กว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะตื่นขึ้น เวลาก็ล่วงเลยไปถึงบ่ายวันถัดมา และไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ยังมีหลายอย่างที่ต้องจัดการในวังหลวง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถลอยชายอยู่ที่นี่ได้ และนางเข้าใจถึงเรื่องนี้ดี ทันทีที่นางตื่นขึ้น นางก็เห็นเจ้าเจ็ดนั่งอยู่ปลายเตียง เขากำลังง่วนอยู่กับการกัดซาลาเปาไส้เนื้อเข้าปาก ใบหน้าเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ”พี่สะใภ้สาม”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มพลางลูบศีรษะของเด็กชาย ”มีอะไรหรือ”
“วันนี้ข้าถามพี่สามว่าทำไมท่านถึงนอนตื่นสายนัก แล้วเขาก็บอกว่าเมื่อวานนี้ข้าดื้อเกินไป และทำให้ท่านต้องบาดเจ็บ” ขาเล็กๆ ของเจ้าเจ็ดขัดสมาธิเข้าหากัน เขาก้มศีรษะลงแล้วเอ่ยว่า ”ข้าไม่ได้ตั้งใจขอรับ ข้านึกไม่ถึงว่าข้าจะเปลี่ยนร่างได้ ตอนนั้นข้าได้ความทรงจำคืนมา และคิดถึงแต่พี่สาม ข้ามัวแต่สนใจการฆ่าบรรดาทหารรักษาพระองค์ที่ถือคบไฟไว้ในมือ แต่ข้าไม่รู้เลยว่ามันจะกระทบไปถึงท่านด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขามีหางงอกออกมา และตอนนี้หางของเขาก็กำลังกวัดแกว่งไปมาในระหว่างที่เขาพูด ทำให้เขายิ่งดูน่ารักอย่างยิ่ง
แต่องค์ชายช่างเก่งเรื่องการโยนความรับผิดชอบเสียจริง หน้าหนาเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีจริงหรือ
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรอก เจ้าเจ็ด มันเป็นฝีมือของคนอื่นต่างหาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยบีบแก้มของเจ้าเจ็ดแล้วจึงพูดต่อ ”เจ้าบอกว่าเจ้าได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้ว เจ้าจำได้ไหมว่าเจ้าคืออสูรกลืนเวหา”
เด็กชายตัวน้อยยังเคี้ยวซาลาเปาเนื้อตุ้ยๆ พร้อมกับบอกว่า ”อืม ตอนนี้ข้าจำได้หมดแล้วขอรับ แต่เป็นเพราะว่าพลังของข้ายังฟื้นคืนมาไม่สมบูรณ์ พี่สามก็เลยฝังต่างหูเงินไว้ที่ใบหูของข้า ดังนั้นข้าจะกลายร่างเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็ต่อเมื่อยามที่มีเรื่องเท่านั้น ไม่อย่างนั้นป่านนี้ข้าก็คงพาพี่สะใภ้สามออกจากวังหลวง แล้วไปหาเต้าฮวยกินแล้วขอรับ แต่ตอนนี้พี่สามห้ามไม่ให้ข้าสู้กับใคร ข้าก็เลยเบื่อยิ่งนัก”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …สรุปแล้วเรื่องที่เขากังวลก็คือเรื่องนี้นี่เอง
“สมองของเจ้ามีแต่เรื่องกิน ต่อสู้ แล้วก็ฆ่าคนหรือ”
เด็กชายตัวน้อยส่ายหน้า และตอบว่า ”แน่นอนว่าไม่ขอรับ ข้ายังเป็นห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองอย่างมากอีกด้วย พี่สะใภ้สามดูข้าให้ดีๆ สิขอรับ หลังจากได้ความทรงจำกลับมาแล้ว ข้าหล่อขึ้นใช่หรือเปล่า!”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นนางจึงกล่าวว่า ”เจ้าหล่อที่สุดในโลกเลยล่ะ เอาล่ะ ทีนี้ก็วิ่งไปที่ห้องเครื่องแล้วบอกให้คนเตรียมเนื้อมาให้ข้าที เพราะตอนนี้พี่สะใภ้สามของเจ้าหิวจะตายอยู่แล้ว”
“ไม่จำเป็นต้องไปที่ห้องเครื่องหรอกขอรับ” เด็กชายตัวน้อยยืนขึ้น หางของเขาห้อยลงกับพื้น ”ตอนที่พี่สามออกไป เขาสั่งให้ข้ารับใช้เตรียมอาหารไว้ให้ท่านเยอะแยะเชียวขอรับ อีกทั้งยังพูดอย่างชัดเจนอีกด้วยว่าจะกินได้ก็ต่อเมื่อท่านตื่นแล้วเท่านั้น”
ใส่ใจถึงเพียงนั้นเชียว? เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วใช้สองมือจัดชุดนอนตัวเองพร้อมกับลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน เท้าเปล่าของนางสัมผัสกับพรมขนสัตว์หนาสีดำ นางบิดขี้เกียจพลางหาวออกมา แล้วมองไปที่โต๊ะไม้จันทน์ทรงกลมนั้น หม้อหินอุ่นๆ ใบหนึ่งตั้งอยู่บนเตา ในนั้นเต็มไปด้วยซี่โครงหมู มันเทศ และวุ้นเส้น รสชาติของมันจัดจ้านเผ็ดร้อน นอกจากนั้น บนจานก็ยังมีมันเทศหวานวางเพิ่มเอาไว้ด้วย กลิ่นหอมอร่อยของมันโชยอยู่ในอากาศ ยังไม่ต้องพูดถึงอาหารชนิดอื่นที่ถูกเตรียมเอาไว้ พวกมันมีทั้งเหง้าบัวหั่นฝอย ผักกาดดอง เป็ดตุ๋นแปดขุมทรัพย์ เนื้อวัวปรุงรส พระกระโดดกำแพง และปูผัดพริก
