“น้องห้าจะเข้าร่วมการสอบขุนนางอย่างนั้นหรือ” สวีซื่ออวี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย มือของเขาที่กำลังถือผ้าเช็ดหน้าหยุดค้างอยู่กลางอากาศ หยดน้ำบนใบหน้าของเขาไหลลงบนชุดที่พึ่งเปลี่ยนใหม่ ยังมีรอยพับบนผ้าซงเจียงสีขาวใหม่เอี่ยม หางตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าอันอ่อนโยนและสงบนิ่งของภรรยา
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นปี เป็นเวลาสามปีแล้วที่พวกเขาแต่งงานกัน แต่ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ห้าเดือนเท่านั้น แม้ว่าจะส่งจดหมายคุยกันทุกเดือน แต่เซี่ยงซื่อก็ยังรู้สึกประหม่าเมื่อได้พบสามีอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกว่าชุดวันนี้สีฉูดฉาดไปหรือไม่ เมื่อครู่ทุกคนต่างพากันเข้าไปทักทายเขา นางกลัวว่าพ่อแม่สามีจะคิดว่าตนเป็นคนวางตัวไม่เหมาะสม จึงยืนอยู่เงียบๆ ข้างหลังแม่สามี เป็นแม่สามีที่ให้นางไปคำนับเขา นางจึงได้ทักทายเขา ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเย็นชากับเขาเกินไปหรือไม่
ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ทำได้เพียงพูดเรื่องที่คุ้นเคยเพื่อคลายความกังวล
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” นางรับชุดผ้าไหมหังโจวสีฟ้าไพลินจากสาวใช้มา น้ำเสียงดูกังวลเล็กน้อย “ท่านแม่ยังไปที่ตรอกกงเสียนด้วยตัวเอง ขอให้ท่านลุงช่วยแนะนำอาจารย์ให้น้องห้า…ตอนนี้น้องห้าเรียนหนักจนถึงเที่ยงคืนทุกวัน!”
“เส้นทางการสอบคัดเลือกขุนนางนั้นยากลำบากมาก” สวีซื่ออวี้พูดพึมพำว่า “แต่อย่างไรก็ตาม ข้าชื่นชมในความมุ่งมั่นของน้องห้า” ขณะที่พูดเขาก็นึกขึ้นได้ว่าพึ่งจะเจอกับสวีซื่อจุนที่เรือนของท่านย่า “ข้าได้ยินน้องสี่บอกว่าตอนนี้เขาเริ่มช่วยท่านพ่อจัดการกิจการในจวนแล้ว ทุกวันท่านพ่อว่างไม่มีอะไรทำก็จะคอยบอกให้น้องหกคัดตัวอักษร และเล่นหมากรุกกับน้องหก…”
“เจ้าค่ะ!” เซี่ยงซื่อช่วยสวีซื่ออวี้สวมเสื้อคลุม “ผู้ดูแลและบ่าวรับใช้หลายคนต่างก็บอกว่าน้องสี่ใจกว้างและอ่อนโยน!”
เมื่อก่อนเคยคิดว่าน้องชายผู้นี้ขี้ขลาด คิดไม่ถึงว่าไม่ได้เจอกันหลายปี ตอนนี้เขาได้รับการสนับสนุนและให้เกียรติจากผู้ดูแลและบ่าวรับใช้ในจวนแล้ว
สวีซื่ออวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง
เซี่ยงซื่อมาช่วยเขาแต่งตัว
สวีซื่ออวี้ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว
กลับมาครั้งนี้ เขารู้สึกอ่อนไหวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมากเป็นพิเศษ
บรรดาน้องๆ ที่ดูอ่อนต่อโลก ดูเหมือนจะเติบโตขึ้นในพริบตากันหมดแล้ว! โดยเฉพาะสวีซื่อเจี้ยที่เลือกจะเดินบนเส้นทางขุนนางเหมือนกับเขา
