ตอนที่ 646 พี่ใหญ่ไป๋เหยียน
วันต่อมาหลังจากตื่นขึ้นมาแต่เช้า หลินม่ายก็ออกไปหาอะไรกินข้างนอก
เธอไม่ชอบกินข้าวในภัตตาคารใหญ่โต แต่รักในการกินข้าวตามร้านข้างทาง
ถึงแม้ร้านอาหารข้างทางจะไม่ถูกหลักอนามัย แต่บางครั้งร้านอาหารข้างทางกลับทำอาหารได้อร่อยมาก
วัฒนธรรมการกินอาหารเช้าของปักกิ่งและเจียงเฉิงยังมีความแตกต่าง อย่างอื่นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง แค่ความหลากหลายของอาหารก็เทียบไม่ติดแล้ว
ยิ่งกับชายามเช้าของกว่างโจวที่เต็มไปด้วยกลเม็ดเด็ดพราย ยิ่งเทียบไม่ได้เข้าไปใหญ่
ทั่วทั้งถนนเต็มไปด้วยเพิงขายของกินจำพวกนมถั่วเขียวหมัก(1)และวงแป้งทอด(2)
ตีหลินม่ายให้ตายเธอก็ไม่ดื่มนมถั่วเขียวหมัก แค่ได้ยินก็ทำให้คนหวาดกลัวสุดขีด
ให้เธอกินสารหนูเข้าไปยังดีกว่าให้เธอดื่มนมถั่วเขียวหมัก รสชาติของมันเหนือจินตนาการเกินไป เธอรับไม่ได้จริง ๆ
หลินม่ายเดินดูเป็นเวลานาน สุดท้ายจึงนั่งลงที่เพิงข้างทางแห่งหนึ่ง สั่งเฉ่ากาน(3)หนึ่งที่และซาลาเปาอีกหนึ่งลูก
เถ้าแก่เนี้ยตะล่อมให้หลินม่ายซื้อซาลาสองลูกอย่างกระตือรือร้น
หล่อนบอกว่าใครก็ตามที่กินซาลาเปาแค่หนึ่งลูกในตอนเช้าถือว่าไม่ได้กินข้าวเช้า แต่เป็นการกินอาหารนก
หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ซื้อซาลาเปาเพิ่มอีกหนึ่งลูก
เธอกินซาลาเปาหนึ่งคำ ซดเฉ่ากานหนึ่งคำ
เฉ่ากานในร้านข้างทางแห่งนี้ น้ำซุปทั้งข้นและใส ไส้หมูอวบอ้วนนุ่มลิ้น ตับหมูนุ่มกรอบ รสชาติไม่เลวเลย
ซาลาเปากลับไม่เป็นที่น่าพอใจนัก
เมื่อเทียบกับซาลาเปาที่ขายในร้านเปาห่าวชือของเธอแล้ว ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
เธอกำลังคิดว่า ถ้าเรียนไม่หนักมาก เธอจะเปิดร้านสาขาในปักกิ่ง
ถึงแม้จะมีทรัพย์สินหลักสิบล้าน แต่เธอเป็นคนที่ไม่เคยหยุดพัก เธอจะรู้สึกไม่สบายใจถ้าไม่หาอะไรสักอย่างทำ
หลังจากกินข้าวเช้า หลินม่ายไม่ได้กลับไปที่พัก แต่เดินไปทางถนนฉางอัน ที่นั่นมีเรือนสี่ประสาน(4)มากมาย
เธออยากจะลองเสี่ยงโชคดู ว่าจะมีเรือนสี่ประสานขายหรือไม่
เธอเดินหาทั้งเช้า สอบถามอยู่เป็นเวลานาน ก็ได้ความว่าถึงจะมีคนอยากจะขายเรือนสี่ประสาน แต่คนเหล่านี้ก็กังวลว่าถ้าขายเรือนสี่ประสานไปแล้ว ในเวลากระชั้นชิดแบบนี้จะไม่สามารถซื้อบ้านที่เหมาะ ๆ ได้ แล้วครอบครัวจะไม่มีที่อยู่อาศัย ดังนั้นจึงรู้สึกลังเลใจ
หลินม่ายไปสถานที่รวมตัวกันของเหล่าคุณปู่คุณย่าแล้วเสนอค่านายหน้า ขอแค่พาเธอไปหาเจ้าของบ้านเช่าที่ขายเรือนสี่ประสาน หากติดต่อซื้อขายสำเร็จแล้ว จะให้สามร้อยหยวน
ไม่ว่าจะเป็นที่เมืองไหน คนแก่คนเฒ่าย่อมเป็นคนที่รอบรู้กว้างขวางที่สุด
มีพวกเขาช่วยสอบถาม ย่อมเป็นการลงแรงน้อยแต่ได้ผลลัพธ์มากเป็นเท่าทวีคูณ
อากาศปลายเดือนแปดในปักกิ่งค่อนข้างเย็น ถึงแม้เธอจะตระเวนไปทั่ว หลินม่ายก็ไม่เหนื่อยเท่าไหร่นัก
เธอตรงไปที่ร้านปิ้งย่างที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานที่พ่อไป๋พูดถึง
พ่อไป๋และคนอื่น ๆ มาถึงนานแล้ว และรออยู่ที่ห้องส่วนตัว
หลินม่ายเห็นหญิงสาวหน้าตาสวยงามอ่อนโยนคนหนึ่ง หญิงสาวคนนั้นอุ้มเด็กผู้หญิงอายุไม่เกินหนึ่งขวบไว้ในอ้อมแขน เดาว่าหญิงสาวคนนี้คงเป็นพี่สาวใหญ่ไป๋เหยียน
ทันทีที่ไป๋เหยียนเห็นหลินม่าย หล่อนก็อุ้มเด็กน้อยลุกขึ้นมา ถามอย่างใจดี “นี่เป็นน้องสาวสินะ หน้าตาสวยงามจริง ๆ!”