เฮ่อเหลียนเวยเวยหิวจนตาลาย เมื่อเห็นอาหารจานโปรด นางก็รีบคว้าตะเกียบไม้ไผ่ขึ้นแล้วคีบซี่โครงหมูเข้าปากทันที นางไม่ได้กินอย่างตะกละตะกลาม เพราะได้รับการสั่งสอนมารยาทบนโต๊ะอาหารมาเป็นอย่างดี นางลิ้มรสชาติของอาหารด้วยท่าทางเกียจคร้าน แต่สิ่งเดียวที่สร้างความกังวลก็คือปริมาณมื้ออาหารของนางนี่เอง
เจ้าเจ็ดคาบก้ามปูเอาไว้ในปากพร้อมกับมองเฮ่อเหลียนเวยเวยขณะยกมือข้างซ้ายขึ้นเกาศีรษะด้วยความงุนงง พี่สะใภ้สามกินเก่งถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูเหมือนกระเพาะของนางจะใหญ่กว่าเขาเสียอีก นางกินข้าวไปแล้วห้าถ้วย แต่เขายังอยู่ที่ถ้วยที่สองอยู่เลย เป็นไปได้หรือไม่ว่าความสามารถของเขาจะลดลง อา ช่างเถอะ อย่างไรคนหล่ออย่างเขาก็ไม่ควรกินเยอะเกินไปอยู่แล้ว
สุดท้ายเด็กชายผู้หล่อเหลาก็ยังกินข้าวไปเกือบสิบถ้วย…
แต่พี่สะใภ้สามกลับยังสามารถเอาชนะเขาได้หนึ่งถ้วย!
นี่ยังไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญที่สุด ที่สำคัญกว่านั้นก็คือหลังจากพี่สะใภ้กินข้าวเสร็จ นางยังมีกระเพาะพอจะกินส้มต่อได้อีกสองสามลูก
เด็กชายตัวน้อยยืนอยู่ข้างๆ หางของเขาสะบัดไปทางซ้ายทีขวาที เขาทำจมูกฟุดฟิด และรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ…
อากาศข้างนอกวังหลวงเริ่มหนาวขึ้น เมืองหลวงเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่ฤดูหนาวมาเยือน อากาศจะเย็นขึ้นและทำให้ทุกคนรู้สึกไม่อยากออกจากจวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่มีหมอกลงหนา เพียงแค่พูดก็ยังมีไอสีขาวลอยออกมา
เมื่อฮ่องเต้สวรรคต ราชสำนักย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
เสนาบดีทุกคนล้วนแต่ตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก พวกเขายืนอยู่กลางห้องทรงอักษรทางทิศใต้ ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมาแม้แต่คนเดียว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุด มือข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าคาง ในขณะที่มืออีกข้างถือฎีกาที่มีผู้ส่งมา ทุกการเคลื่อนไหวของเขาดูราวกับได้รับการวางแผนมาแล้วอย่างสมบูรณ์
เขาไม่ได้พูดอะไร หรือแสดงความไม่พอใจออกมาแม้แต่น้อย ใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาและสง่างามของเขาไม่แสดงอารมณ์อันใด ความจริงแล้วหากเทียบกันกับตอนที่ฮ่องเต้คนก่อนหน้านี้ เขาดูสุขุมเยือกเย็นและเป็นธรรมชาติมากกว่า
แต่เสนาบดีที่เข้าร่วมการประชุมราชสำนักในวันนี้ต่างรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ไม่เคยมีมาก่อน หน้าผากของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเม็ดโต เพราะทุกคนล้วนแต่กำลังกลัดกลุ้มกับชะตากรรมของตัวเอง
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงอ่านสิ่งที่อยู่ในมือจบ ตาทั้งสองข้างของเขากวาดมองไปทางพวกเขาขณะกล่าวว่า ”ข้าคงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก พวกเจ้าทุกคนย่อมรู้ดีกว่าข้าว่าตัวเองทำอะไรผิดไป พาตัวพวกเขาไป”
“องค์ชาย องค์ชาย ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยพ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย ไว้ชีวิตพวกเราด้วย!” เสนาบดีทางการทหารสามนายที่สนับสนุนให้ฮ่องเต้ทำร้ายองค์ชายเจ็ดถูกองครักษ์เงาที่สวมหน้ากากลากตัวออกไปทันที
