ตอนที่ 653 ไม่ยอมอ่อนข้อให้
ว่านฮุ่ยมองแผ่นหลังของเจ้าหน้าฝ่ายรับเข้าศึกษา รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ
เมื่อสักครู่นี้ เพื่อจะกุเรื่องขโมยขึ้นหอพัก หล่อนได้ขโมยของของเพื่อนร่วมห้องทั้งหมดไป
ถ้าตำรวจมาแล้วพบว่าหล่อนขโมยของและเงินของเพื่อนร่วมห้องทั้งหมดไป หล่อนจะถูกส่งเข้าคุกหรือไม่?
พรุ่งนี้ถ้าครูประจำชั้นมาถึงและพบว่าหล่อนทำเรื่องแบบนี้ ถึงตอนนั้นควรทำอย่างไร?
หล่อนกลัวจะถูกส่งตัวกลับ ซึ่งหล่อนไม่ยอมเสียเนื้อชิ้นนี้เป็นอันขาด
หล่อนกลัวตนจะถูกแม่แท้ ๆ ของตนทุบตีปางตาย
เพื่อที่จะได้เรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหวา แม่ของหล่อนใช้เงินไปเกือบสองร้อยหยวนกับหล่อน
ว่านฮุ่ยกัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชัง
หลินม่ายผู้หญิงสารเลว ทำไมเธอไม่มารายงานตัวให้เร็วกว่านี้ ตนจะได้ไม่ต้องเสี่ยงสวมรอยเป็นเธอแบบนี้
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องพวกนี้ แต่เป็นคิดหาวิธีแก้ไขวิกฤติครั้งนี้ก่อน
ว่านฮุ่ยชั่งน้ำหนักอยู่ในใจครู่หนึ่ง จากนั้นวิ่งไปทางหาเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษา เอ่ยอย่างเขินอาย “คุณเจ้าหน้าที่ ฉันมีบางอย่างจะบอกคุณค่ะ”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาพาหล่อนไปที่ห้องทำงานของเขา
ทันทีที่ว่านฮุ่ยเดินเข้าประตูไป หล่อนก็เห็นหลินม่ายนั่งอยู่เงียบ ๆ จู่ ๆ ก็รู้สึกไม่อาจเชิดหน้าชูคอได้
หล่อนรู้สึกอับอายที่เจอหลินม่าย ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิด แต่เป็นเพราะสวมรอยเธอแล้วยังต้องมาเจอเธอเข้าจัง ๆ อีก
หลินม่ายถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษา “นี่เป็นหลินม่ายอีกคนหรือคะ?”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาพยักหน้า
หลินม่ายชี้ไปที่ว่านฮุ่ย “หล่อนเป็นตัวปลอมค่ะ หล่อนเป็นนักเรียนมัธยมปลายปีที่หนึ่งโรงเรียนเรา ชื่อว่าว่านฮุ่ย”
ว่านฮุ่ยสั่นสะท้านตอนที่ถูกชี้หน้า
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาพยักหน้า จากนั้นก็พูดกับว่านฮุ่ย “ว่านฮุ่ยใช่ไหม เมื่อครู่นี้คุณมีเรื่องจะบอกผมไม่ใช่หรือ ว่ามาเถอะ”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาชี้ไปที่เก้าอี้ พยักเพยิดให้ว่านฮุ่ยนั่งลง
ว่านฮุ่ยมองหลินม่าย จากนั้นก็มองหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัย กระซิบกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาเบา ๆ “ฉันอยากคุยกับคุณตามลำพังค่ะ”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษานั่งลงที่เก้าอี้ของเขา ส่ายหน้าเบา ๆ “ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ผมจะคุยกับคุณได้ก็ต่อเมื่อมีบุคคลที่สามอยู่”
ว่านฮุ่ยตะลึงงัน
หล่อนอยากคุยกับเจ้าหน้าที่รับเข้าศึกษาตามลำพัง เพื่อขอให้เขาปล่อยหล่อนไป
แต่มีหลินม่ายอยู่ คำพูดพวกนี้ก็ยากที่จะเอ่ยออกมาได้
ถึงแม้หล่อนจะพูดออกมาดัง ๆ คนชั่วคนนั้นคงไม่ปล่อยให้หล่อนได้สมใจ
