เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าองค์ชายชักจะดูหมิ่นนางมากขึ้นทุกที
พวกเขาอยู่ต่อหน้านางกำนัลตั้งหลายคน แต่เขากลับยังเอ็ดนางเช่นนั้น เขาไม่ไว้หน้านางเลยแม้แต่นิดเดียว!
ไม่ได้การ! วันนี้ล่ะ นางจะต้องต่อต้าน!
“ข้า อุ๊บ.…”
เขาทำอะไรเนี่ย!
อย่าขัดจังหวะข้าในเวลาสำคัญเช่นนี้ได้ไหม!
ระหว่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยมัวแต่บ่นอยู่ในใจ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หยิบซาลาเปาขึ้นมาแล้วยื่นเข้าปากนาง
ทีแรกนางอยากจะปฏิเสธอย่างจริงจัง แต่พอได้กลิ่นซาลาเปาหอมฉุยที่ลอยเข้ามาในจมูก เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เผลอกัดมันเข้าปากอย่างอดใจไม่ไหว ไส้ซาลาเปาทำมาจากเห็ด เนื้อ อีกทั้งยังมีกุ้งผสมอยู่ด้วย แป้งซาลาเปาทำมาได้อย่างไร้ที่ติ มันให้ความรู้สึกเด้งดึ๋งตอนเคี้ยวอยู่ในปาก ทันใดนั้นดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เป็นประกาย นางเริ่มกินตามอย่างว่าง่าย
ช่างมันเถอะ ไม่ช้าก็เร็ว วันที่เขาหลงรักนางจนโงหัวไม่ขึ้นจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน แล้วนางจะสั่งเขาให้ดู!
ซาลาเปาลูกนี้รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมรู้สึกอิ่มเอมกับการที่เขาคอยป้อนอาหารนาง นางหรี่ตาลงอย่างมีความสุข ระหว่างที่ทานอาหารอยู่นั้น จินตนาการของนางก็พลันโลดแล่น ทันทีที่นางนึกภาพตัวเองสั่งให้องค์ชายทำอะไรสักอย่าง และเขากลัวเกินกว่าจะปฏิเสธนางได้ขึ้นมาในหัว หัวใจของนางก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความพอใจ นางเผลอกำหมัดแน่นพลางคิดกับตัวเองว่า นี่ล่ะคือเป้าหมายต่อไปในชีวิตของนาง!
แววตายิ้มแย้มสว่างขึ้นในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเมื่อเขาเห็นภาพนั้น จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปแล้วขยับตัวเข้าไปหานาง นางดูเหมือนจิ้งจอกตัวน้อยแสนดีทุกครั้งที่มีของกิน เมื่อนางเก็บกรงเล็บ ดวงตาของนางจะเป็นประกายและดูเชื่อฟังอย่างมาก นางไม่สนใจเสียด้วยซ้ำว่าท่าทางตอนที่นางกินซาลาเปาจากมือเขาจะดูใกล้ชิดกันเพียงใด ทุกครั้งที่นางอ้าปากกัดมัน ลิ้นของนางจะตวัดผ่านนิ้วของเขาไปพร้อมกัน และนั่นทำให้องค์ชายรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง…
หลังมื้อเช้าสิ้นสุดลง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เริ่มรู้สึกง่วง นางอ้าปากหาวขณะที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของเขา ท่าทางการหาวของนางดูไม่เหมือนแมว แต่กลับเหมือนสุนัขเสียมากกว่า ถ้าจะให้ระบุให้ชัดเจนก็คือ เหมือนกับฮัสกี้ไม่มีผิด ผมฟูฟ่องที่ชี้อยู่บนศีรษะของนางดูมีเอกลักษณ์มากทีเดียว
รอยยิ้มของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหยียดกว้างขึ้นเมื่อเขาเห็นนางในสภาพนี้ จากนั้นเขาก็จูบสัตว์เลี้ยงแสนรักของตัวเอง ก่อนจะอุ้มนางกลับไปที่เตียงอีกครั้ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าเขาจะออกไปทำธุระของตัวเองหลังจากวางนางลงบนเตียง
แต่คาดไม่ถึงว่านางจะถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของเขาอย่างกะทันหัน
