ตอนที่ 651 เช่าอาคาร
เมื่อพวกเขาทั้งสี่ตอบตกลง หลินม่ายก็ทำการยื่นข้อเสนอ และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ทำการซื้อขายไปในราคาสองแสนหกหมื่นหยวน
หลินม่ายซื้อลานบ้านทันทีในบ่ายวันนั้น
พี่น้องทั้งสี่ทำการต่อเติมและซ่อมแซมบ้านจากภายในสู่ภายนอกเพื่อให้ง่ายต่อการขาย เพียงมองแวบแรกก็ดูเหมือนบ้านใหม่
หลินม่ายต้องการเพียงเพิ่มห้องสุขาสองห้อง ติดตั้งโทรศัพท์ และเพิ่มเฟอร์นิเจอร์
บ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง ดังนั้นต้องตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์คลาสสิกให้เข้ากับยุคจีนโบราณ หลินม่ายจึงไปยังตลาดนัดเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์คลาสสิกไม้หงมู่จำนวนมาก
แม้ว่าจะต้องใช้เงินประมาณหนึ่งหมื่นหยวนในการซื้อเฟอร์นิเจอร์ แต่เธอก็คิดว่ามันคุ้มค่า
เฟอร์นิเจอร์เหล่านี้มาจากราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงแล้ว และมีค่าสำหรับการสะสมอยู่แล้ว
ไม้เปลือยเป็นไม้หงมู่ ซึ่งจะมีมูลค่ามากในอีกไม่กี่ทศวรรษ
สิ่งที่ทำให้หลินม่ายมีความสุขมากที่สุดก็คือ เธอพบเตียงที่ทำจากไม้หนานมู่สีทองในตลาดเฟอร์นิเจอร์มือสอง
นอกจากการซื้อเฟอร์นิเจอร์ในตลาดเฟอร์นิเจอร์มือสองแล้ว หลินม่ายยังซื้องานประดิษฐ์ตัวอักษร ภาพวาด เครื่องลายคราม และของเก่าต่าง ๆ เพื่อตกแต่งบ้านอีกด้วย
แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปแล้ว และเหล่านายทุนไม่ต้องการครอบครองสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป และทรัพย์สิน โบราณวัตถุ ภาพเขียน และภาพวาดก็ถูกส่งคืนให้กับเจ้าของเดิม
อย่างไรก็ตาม หลายคนยังคงมีความกลัวอยู่ หลังจากได้รับเครื่องลายคราม ภาพเขียนพู่กัน ภาพวาด และโบราณวัตถุต่าง ๆ คืน พวกเขาแทบรอไม่ไหวที่จะขายมันในตลาดมือสอง
แน่นอนว่าพวกเขาต้องการเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เป็นเงินเพื่อไม่ให้ตัวเองเดือดร้อน
ดังนั้นจึงมีงานประดิษฐ์ตัวอักษรและภาพวาดโบราณมากมายในท้องตลาด และราคาก็ยังถูกอีกด้วย
หลินม่ายไม่ค่อยรู้เรื่องเครื่องลายคราม ของเก่าสะสม งานเขียนพู่กัน และภาพวาด ดังนั้นเธอจึงซื้อมาทั้งหมด
ของเก่าประเภทเซรามิก ภาพเขียนพู่กัน และภาพวาดบนสินค้ามือสองโดยพื้นฐานแล้วจะขายในราคากะหล่ำปลี จึงไม่มีใครพยายามทำของปลอมออกมาขาย เพราะมันไม่คุ้มค่า
หลินม่ายจึงไม่กังวลเกี่ยวกับการซื้อของปลอม
แต่ถึงจะซื้อของปลอม หลินม่ายก็ไม่สนใจ
เนื่องจากของปลอมเหล่านั้นเป็นของปลอมจากราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงด้วย และมีค่าพอกันหลังจากหลายทศวรรษ
ของปลอมยังแบ่งออกเป็นระดับด้วย
