษณีย์อาจจะทำหล่นระหว่างทาง ไม่เป็นไรนะคะ ตราบใดที่คุณนำใบรับรองและเอกสารทุกชนิดมาลงทะเบียน มหาวิทยาลัยจะต้องรับคุณแน่นอน”
ถึงแม้การขาดจดหมายตอบรับจะไม่ส่งผลต่อการสมัครเรียนของหลินม่าย เธอก็ยังอยากจะรู้ว่าทำไมจดหมายตอบรับเข้าเรียนไม่ถูกส่งมาที่เธอ
หลินม่ายไปที่ไปรษณีย์ในเขตเพื่อสอบถาม
ปกติแล้วหลังจากจดหมายส่งมาถึงไปรษณีย์ในเขต จากนั้นสำนักงานไปรษณีย์ก็จะแยกจดหมายให้บุรุษไปรษณีย์นำออกไปจำหน่าย
ผู้จัดการรับรองเธอในออฟฟิศ ครั้นได้ยินว่าเธอเป็นนักเรียนที่สอบเข้าได้อันดับหนึ่งของปีนี้ เขาก็รู้สึกนับถือเธอจากใจ
ใครล่ะจะไม่ชอบเด็กที่เรียนเก่ง!
ผู้จัดการเป็นชายวัยกลางคนที่ชอบพูด เขายิ้มและถามหลินม่ายว่าสอบเข้าได้เป็นอันดับหนึ่งได้เงินรางวัลเท่าไร
หลินม่ายไม่ปิดบังเขา บอกเขาว่า จากมณฑลจนถึงเขต ได้รับทั้งหมดมากกว่าหนึ่งหมื่นหยวน
เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง เพราะมันถูกตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์เรียบร้อยแล้ว
และเธอใช้ไปมากกว่าหนึ่งหมื่นหยวนเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับนักศึกษาที่มาจากครอบครัวยากจนหรือไร้ญาติขาดมิตร เรื่องนี้ก็ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เช่นกัน
เพียงแต่เธอไม่อยากเปิดเผยหน้าตา นักข่าวจึงไม่ได้ตีพิมพ์รูปของเธอลงไป นี่เป็นเหตุผลที่ผู้จัดการเห็นเธอแต่ไม่รู้ว่าเธอเป็นนักเรียนที่ได้รับอันหนึ่งในการสอบเข้ามหาลัยปีนี้
ผู้จัดการอ้าปากค้าง “เงินรางวัลมากขนาดนั้น คุณช่างมีโชคจากการอ่านหนังสือจริง ๆ”
หลินม่ายยิ้มอย่างสุภาพ
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าอายุเท่านี้ในชีวิตก่อนของเธอ เธอก็มีโชคจากการอ่านหนังสือเช่นกัน
เธอเคยเห็นผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในการสอบเข้าของมหาวิทยาลัยฝูเจี้ยนบนอินเตอร์เน็ต ตอนนั้นท้องถิ่นให้รางวัลเขาหลายล้าน ซึ่งสามารถเอาไปซื้อบ้านได้
หลังจากพูดคุยจิปาถะกันแล้ว ผู้จัดการพาเธอไปยังห้องคัดแยก ถามพนักงานที่อยู่ตรงนั้น “ใครเป็นคนส่งจดหมายตอบรับให้ผู้สอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาได้อันดับหนึ่งในเขตเรา?”
“ไม่มีใครเอาไปให้ คนที่ได้รางวัลชนะเลิศมาเอาไปเอง” พนักงานคนหนึ่งที่กำลังแยกจดหมายเอ่ยขึ้น
หลินม่ายดูสับสน “ฉันไม่เคยมาที่ไปรษณีย์มาก่อนนะ”
พนักงานมองเธอแล้วถามด้วยความประหลาดใจ “คุณคือผู้ชนะเลิศหรอกหรือ?”