พ่อไป๋โบกมือให้หลินม่าย “นี่เป็นพี่สาวคนโตของลูก”
หลินม่ายยิ้มน้อย ๆ แล้วเรียก “สวัสดีค่ะพี่ใหญ่”
ไป๋เหยียนตอบรับอย่างมีความสุข และให้เธอนั่งลงข้าง ๆ
ทันทีที่หลินม่ายนั่งลง ไป๋เหยียนก็แตะเธอ ส่งซองอั่งเปาสีแดงเรียบ ๆ ซองหนึ่งให้เธอ
หลินม่ายชะงักไปชั่วขณะ “พี่จะให้อั่งเปาฉันทำไม?”
ไป๋เหยียนตอบอย่างอบอุ่น “ให้เป็นของรับขวัญเธอไงล่ะ!”
หลินม่ายปฏิเสธ “ฉันไม่เอาค่ะ”
พ่อไป๋และพี่ๆ ทุกคนต่างคะยั้นคะยอให้เธอรับมันไป
เท่านั้นเองหลินม่ายจึงรับมา จากนั้นจึงนำอั่งเปาซองหนึ่งออกมาให้เด็กหญิงในอ้อมแขนของไป๋เหยียนเช่นกัน
เด็กหญิงตัวน้องกอดซองอั่งเปานั้นไว้แล้วยิ้มแต้อย่างมีความสุข เผยให้เห็นปากเล็กที่ยังไม่มีฟันหน้า น่ารักมากทีเดียว
พ่อไป๋ยื่นเมนูอาหารที่บริกรส่งให้เขาให้หลินม่าย บอกให้เธอสั่งตามใจชอบ ไม่ต้องกลัวเรื่องเงิน
หลินม่ายสั่งแค่เซาเข่าสองสามอย่างด้วยท่าทางปกติ จากนั้นก็ไม่สั่งอะไรอีก
ถึงแม้พ่อไป๋และพี่น้องไป๋จะใจดีกับเธอ แต่พวกเขาไม่เคยใช้ชีวิตด้วยกันมาก่อน ดังนั้นจึงยังมีความรู้สึกไม่คุ้นเคย เป็นไปไม่ได้ที่หลินม่ายจะทำตัวตามสบายเหมือนตอนที่เธออยู่กับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
พ่อไป๋เห็นแบบนี้ จึงสั่งเพิ่มอีกหลายอย่าง
หลินม่ายหยอกล้อกับเด็กหญิงตัวน้อย ถามไป๋เหยียนว่าหลานตัวน้อยของเธออายุกี่ขวบแล้ว และชื่ออะไร
ไป๋เหยียนตอบ “ถึงเดือนสิบก็จะครบหนึ่งขวบแล้ว ชื่อว่าหยางเย่า”
หลินม่ายประหลาดใจเล็กน้อย “เกือบจะหนึ่งขวบแล้ว ทำไมดูผอมแบบนี้ ฉันยังคิดว่าเจ็ดหรือแปดเดือนซะอีก”
ไป๋เหยียนยิ้มออกมาอย่างฝืน ๆ
แม่สามีของหล่อนเห็นความสำคัญของเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง
ตอนที่หล่อนออกไปทำงาน นางก็เอานมผงที่หล่อนซื้อให้ลูกตัวเองไปให้ลูกชายของสะใภ้รองกิน ป้อนน้ำข้าวต้มให้ลูกของหล่อนกินแทน แน่นอนว่าเด็กน้อยต้องตัวผอม
แต่ไป๋เหยียนไม่สามารถบอกปัญหาของหล่อนกับหลินม่ายออกมาตรงๆ ได้