หลังจากที่เรือนสี่ประสานได้รับการจัดแต่งอย่างครบครัน ห้องน้ำสองห้องก็ถูกสร้างเสร็จสิ้น ตอนนี้เธอสามารถหิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย
หลินม่ายย้ายจากโรงแรมมายังเรือนสี่ประสานสามวง
คืนนั้นเธอเชิญคุณปู่ไป๋ คุณย่าไป๋ พ่อไป๋ และคนอื่น ๆ รวมถึงคุณตาและคุณยาย มารับประทานอาหารเย็นที่บ้านของเธอ
แม้ว่าแม่ไป๋จะปฏิบัติต่อหลินม่ายไม่ดี แต่ปู่ย่าตายายก็ปฏิบัติต่อหลินม่ายเป็นอย่างดี
ดังนั้นเมื่อหลินม่ายย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ เธอจึงเชิญพวกเขาไปรับประทานอาหารเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง
สำหรับแม่ไป๋และไป๋ซวง แน่นอนว่าหลินม่ายไม่ได้เชิญชวนพวกหล่อน
เมื่อถึงเวลาห้าโมงเย็น คุณปู่ไป๋และคนอื่น ๆ ก็มารวมตัวกัน
ไป๋เหยียนซึ่งเป็นพี่สาวคนโตก็เดินทางมาที่นี่พร้อมกับเถียนเถียนและสามีของเธอ
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินม่ายเห็นพี่เขยของเธอ
พี่เขยดูเป็นคนซื่อตรง ซื่อสัตย์ และดูแลลูก ๆ ด้วยตัวเอง ทำให้ไป๋เหยียนได้มีเวลาพูดคุยกับน้องอย่างมีความสุข
คุณปู่ไป๋และคนอื่น ๆ ตกใจมากเมื่อเห็นว่าหลินม่ายซื้อเรือนสี่ประสานหลังใหญ่
เมื่อคิดว่าฟางจั๋วหรานซื้อเรือนสี่ประสานหลังนี้ให้เธอ พวกเขาต่างก็ชื่นชมฟางจั๋วหรานที่ใจดีกับหลินม่าย
หลินม่ายไม่อธิบายอะไร ปล่อยให้พวกเขาเข้าใจผิดไปอย่างนั้น
เธอเตรียมอาหารมื้อใหญ่ให้พ่อไป๋และคนอื่น ๆ
ลูกชิ้นทอด ทอดมันปลา และเฝิ่นเจิงโร่วที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ
ผู้อาวุโสทุกคนกินอย่างมีความสุขและชื่นชมทักษะการทำอาหารของหลินม่าย
หลังอาหารเย็น ทุกคนก็ลังเลที่จะจากไป เหล่าผู้สูงวัยเดินชมบ้านอย่างมีความสุข
พี่สาวคนโตและสามีของเธอกำลังตีพุทราในสวนด้วยไม้ไผ่ยาว เพื่อจะนำกลับไปทำของหวานให้เถียนเถียนกิน
เถียนเถียนเด็กวัยหัดเดินกำลังพูดพล่ามอย่างมีความสุข
เหล่าผู้อาวุโสชี้ไปยังลานบ้านและพูดคุยเกี่ยวกับสวนนั้น โดยบอกว่ามีต้นล่าเหมยและดอกโบตั๋นสองกระถางในสวนด้วย
ผู้อาวุโสเดินช้า ๆ ข้างหน้า โดยมีหลินม่ายและไป๋เซี่ยเดินตามหลัง
หลินม่ายถามสองพี่น้องไป๋อย่างแผ่วเบาว่ามีการเคลื่อนไหวใด ๆ จากไป๋ซวงหรือไม่?
พี่น้องทั้งสองส่ายศีรษะ “ยังไม่มี~”
หลินม่ายสงสัย “ทำไมไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งที่นานมากแล้ว?”
ไป๋เซี่ยอธิบาย “เหตุผลหลักคือมีคนใช้อยู่ที่บ้าน และเราทุกคนก็อยู่บ้านในช่วงสุดสัปดาห์ ดังนั้นไป๋ซวงจึงไม่มีโอกาส”
ไป๋ลู่ตบไหล่หลินม่าย “อย่ากังวล พ่อวางแผนไว้แล้วโดย บอกว่าวันอาทิตย์หน้าครอบครัวเราจะไปพักผ่อนที่เซียงซาน คนรับใช้ก็ไม่มาทำงาน พ่อวางแผนทุกอย่างเพื่อให้ไป๋ซวงและพ่อแม่ของหล่อนทำการลักขโมย”
หลินม่ายเอ่ยถาม “ทำไมไม่ไปเซียงซานสัปดาห์นี้เลยล่ะ? ทำไมต้องรอจนถึงสุดสัปดาห์หน้า?”