“ท่านพี่! ท่านแม่ได้ยินมาว่าท่านกลับมาเพื่อเข้าร่วมการสอบเซียงซื่อ กลัวว่าท่านพี่จะร้อน ก็เลยให้คนมาทำความสะอาดศาลาน้ำฉุยหลุนไว้นานแล้ว” เซี่ยงซื่อช่วยสวีซื่ออวี้แต่งตัวพลางพูดเสียงเบาว่า “บอกว่าที่นั่นอากาศเย็นสบาย ท่านพี่จะได้อ่านหนังสืออย่างสงบจึงให้ข้าย้ายไปที่นั่นเมื่อต้นฤดูร้อน แต่ข้าคิดว่าท่านพ่อและท่านแม่สามียังอาศัยอยู่ที่เรือนเดิม ข้าในฐานะลูกสะใภ้จะย้ายไปเพราะเห็นแก่ความเย็นสบายได้อย่างไร ดังนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ย้ายไป อยากจะรอให้ท่านพี่กลับมาตัดสินใจ…”
“ในเมื่อเป็นความตั้งใจของท่านแม่ พวกเราก็ย้ายไปเถิด!” ในเมื่อเป็นความหวังดีของท่านแม่ เขาจึงยอมรับอย่างเต็มใจ
“เช่นนั้นข้าจะไปรายงานท่านแม่ แล้วค่อยมาเก็บข้าวของกับสาวใช้!” เซี่ยงซื่อพูดต่ออีกว่า “ทางฝั่งของท่านแม่ ท่านพี่ก็ไปกล่าวขอบคุณสักหน่อยเถิด! จะว่าไปแล้วสองปีมานี่ท่านแม่ดูแลข้าอย่างดีมาตลอด อย่าว่าแต่บอกให้ข้ามาคารวะเช้าเย็นเลย แม้แต่ขึ้นเสียงใส่ข้าก็ยังไม่เคยมี ต่อให้เป็นลูกแท้ๆ ก็คงปฏิบัติเช่นนี้เหมือนกัน”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “คุณชายน้อยสอง คุณนายน้อยสอง สาวใช้ข้างกายไท่ฮูหยินมาบอกว่าจัดงานเลี้ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญท่านกับคุณนายน้อยสองไปร่วมโต๊ะเจ้าค่ะ”
******
“ดูอะไรอยู่เจ้าคะ” สืออีเหนียงนั่งมวยผมอยู่หน้ากระจก นางเห็นสวีลิ่งอี๋นั่งอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างผ่านกระจก “จดหมายของอาจารย์เจียง?”
สวีลิ่งอี๋เก็บจดหมาย “ไม่ใช่! เป็นสกุลเซี่ยง!”
สืออีเหนียงหันมา “ว่าอย่างไรบ้าง พูดเรื่องการสอบเซียงซื่อของอวี้เกออย่างนั้นหรือ”
“อืม!” สวีลิ่งอี๋พูดพลางเดินไปนั่งบนเก้าอี้จิ่นอู้ข้างโต๊ะเครื่องแป้งของสืออีเหนียง พูดเสียงเบาว่า “ให้ข้าไปสืบมาว่าปีนี้ใครเป็นผู้จัดการการสอบ ใครเป็นผู้คุมสอบ แล้วรีบส่งคนไปบอกเขาทันที การซื้อใจเป็นสิ่งสำคัญ!”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
“อาจารย์เจียงก็เคยพูดแบบนี้เช่นกัน” เสียงของสวีลิ่งอี๋เบาลงกว่าเดิม “เพียงแต่ว่าอาจารย์เจียงไม่ได้เกี่ยวข้องกับราชการมาหลายปีแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่คุ้นเคยกับคนเหล่านั้นเล็กน้อย ผู้คุมสอบชอบอะไร พวกเราจึงต้องไปสืบเอาเอง แต่ข้าฟังจากคำพูดของฝ่ายสกุลเซี่ยง ราวกับว่าขอเพียงแค่เราสามารถไปสืบมาได้ว่าใครเป็นผู้จัดการการสอบล่วงหน้า เขาก็จะช่วยสืบให้ได้ว่าผู้จัดการการสอบผู้นั้นมีความชอบในเรื่องใด!”