เห็นว่านฮุ่ยเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จาอะไร เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาก็รู้สึกหมดความอดทนเล็กน้อย “ในเมื่อคุณไม่อยากเล่าให้ผมฟัง ถ้าอย่างนั้นผมจะเรียกตำรวจมาสอบสวนคุณ”
ว่านฮุ่ยตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “ฉันพูดแล้ว ฉันพูดแล้ว ฉันจะพูดเดี๋ยวนี้~”
จากนั้นหล่อนก็เริ่มเล่าเรื่องราวอย่างขมขื่น
หล่อนบอกว่าตนเห็นบุรุษไปรษณีย์ที่กำลังจะส่งจดหมายตอบรับให้หลินม่ายจักรยานพัง ทำให้ไปส่งจดหมายต่อไม่ได้
หล่อนกลัวว่าหลินม่ายจะรอจดหมายตอบรับเข้าเรียนอยู่ที่บ้านไม่ไหว จึงอาสากับบุรุษไปรษณีย์ว่าจะไปส่งจดหมายตอบรับเข้าเรียนให้หลินม่ายเอง
นึกไม่ถึงว่าที่บ้านของหลินม่านจะไม่มีใครอยู่ หล่อนจึงนำจดหมายตอบรับเข้าเรียนกลับบ้าน
ตอนที่มองจดหมายตอบรับเข้าเรียนฉบับนั้น หล่อนก็เริ่มโลภมากขึ้นมา
ว่านฮุ่ยพูดจาอย่างลื่นไหล แต่ทันใดนั้นหลินม่ายก็ขัดขึ้น แล้วพูดกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษา “แจ้งความเถอะค่ะ คน ๆ นี้ไม่ได้พูดความจริง ให้ตำรวจสอบสวนดูซิว่าหล่อนจะกล้าโกหกไหม”
ว่านฮุ่ยตื่นกลัว รีบพูดทันที “ฉันจะบอกความจริงแล้ว ฉันจะบอกความจริงแล้ว”
จากนั้นหล่อนจึงยอมรับว่าตนไปที่ไปรษณีย์ด้วยจุดประสงค์อื่น แกล้งแสดงตัวว่าเป็นหลินม่าย แล้วขอจดหมายตอบรับเข้าเรียนของหลินม่ายมา
แผนแรกเริ่มเดิมทีของหล่อนคือเผาจดหมายตอบรับของหลินม่าย ให้เธอมารายงานตัวไม่ได้ ไม่ได้เข้าเรียน และต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกทีในปีหน้า
จากนั้นหล่อนก็โลภขึ้นมา อยากสวมรอยเป็นหลินม่ายและไปที่มหาวิทยาลัยชิงหวา ที่หล่อนอาจจะสอบไม่ผ่านไปทั้งชีวิตของหล่อน
หลินม่ายจงใจถาม “ฉันเป็นนักเรียนที่สอบเข้าได้เป็นอันดับหนึ่งในการสอบคัดเลือกเข้ามหาลัยปีนี้ เธอกล้าสวมรอยเป็นฉันได้ยังไง ไม่กลัวถูกจับได้หรือ?”
เธอถามว่านฮุ่ยแบบนี้ก็เพื่อยืนยันการคาดเดาของเธอ
ดูว่าหล่อนคงใช้ประโยชน์จากความจริงที่ว่าคงไม่มีใครกล้าสวมรอยเป็นนักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เป็นอันดับหนึ่ง จึงฉกฉวยประโยชน์จากช่องโหว่นี้
ว่านฮุ่ยพูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก “เป็นเพราะเธอได้ชื่อเสียงมาไว้ในมืออย่างง่ายดายยังไงล่ะ ใครจะเชื่อว่าจะมีคนกล้าสวมรอยเป็นนักเรียนที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย! เธอมีชื่อเสียงแล้วยังไง ถึงแม้เธอจะมีหน้าตาบนทีวี แต่ไม่ใช่ในฐานะนักเรียนที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งในการสอบเข้า เธอได้ลงหนังสือพิมพ์เพราะสอบเข้าได้อันดับหนึ่ง แต่ในหนังสือพิมพ์ไม่มีรูปของเธอ ในมหาลัยชิงหวาก็ไม่มีใครรู้จักเธอ ฉันก็แค่เปลี่ยนรูปในจดหมายตอบรับเข้าเรียนของเธอด้วยรูปของฉัน จากนั้นก็หาคนปลอมแปลงหนังสือรับรองและเอาเอกสารทะเบียนบ้านหรืออะไรบางอย่างของเธอมา แค่นี้ก็ผ่านง่าย ๆ แล้วไม่ใช่หรือ?”