เธอต้องการให้ขับไล่ไป๋ซวงออกจากบ้านของตระกูลโดยเร็วที่สุด
ไป่ลู่กล่าว “เราต้องใช้เวลาในอาทิตย์นี้เพื่อเตรียมงาน พ่อจะจัดงานเลี้ยงให้เธอเพื่อเฉลิมฉลองการเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวา และเขาจะแนะนำเธอให้ญาติและเพื่อน ๆ ทุกคนรู้จัก ดังนั้นเราจึงไม่สามารถไปเซียงซานในสัปดาห์นี้ได้”
หลินม่ายยิ้ม “พ่อยังไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับฉันเลย”
“พ่อจะพูดถึงเรื่องนี้ให้เธอฟังในภายหลัง” ไป๋ลู่กล่าว
หลังจากนั้น ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางกลับ พ่อไป๋ก็บอกหลินม่ายว่าเขาจะจัดงานเลี้ยงให้เธอในสัปดาห์นี้
เขาหยิบสร้อยคอทองคำและเงินสองร้อยหยวนออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้หลินม่าย
“สร้อยคอทองคำเส้นนี้ถูกซื้อให้กับหลินเพ่ยที่ปลอมตัวเป็นลูก แต่แท้จริงแล้วมันเป็นของลูก และตอนนี้มันกำลังถูกส่งคืนให้กับเจ้าของเดิมแล้ว ลูกจงนำเงินสองร้อยหยวนนี่ไปซื้อชุดสวย ๆ สำหรับใส่ในงานเลี้ยงเถอะ”
หลินม่ายรับเพียงสร้อยคอทองคำเท่านั้น และไม่ต้องการเงินสองร้อยหยวน เพราะเธอมีเสื้อผ้าสวย ๆ มากมาย
แม้ว่าคราวนี้เธอจะนำชุดมาเพียงเจ็ดหรือแปดชุด แต่ก็เพียงพอสำหรับงานเลี้ยง
พ่อไป๋ยัดเยียดเงินสองร้อยหยวนให้เธอ “พ่อให้แล้ว เอาไปเถอะ เสื้อผ้าของลูกเป็นของลูก แต่นี่เป็นเงินที่พ่อตั้งใจจะมอบให้ลูกเพื่อนำไปซื้อเสื้อผ้าใหม่”
หลินม่ายเห็นว่าเขาพูดอย่างจริงใจ ส่วนพี่สาวและพี่ชายของเธอก็เกลี้ยกล่อมให้เธอรับเงิน ดังนั้นหลินม่ายจึงยอมรับเงินสองร้อยหยวนอย่างเต็มใจ
ไป๋ลู่จับมือหลินม่ายและแสดงออกอย่างตื่นเต้นว่าต้องการไปห้างสรรพสินค้าและซื้อเสื้อผ้าตอนเที่ยงวันพรุ่งนี้
ชุดจะต้องซื้อในวันพรุ่งนี้ เพราะมะรืนนี้เป็นวันอาทิตย์และมีงานเลี้ยงจึงไม่มีเวลาซื้อ
ไป๋เซี่ยอาสาที่จะติดตามพวกเขาและคอยเป็นกุลีแบกของให้พวกเขา
แม้ว่าหลินม่ายและไป๋ลู่จะไม่ต้องการกุลี แต่พวกเธอก็ยังเห็นด้วย
หลังจากส่งพ่อไป๋และคนอื่น ๆ ไปแล้ว หลินม่ายก็เขียนจดหมายถึงฟางจั๋วหราน
เธอบอกเขาว่าเธอซื้อเรือนสี่ประสานสามวงในเมืองหลวงแล้ว ขอให้เขาบอกคุณปู่และคุณย่าฟางว่า หากมีเวลาก็ให้เดินทางมาเยี่ยมเธอที่เมืองหลวง
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินม่ายลุกขึ้นและนึ่งซาลาเปา เธอกินคนเดียวสองลูก และที่เหลืออยู่ก็แจกจ่ายให้กับคนอื่น
ปู่ย่าตายายประทับใจมากและขอให้เธอไม่ต้องเหนื่อยทำสิ่งใดเพื่อพวกเขาอีกในอนาคต
หลินม่ายเพียงให้พวกเขาชิมซาลาเปานึ่งของเธอ แต่ไม่ได้คิดจะนึ่งให้พวกเขากินในทุกวัน
เหล่าวัยชราหลายคนชื่นชมซาลาเปานึ่งของเธอหลังจากกินเข้าไป
หลินม่ายคิดกับตัวเองว่าผู้เฒ่าทั้งสี่ชื่นชมความอร่อยของซาลาเปาเหล่านี้ตามมารยาท
หากเธอทำซาลาเปาที่เจือกะปิในไส้ พวกเขาจะยังชื่นชมว่าเอร็ดอร่อยอยู่หรือไม่?