เรื่องเช่นนี้ยากที่จะคาดเดาได้ สืออีเหนียงก็พูดอะไรมากไม่ได้ “อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องการให้ท่านไปสืบมา ไม่สู้ท่านลองไปสืบดูสักหน่อย!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า ออกนอกจวนหลายวันติดต่อกัน แต่ก็รีบกลับมาก่อนตอนบ่ายเพื่อตรวจการคัดตัวอักษรของจิ่นเกอ เมื่อจิ่นเกอเห็นว่าบิดาของตนให้ความสำคัญเช่นนี้ เขาก็เลยให้ความสำคัญไปด้วย ทำการบ้านให้เสร็จอย่างพิถีพิถัน
การสอบเซียงซื่อจัดขึ้นในวันที่เก้าเดือนแปด จนปลายเดือนเจ็ดถึงได้ประกาศว่ารองเจ้ากรมอาญาและศาลว่าการซุ่นเทียนจะเป็นคณะกรรมการการสอบ
ในคืนยามโหย่วของวันที่แปด ก่อนประตูเมืองจะปิดใต้เท้าเซี่ยงได้รีบรุดมาที่สกุลสวีด้วยตัวเอง
“นายท่านบอกว่ารองเจ้ากรมหลิวเป็นคนตรงไปตรงมา ชื่นชอบสุราและยาสมุนไพร ชอบคำพูดที่ว่า ‘ในยามทุกข์ยากเราต้องฝึกวินัยอย่างเคร่งครัด เพื่อทำให้จิตใจของผู้คนสงบลง ในยุครุ่งเรือง เราต้องฝึกฝนความเมตตากรุณาและความชอบธรรม แล้วธรรมชาติของผู้คนก็จะสงบลงได้เอง’”
สวีลิ่งอี๋นำคำพูดนี้ไปบอกสวีซื่ออวี้ด้วยตัวเอง
สวีซื่ออวี้ปิดประตูขังตัวเองอยู่คนเดียวในห้องหนังสือ ไตร่ตรองสิ่งที่ใต้เท้าเซี่ยงกล่าว
วันรุ่งขึ้น ทุกคนในสกุลสวีต่างก็พากันตื่นแต่เช้า หลังจากไหว้ศาลบรรพชน จุดธูปบูชาบรรพบุรษสกุลสวีและโขกศีรษะคำนับแล้ว สวีซื่ออวี้ก็ถือสัมภาระและอาหารที่สืออีเหนียงเตรียมไว้ให้สำหรับเข้าร่วมการสอบไป
หลังจากที่ผ่านการสอบมาสามครั้งแล้ว สวีซื่ออวี้รู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่เลวเลย นอกจากนี้ยังตรงกับเทศกาลไหว้พระจันทร์พอดี คนในครอบครัวต่างก็เพลิดเพลินกับการชมจันทร์และทานขนมไหว้พระจันทร์ที่เรือนฉยงหลิง
สวีซื่อเจี้ยขอคำปรึกษาเรื่องการสอบขุนนางกับสวีซื่ออวี้ สวีซื่อฉินกับสวีซื่อจุนก็นั่งฟังอยู่ข้างๆ ด้วยความสนใจ
ฟังซื่อ เซี่ยงซื่อ สืออีเหนียงและคนอื่นๆ นั่งพูดคุยเรื่องในจวนเป็นเพื่อนไท่ฮูหยิน
ส่วนจิ่นเกอกับเซินเกอวิ่งเล่นไปมาอยู่ที่นั่น ทำเอาเฉิงเกออิจฉา งอแงไม่ให้ฮูหยินห้าอุ้ม อยากจะไปเล่นกับพี่ชายทั้งสอง
ซินเจี่ยเอ๋อร์ตำหนิเซินเกอด้วยสีหน้าบึ้งตึง “รู้จักแต่เล่นเพียงอย่างเดียว”
เซินเกอหัวเราะคิกคัก หันหลังแล้ววิ่งเล่นกับจิ่นเกอต่อ ซินเจี่ยเอ๋อร์กระทืบเท้าด้วยความโกรธ บรรดาผู้ใหญ่เห็นดังนั้นก็รู้สึกขบขัน พากันหัวเราะ
เรือนฉยงหลิงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ มีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
จิ่นเกออยากกลับไปนอนที่เรือน “พรุ่งนี้ข้ายังต้องตื่นแต่เช้ามาฝึกย่อเข่าอีก!” พูดพลางอ้าปากหาว
สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก อุ้มจิ่นเกอแล้วหอมแก้มเขาซ้ายขวา “แม่จะไปส่งเจ้าเอง!”