หลินม่ายพยักหน้าอยู่ในใจ เป็นอย่างที่เธอคาดเดาไว้จริง ๆ
หลังจากได้ยินคำพูดของว่านฮุ่ย เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาก็เห็นภาพขึ้นมาในใจ
ตอนที่ว่านฮุ่ยมารายงานตัว นอกจากไม่นึกว่าจะมีใครกล้าสวมรอยเป็นนักศึกที่สอบเข้าได้เป็นอันดับหนึ่งแล้ว เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งคือว่านฮุ่ยหน้าตางั้น ๆ กระทั่งขี้เหร่อยู่หน่อย ๆ
ตามความคิดของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาก็คือ ถ้ามีความสามารถทางด้านวิชาการยอดเยี่ยม เป็นไปไม่ได้ที่หน้าตาสวยงาม หากหน้าตาสวยงามก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีผลการเรียนดี
อันที่จริง ตอนที่เขาเห็นหลินม่ายครั้งแรก เขายังสงสัยว่าเธอเป็นตัวปลอม
ไม่มีใครโชคดีขนาดนั้น ที่เกิดมาหน้าตาสวยขนาดนี้แถมยังมีความสามารถทางด้านวิชาการที่ยอดเยี่ยมอีก
โชคดีที่เขาไม่ปฏิบัติกับเธอด้วยอคติ มิฉะนั้นถ้ามองข้ามหลินม่ายไป เช่นนั้นคงแย่แล้ว
เห็นว่านฮุ่ยสารภาพความผิดของหล่อน แล้วคืนเงินที่ขโมยเพื่อนร่วมห้องมาทั้งหมดแล้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาก็อยากจะปล่อยหล่อนไป ให้เรื่องจบสิ้นตรงนี้
เขาไม่อยากทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ไม่เพียงแต่เขาจะถูกลงโทษแล้ว ยังไม่ดีต่อชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย
แน่นอนว่า เขากลัวถูกลงโทษเป็นเหตุผลสำคัญ
มหาวิทยาลัยชิงหวาไม่เคยผิดพลาดในการรับนักศึกษา ตอนนี้กลับเกิดความผิดพลาดขึ้นในความรับผิดชอบของเขา เขาย่อมอธิบายต่อผู้หลักผู้ใหญ่ได้ยาก
ดังนั้นหลังจากพูดคุยกับหลินม่าย และส่งว่านฮุ่ยกลับแล้ว เรื่องนี้ก็นับว่าจบแล้ว
แต่หลินม่ายไม่ยินยอม ยืนกรานที่จะส่งตัวว่านฮุ่ยให้ตำรวจ ให้หล่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ว่านฮุ่ยร้อนรน คุกเข่าลงกับพื้นอ้อนวอนขอให้หลินม่ายปล่อยหล่อนไป
หลินม่ายปฏิเสธอย่างเย็นชา “ถ้าฉันปล่อยเธอไปอีก เธอก็จะวางแผนคิดร้ายต่อฉันอีก ฉันไม่โง่ขนาดนั้น!”
ว่านฮุ่ยส่ายหัวด้วยความลนลาน “ฉันไม่ทำ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอีก!”
หลินม่ายเห็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาและหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยมองเธอด้วยสีหน้าแปลก ๆ ก็รู้ว่าพวกเขารู้สึกว่าเธอไร้มนุษยธรรมเกินไป
ว่านฮุ่ยน่าสงสารขนาดนี้ ทั้งคุกเข่าบนพื้นทั้งขอร้องอ้อนวอน แต่เธอกลับไม่ยอมปล่อยว่านฮุ่ยไป เธอช่างเลือดเย็นจริง ๆ!
กับคนบางคน เรื่องไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็ชอบตำหนิคนอื่นว่าทำเกินไป
แต่ถ้าเรื่องเกิดกับตัวเอง เกรงว่าจะเลือดเย็นกว่าเธออีก
หลินม่ายเหยียดหยัน “ถ้าคำพูดของเธอเชื่อได้ แม่หมูก็ปีนต้นไม้ได้แล้ว เธอเป็นคนที่ทำได้แม้กระทั่งแคะมุมห้องพี่สาวของตัวเอง ฉันจะเชื่อเธอได้ยังไง? นอกจากนี้เธอเป็นคนทำผิดกฎหมาย เธอก็ควรได้รับโทษตามกฎหมาย ไม่เช่นนั้นกฎหมายจะไม่กลายเป็นของประดับตกแต่งหรือ?”