น้องสาวเพิ่งได้พบหน้าค่าตาพวกเขา ตนแค่อยากให้เธอมีความสุข ไม่อยากให้เธอต้องมากังวลกับเรื่องของตนเอง
ไป๋เหยียนเปลี่ยนเรื่องและพูดขึ้นว่า “ม่ายจื่อ หลานสาวของเธอยังไม่มีชื่อเล่นเลย ตั้งชื่อให้หลานสิ ให้หล่อนได้ชื่นชมความสุขในฐานะผู้ชนะอันดับหนึ่งของเธอหน่อย โตขึ้นมาจะได้อนาคตไกลเหมือนเธอ”
หลินม่ายก็ไม่ปฏิเสธ เธอเริ่มคิดอย่างจริงจัง “ชื่อเถียนเถียนดีไหมคะ หวังว่าเด็กน้อยจะมีชีวิตที่หวานชื่นไปทั้งชีวิต”
ทั้งไป๋เหยียนและพ่อไป๋ล้วนบอกว่าชื่อนี้ดีมาก
เด็กน้อยก็พูดจาอ้อแอ้โบกไม้โบกมืออย่างมีความสุข ราวกับกำลังพอใจ
ในปักกิ่งมีร้านปิ้งย่างที่มีชื่อเสียงมายาวนานมากมาย พ่อไป๋เลือกร้านปิ้งย่างร้านดังที่แพงที่สุดร้านนี้
ร้านปิ้งย่างชื่อเสียงเก่าแก่ร้านนี้โดดเด่นเรื่องเนื้อวัวย่าง ทุกอย่างตั้งแต่ส่วนผสมและฟืนที่ใช้ล้วนพิถีพิถันเป็นพิเศษ
เนื้อวัวย่างของที่นี่ชุ่มฉ่ำ มีมันน้อย ๆ แต่ไม่เลี่ยน เนื้อบางไม่หนาเกินไป คนในครอบครัวทั้งสี่กินอย่างมีความสุข
ไป๋เซี่ยกินกระทั่งปากเยิ้มน้ำมัน พูดขึ้นมาพลางทอดถอนใจ “ต้องขอบคุณน้องสาวแล้ว วันนี้ถึงได้กินเนื้อวัวย่าง ปกติปีหนึ่งได้กินไม่ถึงหนึ่งครั้ง”
พ่อไป๋พูดขึ้นด้วยความโมโห “มากินปิ้งย่างที่นี่ครั้งหนึ่งแพงขนาดไหนรู้ไหม? ถ้ากินอีกสองครั้ง ครอบครัวก็จะจนเพราะแกแล้ว”
ไป๋เซี่ยหัวเราะคิกคัก รบเร้าให้หลินม่ายกินมากอีกหน่อยอย่างใจดี
หลินม่ายจำได้ว่าครั้งหนึ่งพ่อไป๋เคยบอกว่าจะเชิญพี่เขยมาด้วย แต่เธอกลับไม่เห็นใคร
เธอจึงถาม “ทำไมพี่เขยไม่มาล่ะคะ?”
ไป๋เหยียนอธิบาย “พี่เขยของเธอเข้าเวรน่ะ มาไม่ได้แล้ว”
หลินม่ายตอบอืมหนึ่งครั้ง แล้วไม่พูดอะไรอีก
หลังจากกินปิ้งย่างเสร็จ พ่อไป๋ก็เรียกบริกรมา เตรียมจะชำระค่าอาหารแล้วออกไป
หลินม่ายรีบร้อนจะจ่ายแทน แต่ถูกพ่อไป๋และพี่ชายห้ามเอาไว้
พ่อไป๋บอกขณะที่กำลังชำระเงิน “พ่อชวนลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองมาเลี้ยงอาหารอร่อย ๆ สักมื้อ แล้วยังต้องให้ลูกสาวจ่ายเองอีก แบบนั้นพ่อจะเป็นคนเลี้ยงที่ไหน?”