เซินเกอได้ยินดังนั้นก็งอแงจะกลับไปด้วย
เดิมทีไท่ฮูหยินกำลังทายปริศนากับสวีซื่อจุน สืออีเหนียง ฮูหยินห้า ฟังซื่อและคนอื่นๆ อย่างครื้นเครง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงทายปริศนาต่อไปไม่ได้แล้ว ไท่ฮูหยินจึงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันเถิด!” น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยเต็มใจนัก
สวีซื่อจุนรั้งจิ่นเกอเอาไว้ พูดกับสืออีเหนียงว่า “ท่านแม่ ให้จิ่นเกอเล่นต่ออีกสักหน่อยเถิด! หากท่านไป ทางฝั่งของไท่ฮูหยินก็ต้องแยกย้ายด้วยเช่นกัน ยากนักที่ทุกคนจะได้พูดคุยกันอย่างมีความสุขเช่นนี้” แล้วพูดต่ออีกว่า “หากไม่ได้จริงๆ พรุ่งนี้ก็พักสักวัน วันมะรืนค่อยเริ่มฝึกย่อเข่าต่อก็ยังไม่สาย”
ไท่ฮูหยินก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้สวีซื่อจุนรั้งนางไว้ เห็นได้ชัดว่าอยากจะให้ทุกคนอยู่เล่นด้วยกันต่ออีกสักหน่อย
เซินเกอหันไปมองจิ่นเกอก็เห็นจิ่นเกอมีสีหน้าอึดอัดใจ “ไม่ได้หรอก! อาจารย์ผังบอกว่าการฝึกศิลปะการต่อสู้จะขาดไม่ได้แม้แต่วันเดียว หากขาดไป สิ่งที่พยายามมาก่อนหน้านี้ก็จะเปล่าประโยชน์ ข้าจะกลับไปนอน” พูดจบก็ดึงมือมารดาด้วยท่าทางงอแง เร่งเร้าให้สืออีเหนียงพาเดินออกไปโดยเร็ว
สืออีเหนียงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มพลางปรึกษากับจิ่นเกอว่า “เช่นนั้นแม่อยู่เป็นเพื่อนท่านย่าที่นี่แล้วให้ท่านพ่อพาเจ้ากลับไปพักผ่อน เจ้าจะว่าอย่างไร”
ตอนนี้จิ่นเกอชอบอยู่กับสวีลิ่งอี๋มากที่สุด เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็วิ่งไปที่อีกฝั่งของฉากกั้นแล้วดึงสวีลิ่งอี๋ที่กำลังพูดคุยอยู่กับสวีลิ่งควนทันที “ท่านพ่อพาข้ากลับไปนอนหน่อยขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินความเคลื่อนไหวจากฝั่งนั้นแล้ว ในบรรยากาศที่ครึกครื้นเช่นนี้ จิ่นเกอกลับเอ่ยปากบอกว่าจะกลับไปนอน ในฐานะคนเป็นพ่อ เขาทั้งชื่นชมและภาคภูมิใจ
เขารับปากจิ่นเกออย่างปิติยินดี
เซินเกอเห็นดังนั้นก็งอแงจะให้สวีลิ่งควนส่งเขากลับไปนอนด้วย
สวีลิ่งควนเห็นดังนั้นก็รู้สึกขบขัน “เจ้ากลับไปอยู่เรือนคนเดียว อย่าร้องงอแงอยากกลับมาอีกเล่า”
เซินเกอทำแก้มป่อง “พี่หกทำได้ ข้าก็ทำได้!”
“เอาสิ!” สวีลิ่งควนพูดพลางอุ้มบุตรชายขึ้นมาไว้บนบ่า แล้วเดินลงจากเรือนฉยงหลิงไปตามทาง
สวีซื่อจุนเห็นดังนั้นก็ส่ายหน้า
ฮูหยินสองครุ่นคิดพลางมองด้านหลังของสวีลิ่งอี๋กับจิ่นเกอที่อยู่ไกลออกไป
******
หลังจากผ่านเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปแล้ว ผลการสอบเซียงซื่อก็ออกมา
สวีซื่ออวี้สอบไม่ผ่านอีกแล้ว
ฮูหยินสองผิดหวังเล็กน้อย สวีซื่อเจี้ยพูดด้วยความตกใจ “ความรู้ของพี่สองดีถึงเพียงนี้ก็ยังสอบไม่ติด!”
“เรื่องดีๆ ก็ต้องใช้เวลานานหน่อย!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ดูแล้วอวี้เกอของพวกเราคงจะต้องพยายามให้มากขึ้นกว่านี้!”