เนื่องจากผู้เฒ่าทั้งสี่ชื่นชมในความอร่อย หลินม่ายจึงวางแผนที่จะซื้อร้านใกล้มหาวิทยาลัยเพื่อขายซาลาเปาและขนมจีบ
เมื่อซาลาเปาและขนมจีบของเธอเป็นที่ยอมรับของนักศึกษามหาวิทยาลัยชิงหวาและมหาวิทยาลัยปักกิ่ง รวมถึงผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียง เธอก็จะเปิดสาขาร้านเปาห่าวชือในเมืองหลวง
เธอระมัดระวังมากเพราะรู้ว่าในเมืองหลวงมีร้านซาลาเปาเก่าแก่สองแห่ง
แม้ว่าร้านซาลาเปาเก่าแก่ทั้งสองแห่งนี้จะไม่เป็นที่รู้จักทั่วประเทศ แต่ก็มีชื่อเสียงมากในท้องถิ่น
ในชีวิตที่แล้ว เครือร้านซาลาเปาหลายร้านพ่ายแพ้ต่อร้านซาลาเปาสองร้านนี้ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน
ไม่รู้ทำไม แต่คนท้องถิ่นล้วนซื้อซาลาเปาจากร้านที่มีชื่อเสียงทั้งสองร้านนี้ แม้จะมีราคาแพงมากก็ตาม
นอกจากนี้ หลังจากที่ได้รับประทานซาลาเปาจากร้านซาลาเปาทั้งสองแห่งนี้แล้ว ผู้บริโภคจำนวนมากก็รู้สึกถึงความอร่อยเหนือกว่าร้านอื่น
เนื่องจากหลินม่ายต้องการเปิดสาขาร้านเปาห่าวชือในเมืองหลวง ก่อนอื่นเธอจึงต้องทดสอบตลาดของซาลาเปานึ่งในเมืองหลวงก่อน
เพื่อความสะดวกในการจัดการ เธอจึงคิดจะเปิดสาขาร้านเปาห่าวชือใกล้มหาวิทยาลัยชิงหวาเท่านั้น
หลินม่ายไปยังบริเวณใกล้เคียงมหาวิทยาลัยชิงหวาเพื่อหาอาคารที่เหมาะสม
คนสมัยนี้ไม่ใส่ใจในการทำธุรกิจเหมือนในอีกหลายสิบปีให้หลัง และการหาหน้าร้านก็ไม่ใช่เรื่องยาก
หลินม่ายสำรวจอาคารหลายหลังและสนทนาขอซื้อขายอาคารเหล่านั้น
แต่ไม่มีใครยอมขาย พวกเขาทำได้เพียงให้เช่าเท่านั้น
อันที่จริงการปล่อยเช่าก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลินม่าย แต่การเช่าอาคารมีอายุสัญญาเพียงหนึ่งปี เธอจึงกลัวว่าเจ้าของอาคารจะทำการขึ้นราคาเมื่อต่อสัญญาครั้งใหม่
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดีที่จะเช่าอาคารซึ่งมีราคาแพงขึ้นทุกปี
หลังจากหลินม่ายพูดคุยกับพวกเขา ก็มีเจ้าของบ้านเพียงรายเดียวที่ยินดีเซ็นสัญญาสี่ปีตามข้อกำหนดของเธอ
แต่ค่าเช่าที่เจ้าของอาคารเสนอนั้นแพงกว่าที่เจ้าของอาคารรายอื่นเสนอ
เจ้าของอาคารหลังนี้มีแผนของเขา แม้ราคาจะไม่เพิ่มขึ้นในทุกปี แต่การเพิ่มค่าเช่าทุกสี่ปีก็ถือว่าเป็นกำไร
แต่หลินม่ายก็รู้สึกว่าหากเขาขึ้นค่าเช่าก็ไม่ใช่เงินมากมายสำหรับหลินม่าย
เพราะหากลองคิดให้ดี คนก็จะยิ่งตระหนักได้ว่าการประกอบอาชีพอิสระนั้นให้ผลกำไรมากเพียงใด
หากสินค้าได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ค่าเช่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
แม้ว่าเจ้าของบ้านจะเก็บค่าเช่าสูง แต่หลินม่ายก็ต่อรองราคาและลดค่าเช่าให้ต่ำลงได้
แม้ว่าเจ้าของบ้านจะไม่พอใจ แต่ราคาก็อยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงลงนามในสัญญา
ในธุรกิจซาลาเปาจะหวังพึ่งหลินม่ายเพียงอย่างเดียวไม่ได้
หลินม่ายวางแผนที่จะจ้างพ่อครัวทำซาลาเปาและบริกรที่ดูแลการขายซาลาเปา ดังนั้นจึงเขียนประกาศรับสมัครและติดไว้ที่ประตูร้าน
หลังจากเสร็จสิ้นทั้งหมดนี้ เธอจึงไปยังมหาวิทยาลัยชิงหวาเพื่อสอบถามและรู้ว่าเมื่อบ่ายวานนี้ ว่านฮุ่ยมารายงานตัวที่มหาวิทยาลัยชิงหวาโดยปลอมเป็นเธอ
มุมปากของหลินม่ายโค้งขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดอีกฝ่ายก็ติดกับดัก
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ซื้อบ้านเช่าร้านง่ายเหมือนเสกเอาเลยแฮะ เอาเวลาที่ไหนไปจัดการเนี่ยม่ายจื่อ ปกติกว่าจะซื้อได้ก็ใช้เวลาเป็นวันนะ หรือว่าในเมืองที่เจริญแล้วมันซื้อง่ายขนาดนี้จริงๆ?
ไหหม่า(海馬)