ตอนชำระเงิน พ่อไป๋สั่งเนื้อวั่วย่างให้หลินม่ายเอากลับไปกินเป็นมื้อค่ำ
หลินม่ายไม่ค่อยกินข้าวเย็น ถึงแม้จะกินข้าวเย็น เธอก็จะกินแค่ข้าวต้มขาวที่แคลลอรีต่ำเท่านั้น หลัก ๆ เป็นเพราะเธอกลัวอ้วน
เธอปฏิเสธว่าไม่อยากกินเนื้อวัวย่าง แต่พ่อไป๋เห็นว่าเมื่อครู่นี้เธอชอบกินเนื้อวัวย่างมาก จึงคิดว่าตอนนี้เธอแค่กำลังเกรงใจ ถึงได้ยืนกรานให้หลินม่ายรับมันไป
หลินม่ายไม่มีทางเลือกจึงได้แต่รับเนื้อวัวย่างเอาไว้
ถึงแม้หลังจากกินปิ้งย่างมื้อนี้แล้ว กระเป๋าของเขาจะพร่องลงไปมาก แต่พ่อไป๋ก็มีความสุขมาก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเชิญลูกสาวคนเล็กของตัวเองมากินข้าวด้วยกัน
พ่อลูกทั้งห้าคนแยกกันหน้าประตูร้านปิ้งย่าง
ไป๋เหยียนลูบหัวของหลินม่ายด้วยความเอ็นดู “เดิมทีพี่ควรเชิญน้องสาวไปเป็นแขกที่บ้านของพี่ แต่พี่อาศัยอยู่กับพ่อแม่ของสามี ไม่ค่อยสะดวกนัก ราว ๆ วันชาติคงแยกบ้านแล้ว ถึงตอนนั้นพี่จะชวนน้องสาวพี่ไปเที่ยวเล่นที่บ้านนะ”
หลินม่ายยิ้มแล้วตอบว่าได้
ไป๋เหยียนกระซิบข้างหูเธอ “เรื่องที่แม่ทำนิสัยแบบไหนกับเธอ ลู่ลู่กับเซี่ยเซี่ยบอกพี่แล้ว พี่รู้ว่าเธอคับข้องใจ แม่เลอะเลือนแต่พวกเราไม่เลอะเลือน พวกเราจะดีกับเธอเอง”
หลินม่ายพยักหน้าน้อย ๆ
หลังจากแยกกับพ่อไป๋และคนอื่น ๆ หลินม่ายก็เปิดอั่งเปาที่ไป๋เหยียนให้เธอระหว่างทาง ข้างในมีเงินหนึ่งร้อยหกสิบหกหยวน อั่งเปาซองนี้ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลย
หลินม่ายกลับไปที่พัก เตรียมที่จะงีบหลับสักครู่
ในตอนบ่ายเธอยังต้องออกไปหาคนที่จะขายเรือนสี่ประสานอีก ดังนั้นเธอจึงต้องพักผ่อนเอาแรงสักหน่อย
ทันทีที่เธอก้าวเข้าไปในโรงแรม ก็ได้ยินใครบางคนเรียนชื่อของเธอจากข้างหลัง
ถึงแม้จะไม่ได้หันกลับไป แต่หลินม่ายก็สามารถบอกได้ว่าคนที่เรียกเธอเป็นแม่ไป๋
………………………………………………………………………………………………………………………….
(1)豆汁儿 นมถั่วเขียวหมัก อาหารว่างของปักกิ่ง ทำมาจากน้ำถั่วเขียวที่เป็นผลพลอยได้จากการทำวุ้นเส้นแล้วนำไปหมัก มีรสเปรี้ยวเล็กน้อยและมีกลิ่นเหมือนไข่
(2) 焦圈 วงแป้งทอด อาหารว่างดั้งเดิมของชาวปักกิ่ง มีรูปร่างเหมือนกำไลข้อมือ เกรียมและกรอบ นิยมรับประทานร่วมกับนมถั่วเขียวแก้เลี่ยนหลังอาหาร
(3) 炒肝 ตับทอด อาหารว่างดั้งเดิมของชาวปักกิ่ง น้ำซุปมีสีแดง ส่วนตัวตับมีทั้งหนาและบางไม่เลี่ยนคอ เป็นของว่างที่พัฒนามาจากอาหารพื้นบ้าน ‘ต้มตับ’ และ ‘ปอดทอด’ ในราชวงศ์ซ่ง
(4) 四合院 เรือนสี่ประสาน ลักษณะผังบ้านทั้งสี่ทิศจะมีห้องเรือนอยู่ ระหว่างห้องทั้งสี่ทิศนี้ก็จะถูกเชื่อมด้วยกำแพง เกิดเป็นลานบ้าน(院子 ย่วนจึ)ขึ้นมา
สารจากผู้แปล
ไม่ต้องมีแม่ก็ได้นะม่ายจื่อ มีพ่อกับพี่ๆ สามคนก็น่าจะมีความสุขดีแล้ว
ไหหม่า(海馬)