สวีซื่ออวี้ยิ้มอย่างลำบากใจ เขาอารมณ์หดหู่อยู่หลายวัน
สวีลิ่งอี๋พาเขาไปปีนเขาที่ซีซาน เมื่อกลับมาก็ได้รับจดหมายจากอาจารย์เจียงและใต้เท้าเซี่ยง อารมณ์ของเขาถึงได้ดีขึ้น
เมื่อฉลองเทศกาลฉงหยางที่จวนแล้ว สวีซื่ออวี้ก็เตรียมตัวกลับเล่ออาน
ไท่ฮูหยินรู้สึกไม่อยากให้ไปเล็กน้อย “รอหลังตรุษจีนแล้วค่อยกลับเล่ออานเถิด เจ้าไปทีตั้งสามปี คนในจวนต่างก็พากันคิดถึงเจ้า”
“เมื่อฟ้ามอบหมายความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ให้ คนผู้นั้นก็ย่อมต้องทรมานและเหน็ดเหนื่อยจากความยากลำบากกว่าจะสมปรารถนา” สวีซื่ออวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านย่าขอรับ ท่านต้องเชื่อมั่นในตัวข้าว่าจะสามารถผ่านบททดสอบของฟ้าได้อย่างแน่นอน”
เขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ไท่ฮูหยินจึงทำได้เพียงให้กำลังใจเขา
สืออีเหนียงกลับปรึกษากับสวีลิ่งอี๋ว่า “เช่นนั้นให้เซี่ยงซื่อไปเล่ออานกับเขาดีหรือไม่ คู่รักหนุ่มสาวไม่ควรอยู่ต่างสถานที่กันเช่นนี้ หรือว่าหากเขาสอบไม่ติด สามีภรรยาก็จะไม่มีวันได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างนั้นหรือ”
“ได้สิ!” สวีลิ่งอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “มีลูกสะใภ้คอยดูแลอยู่ข้างกาย พวกเราก็จะได้วางใจ!”
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า พูดกับป้าตู้เป็นการส่วนตัวว่า “เช่นนี้ข้าก็จะมีหลานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนแล้ว!”
แน่นอนว่าเซี่ยงซื่อดีอกดีใจเป็นอย่างมาก กลับไปบอกลาคนสกุลเดิม นายหญิงเซี่ยงรู้สึกสับสนไปหมด นางไม่สามารถห้ามบุตรเขยที่จะไปศึกษาเล่าเรียนที่เล่ออานเพื่อตำแหน่งหน้าที่การงานในอนาคตได้ นอกจากนั้นบุตรสาวแต่งเข้าจวนสกุลสวีมาสามปีแล้วก็ยังไม่มีบุตร ความกังวลและความวิตกในใจนางนั้นไม่มีใครสามารถจินตนาการได้
วันก่อนที่สวีซื่ออวี้จะไปเล่ออาน นายหญิงเซี่ยงตั้งใจมาเยี่ยมเยียนสืออีเหนียงโดยเฉพาะ มอบเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้แก่เด็กๆ พูดคำสรรเสริญเยินยอมากมายต่อหน้าไท่ฮูหยิน และกลับไปหลังจากทานอาหารเย็นที่สกุลสวี เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นนางกับบุตรชายก็มาส่งบุตรสาวและบุตรเขยออกจากเมือง รอจนรถม้าของสวีซื่ออวี้และภรรยาละจากสายตาไปแล้วจึงได้กลับเข้าเมือง
ด้วยเหตุนี้สวีซื่อเจี้ยจึงพยายามอย่างหนักมากขึ้นกว่าเดิม
ในชั่วพริบตาก็มาถึงหย่งเหอปีที่สิบสี่
“คุณหนูเก้าสกุลเจียงทำพิธีปักปิ่นแล้ว” หลังจากวันที่สามเดือนสาม สืออีเหนียงกับไท่ฮูหยินได้หารือกับสกุลเจียงเรื่องการแต่งงาน “การแต่งงานกับสกุลเจียงจะต้องเริ่มจัดเตรียมได้แล้ว ข้าว่าเชิญคุณนายสามสกุลหวงไปถามความคิดเห็นของสกุลเจียงดูเถิด! พวกเราก็จะได้เตรียมพร้อมเรื่องงานแต่งงาน”
สืออีเหนียงยิ้มพลางตอบตกลง แต่งตัวแล้วไปที่จวนหย่งชังโหว
คุณนายสามสกุลหวงตอบตกลงอย่างไม่ลังเลใจ