เขาใช้นิ้วตบหลังนางเป็นจังหวะ พร้อมกับวางคางไว้บนศีรษะของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก นางโอบแขนรอบเอวของเขา จากนั้นจึงหันหน้าไปด้านข้างพร้อมกับสูดกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์นั้น
“นอนซะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสั่งนางข้างหู น้ำเสียงของเขายังคงฟังดูสง่างามและเย็นชาเหมือนเคย แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับอ่อนโยนนุ่มนวลยามเมื่อเขาประทับจูบลงที่หน้าผากของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงหลับตาอยู่ และนางจะรู้สึกแตกต่างออกไปทุกครั้งที่นางอยู่ในอ้อมกอดของเขา เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอของเขาดังเข้ามาในหู แล้วผสานเข้ากับจังหวะหัวใจของนาง เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกจิตใจสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่ตอนที่นางอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงรายงานดังขึ้นจากนอกห้อง
“องค์ชาย คณะทูตของเมืองเซวียนหยวนเข้ามาในเมืองหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬรวบรวมความกล้าพูดขึ้น เพราะไม่มีใครกล้ารบกวนเจ้านายของเขาในเวลานี้ ในเมื่อขันทีซุนไม่อยู่ ผู้โชคร้ายที่ถูกความรับผิดชอบนี้หล่นทับจึงเป็นเขาไปโดยปริยาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยงัวเงียถาม ”มีอะไรหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตบหลังของนางพร้อมกับปลอบนางเหมือนเด็กว่า ”ไม่มีอะไรหรอก เจ้าหลับต่ออีกหน่อยเถอะ”
ผมสองเส้นที่ยังชี้อยู่บนศีรษะของเฮ่อเหลียนเวยเวยดูน่ารักเสียไม่มี แต่นางไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดมากนัก เพราะดวงตาของนางเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกที นางพลิกตัวไปด้านข้างแล้วดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความฝันอย่างรวดเร็ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่พอใจที่นางพลิกตัวออกจากอ้อมกอดของเขา ดังนั้นเขาจึงดึงนางกลับมาแล้วกระซิบว่า ”นอนตรงนี้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชอบนอนกับเขา แต่นางพลิกร่างไปอีกทางเพราะนางรู้สึกได้ว่าเวลานี้เขาน่าจะมีเรื่องอื่นต้องทำ ทันทีที่เขามอบอ้อมกอดอันอบอุ่นนั้นให้กับนางอีกครั้ง ดวงตาของนางก็พลันค่อยๆ ปิดลงและผล็อยหลับไป
เงาทมิฬไม่ได้ยินเสียงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้อง แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่ยืนอยู่รอข้างนอกเท่านั้น
หลังจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกล่อมให้นางกลับเข้าสู่ห้วงนิทราได้แล้ว เขาก็เลิกม่านปักขึ้น ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำสนิทขึ้นมาสวม แล้วออกจากห้องบรรทมไป เขาถามว่า ”นอกจากเรื่องที่พวกเขามาถึงเมืองหลวงแล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”
เงาทมิฬตอบพร้อมกับค้อมศีรษะลง ”สายข่าวของเราในเมืองหลวงแจ้งว่าคนที่มาไม่ได้มีแค่องค์หญิงแห่งเมืองเซวียนหยวนเท่านั้น แต่ยังมีองค์รัชทายาทแห่งเมืองเซวียนหยวนอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังวางแผนการบางอย่างอยู่”
“ข้ารู้แล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูไม่ประหลาดใจกับข่าวนี้ เขาเอ่ยต่อด้วยท่าทางสง่างามอย่างที่สุด ”ตามประเพณีแล้ว ทันทีที่คณะทูตเดินทางเข้ามาในเมืองหลวง สิ่งที่เราควรทำก่อนเริ่มเจรจาคือการรับเครื่องบรรณาการ”