คนที่เหลือล้วนแต่เป็นคนที่เคยอยู่ฝ่ายเดียวกับองค์ชายห้า เดิมทีพวกเขาคิดว่านี่คือจุดจบของพวกเขาแล้วเช่นกัน
พวกเขานึกไม่ถึงว่าหลังจากองค์ชายจิบชาเสร็จแล้ว เขาจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอันชัดเจนว่า ”ใต้เท้าหลิว ฎีกาที่ท่านส่งมาหมายความว่าอย่างไร”
หลิวอวี้คิดว่าเขาอาจจะถูกตัดหัวได้ทุกเวลา ดังนั้นเขาจึงนึกไม่ถึงว่าจะถูกถามเช่นนั้น แต่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติแล้ว เขาก็ยังยืดหลังตรงและรายงานว่า ”มีข่าวมาจากเมืองเซวียนหยวนพ่ะย่ะค่ะ ข่าวนั้นบอกว่ามีคนจากจวนผู้อาวุโสสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงภายในราชสำนัก พวกเขาบอกว่าผนึกของเมืองหลวงอาจจะถูกทำลายลงแล้ว และหากผนึกขับไล่วิญญาณร้ายถูกทำลายจริง เช่นนั้นมนุษยชาติย่อมมีอันตราย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการส่งคนมาที่นี่เพื่อคุ้มกันมันพ่ะย่ะค่ะ”
“ส่งคนมาที่นี่เพื่อคุ้มกันมันหรือ” อู่จิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามขึ้นอย่างอดไม่ไหว ”ทำไมเจ้าไม่ถามพวกเขาไปล่ะว่าตอนที่คนของพวกเขาสู้กันเอง พวกเราสามารถส่งคนของเราเข้าไปไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้ได้หรือไม่ บัดซบ! เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าพวกเขามีจุดประสงค์อื่นนอกเหนือจากการคุ้มกันผนึก!”
หลิวอวี้กระแอมออกมาครั้งหนึ่งเพื่อเตือนให้เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสถานะเดิมเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว และเขาไม่สามารถพูดจาขวานผ่าซากเช่นนั้นได้ อย่างไรเสียองค์ชายสามก็ไม่ใช่องค์ชายห้า และยังไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกเขาอีกด้วย นอกจากนั้นเมื่อดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว ถ้าวันนี้พวกเขารอดไปได้ก็คงต้องบอกว่าน่าประหลาดใจทีเดียว
แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะคนที่นั่งอยู่บนนั้นกลับเอ่ยขึ้นราวกับไม่ใส่ใจว่า ”ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกันกับแม่ทัพอู่ แต่ความแตกต่างเดียวที่มีคือวิธีการที่เราจะใช้แก้ปัญหานั้น ข้าไม่ชอบทำอะไรมากความเพื่อจัดการใคร ดังนั้นปล่อยให้พวกเขามาหาเราที่นี่ก็แล้วกัน หากเป็นเช่นนั้นการจะฆ่าพวกมันทุกคนย่อมสามารถทำได้สะดวกกว่ามาก”
อู่จิ้งเป็นแม่ทัพ เขาใช้เวลาหลายปีไปกับการทำสงคราม แต่เขาไม่เคยเห็นคนที่โหดเหี้ยมเท่ากับคนที่อยู่ตรงหน้ามาก่อน
แต่การมีผู้นำเช่นนี้ เวลาที่พวกเขาทำศึก ย่อมสร้างขวัญและกำลังใจให้พวกเขาได้เป็นอย่างดี!
ตอนนี้ความคิดของเขาเริ่มเอนเอียงไปทางองค์ชายสาม เขาอยากให้คนคนนี้ได้ขึ้นครองบัลลังก์!
หลิวอวี้เป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน และเป็นคนรอบคอบทีเดียว เดิมทีนั้นเขาคิดว่าหลังจากองค์ชายห้าพ่ายแพ้ องค์ชายสามจะกำจัดพวกเขาทันทีเพราะเขารู้ถึงความโหดเหี้ยมและชั่วร้ายของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ในเวลานี้ เขากลับรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองช่างตาบอดเสียไม่มี ไม่มีใครควรจะเป็นฮ่องเต้ไปมากกว่าคนผู้นี้อีกแล้ว!
เมื่อก่อนหลิวอวี้แค่อยากช่วยองค์ชายห้าเพื่อบิดาของตัวเอง แต่เมื่อได้มาเจอไป๋หลี่เจียเจวี๋ย หลิวอวี้ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งได้พบกับเจ้านายที่แท้จริงที่เห็นคุณค่าของเขา และสามารถใช้ความสามารถของเขาสร้างประโยชน์ได้ เขาชื่นชมในตัวอีกฝ่าย และพร้อมที่จะถวายการรับใช้ต่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยความเต็มใจ