หลินม่ายพยักหน้า “รับรองว่าเป็นความจริง”
พนักงานคนนั้นพลันตบต้นขา “แย่ล่ะ จดหมายตอบรับของคุณถูกเอาไปแอบอ้างแล้ว รีบไปแจ้งตำรวจให้เร็วที่สุดเถอะ”
หลินม่ายไม่รีบร้อนไปหาตำรวจ เธออยากรู้ว่าใครจะมาเอาจดหมายตอบรับเข้าเรียนของเธอไปก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะไปแจ้งตำรวจดีหรือไม่
พนักงานคนนั้นอธิบายลักษณะท่าทางของคนที่มาเอาจดหมายตอบรับเข้าเรียนของเธอ
อีกทั้งยังเพิ่มอีกหนึ่งประโยคว่าตัวปลอมคนนั้นยืนกรานว่าเป็นผู้ชนะเลิศอันดับหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้
เมื่อหลินม่ายได้ยินลักษณะท่าทางนั้น ใบหน้าของว่านฮุ่ยก็ปรากฎขึ้นมาในหัวเป็นคนแรก
นึกไม่ถึงจริง ๆ คนที่เอาจดหมายตอบรับไปจะเป็นหล่อน!
หลินม่ายนึกไม่ออกว่าว่านฮุ่ยปลอมตัวเป็นเธอมาเอาจดหมายตอบรับจะมีประโยชน์อะไร
หรือหล่อนจะคิดเหมือนที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดกัน ว่าถ้าไม่มีจดหมายตอบรับจะเข้าเรียนไม่ได้?
จึงปลอมตัวมารับจดหมายตอบรับไป ทำให้เธอเสียหน้า?
น่าหัวเราะจริง ๆ!
หลินม่ายส่งยิ้มให้พนักงาน “ไม่จำเป็นต้องแจ้งตำรวจแล้ว ฉันได้ยินที่คุณลุงอธิบายแล้วดูเหมือนจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นของฉัน ฉันจะไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น”
หลินม่ายพูดไปเช่นนั้นเอง เธอไม่สามารถไปหาว่านฮุ่ยได้ เพราะว่านฮุ่ยไม่มีทางบอกความจริงกับเธอหรอก
หลินม่ายเชิญสหายน้องชายคนหนึ่งของเฉินเฟิงให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างลับ ๆ ไม่นานก็พบสถานการณ์เมื่อไม่นานมานี้ของว่านฮุ่ย
ว่านฮุ่ยซื้อชุดและกระเป๋าไปเรียนใหม่ช่วงนี้ สิ่งที่แปลกก็คือ แม่ว่านยอมตามใจหล่อนทุกสิ่ง
หลินม่ายแปลกใจไปชั่วขณะ จากนั้นคาดเดาความเป็นไปได้
ว่านฮุ่ยผู้มีจิตใจบิดเบี้ยวคงนึกอยากจะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหวาแทนที่เธอสินะ
ไม่อย่างนั้นถ้าหล่อนอยากซื้อเสื้อผ้าและกระเป๋าใหม่ แม่ว่านต้องปฏิเสธแน่นอน
แม่ว่านคงคิดว่าหล่อนมีอนาคตยาวไกล จึงอยากลงทุนกับหล่อน
ถ้าเด็กจากครอบครัวธรรมดา ๆ คนหนึ่งอยากประสบความสำเร็จ ย่อมไม่มีทางอื่นนอกจากเล่าเรียน
ว่านฮุ่ยคงบอกแม่ของหล่อนว่าต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหวา แม่ของหล่อนถึงได้เต็มใจใช้จ่ายเงินขนาดนี้เพื่อหล่อน
ส่วนว่านฮุ่ยจะหลอกล่อแม่ตัวเองด้วยคำพูดหวาน ๆ แบบไหนนั้น หลินม่ายไม่รู้แล้ว
หลินม่ายไม่คิดจะแหวกหญ้าให้งูตื่นในตอนนี้
เธออยากดูนักว่าว่านฮุ่ยจะทำอย่างที่เธอคิดหรือไม่ ที่จะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหวาแทนที่เธอ
ถ้าเป็นอย่างนั้น ถึงตอนนั้นที่เธอเปิดโปงว่านฮุ่ยอีกครั้ง มันจะต้องสนุกแน่ ๆ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รอก่อนนะยัยว่านฮุ่ย ตอนนี้มีความสุขซะให้เต็มที่ เพราะต่อไปหล่อนจะโดนม่ายจื่อตามถลกหนังแล้วเอาเกลือทาแล้ว
ไหหม่า(海馬)