เงาทมิฬหลุบตาลงขณะตอบว่า ”พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อทูตจากเมืองเซวียนหยวนได้ยินคำตอบนั้น แม้สีหน้าของเขาจะยังคงดูสุภาพ แต่เขาก็เผลอเยาะขึ้นกับตัวเองว่าองค์ชายสามผู้นี้คิดจริงๆ หรือว่าจักรวรรดิจ้านหลงยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน เขาถึงกับกล้าเรียกบรรณาการเชียวหรือ
ผู้อาวุโสซวีอู๋ลูบเคราตัวเองตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ จากนั้นจึงเอ่ยว่า ”ดูเหมือนว่าเราจะประเมินยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้านามว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยผู้นี้ไว้สูงเกินไป เขาสามารถคว้าชัยในการสงครามได้ แต่กลับไม่เข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเอาเสียเลย คืนนี้หลังจากเราได้เข้าไปในวังหลวง เขาจะตระหนักได้ว่าตนโง่เขลาเพียงใดที่ยกเรื่องบรรณาการขึ้นมาพูด”
ถ้าเจ้าเจ็ดได้ยินคำพูดพวกนี้ เขาจะต้องกลอกตาใส่ผู้อาวุโสซวีอู๋อย่างแน่นอน ทำไมนายท่านจะต้องเรียนเรื่องการทูตด้วย ประเทศเพื่อนบ้านอะไรนั่นไร้ความหมายสิ้นดี เพราะพวกมันเป็นแค่เมืองขึ้นของพวกเขาเท่านั้น หากพวกเขากล้าขัดคำสั่ง พวกเขาจะต้องถูกโบยจนตาย นี่เป็นสิ่งที่พี่สามสอนเขามาตั้งแต่ยังเด็ก
เวลากลางคืน หิมะเริ่มตกหนักในเมืองหลวง กิ่งไม้ประดับประดาไปด้วยหิมะดูงดงาม ทุกหนแห่งถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวบริสุทธิ์ แม้กระทั่งท้องฟ้าและผืนดินก็ยังกลายเป็นสีขาว
เสนาบดีที่ค่อนข้างหัวโบราณหลายคนรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากเมื่อได้ยินว่าองค์ชายสามเรียกร้องขอบรรณาการ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าถามอีกฝ่ายตรงๆ และทำได้เพียงเก็บซ่อนความวิตกกังวลนั้นเอาไว้กับตัว เมื่อทูตจากเมืองเซวียนหยวนมาถึง พวกเขาจึงทำตัวสุภาพกับเขาเป็นพิเศษ
สยงจิ้งพ่นลมหายใจออกมาเสียงดังทันทีที่เขาเห็นภาพนี้ ในความคิดของเขา องค์ชายตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าสถานการณ์ในราชสำนักจะเป็นเช่นใด แต่พวกเขาจะปล่อยให้คนอื่นมารังแกไม่ได้!
ณ ห้องบรรทม นางกำนัลถือข้าวของเดินเข้าออกห้องไม่ได้ขาด แต่ก็ไม่ได้ดูไร้ระเบียบ ทุกคนล้วนแต่อยู่ที่นั่นเพื่อช่วยเฮ่อเหลียนเวยเวยแต่งตัวสำหรับวันนี้
“พระชายาช่างงดงามยิ่งนักเพคะ” นางกำนัลตัวน้อยเอ่ยขึ้นด้วยความจริงใจอย่างที่สุด นางมองเงาสะท้อนอันงดงามชวนตะลึงของเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่วางตา นางรู้สึกประหลาดใจกับผิวที่ทั้งขาวใส เนียนนุ่ม และมีกลิ่นหอมของนาง นอกจากรูปโฉมของนางแล้ว นางยังมีบรรยากาศผ่อนคลายที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้อีกด้วย เมื่อพระชายาหันมามองพวกนาง นางก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเหมือนทุกครั้ง และเมื่อนางช้อนดวงตาหงส์คู่นั้นขึ้น หัวใจของคนที่เห็นต่างก็พากันเต้นแรง
นางกำนัลตัวน้อยไม่รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเคยแต่งตัวเป็นผู้ชายมาก่อนตอนอยู่ที่ยุคปัจจุบัน นางเป็นเจ้าพ่อค้าอาวุธตัวจริงเสียงจริง และทักษะการจีบสาวของนางก็จัดว่าเหนือชั้นทีเดียว
ถ้าไม่อย่างนั้นละก็…