ว่านฮุ่ยพูดไม่ออก
ด้วยคำพูดไม่กี่คำนี้ สุดท้ายหลินม่ายก็พลิกความประทับใจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาและหัวฝ่ายรักษาความปลอดภัยที่มีต่อเธอ
ไม่ใช่เพราะเธอไร้น้ำใจเกินไป แค่ว่านฮุ่ยพิษสงเยอะเกินไป เลวร้ายเกินไป และเสแสร้งเกินไป ใครก็เชื่อหล่อนไม่ได้และใจอ่อนกับหล่อนไม่ได้
ถึงเจ้าหน้าฝ่ายรับเข้าศึกษาจะประทับใจหลินม่ายมากกว่า แต่เธอก็ต้องเสียสละ ใครให้เธอเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชิงหวากัน?
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาพูดกับหลินม่าย “นักศึกษาหลินม่าย พวกเราออกไปคุยกันก่อน”
หลินม่ายตามเขาออกไปจากห้อง
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาบอกความลำบากใจของเขาให้หลินม่ายฟัง “ถ้าคุณยืนกรานที่จะส่งตัวว่านฮุ่ยให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม บทลงโทษของผมเป็นเรื่องเล็ก สิ่งสำคัญคือชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยจะเสียหาย คุณเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชิงหวาแล้ว ต้องรักษาชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย หลังคุณจบจากที่นี่แล้ว มหาวิทยาลัยชิงหวาจะเป็นสถาบันเดิมของคุณ คุณเข้าใจความหมายของสถาบันเดิมใช่ไหม?”
หลินม่ายเลิกคิ้ว “รู้สิคะ สถาบันเดิมก็เปรียบได้กับแม่ของเรา” ถ้าแม่ไม่ปกป้องลูก อีกทั้งยอมเสียประโยชน์ของลูก แม่แบบนี้ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง อีกอย่าง ฉันก็อยากจะแก้ไขสักหน่อย ฉันยังไม่ได้เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชิงหวาอย่างเป็นทางการ ตอนนี้ฉันไม่อยากเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชิงหวา เพราะฉันไม่อยากปล่อยว่านฮุ่ยไปค่ะ”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาคิดไม่ถึงว่าหลินม่ายจะเป็นคนบุ่มบ่ามแบบนี้ เธอหันหน้าหนีโดยไม่รีรอ ไม่อยากแม้กระทั่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชิงหวา
เขาอยากโต้แย้ง จึงจงใจข่มขู่ “คุณสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยของเรา และเราก็รับคุณเข้ามาแล้ว ถ้าคุณไม่เรียนที่มหาวิทยาลัยของเขา คุณจะต้องสอบเข้าอีกครั้ง เสียเวลาไปอีกหนึ่งปี คุณคิดว่ามันคุ้มแล้วหรือ?”
เห็นหลินม่ายไม่ตอบสนองใด ๆ เขาก็เริ่มโน้มน้าวอีก “ผมยอมรับว่าเรื่องว่านฮุ่ยสวมรอยมันทำให้คนโกรธจริง ๆ แต่มันก็ไม่ทำให้เกิดความเสียหายใด ๆ กับคุณนี่ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไป ทุกคนก็มีความสุขดีไม่ใช่หรือ? สิ้นปีผมจะให้ทุนทางมหาวิทยาลัยกับคุณเป็นการชดเชย คุณว่าดีหรือไม่?”
หลินม่ายหัวเราะออกมา “ฉันเป็นคนที่สอบเข้าได้ที่หนึ่ง จะหาทุนการศึกษาให้ตัวเองไม่ได้เลยหรือ? ฉันยังต้องให้มหาวิทยาลัยส่งเสริมอีกหรือ? ฉันไม่ต้องเรียนที่มหาวิทยาลัยของพวกคุณก็ยังได้ เรื่องนี้คงไม่ต้องพูดซ้ำนะ ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะหามหาวิทยาลัยดี ๆ มีคุณภาพที่เต็มใจรับนักเรียนที่สอบเข้าได้อันดับหนึ่งไม่ได้ คอยดูแล้วกัน”
พูดจบเธอก็กลับไปที่ห้อง จากนั้นเก็บเอกสารและใบรับรองทั้งหมดใส่กระเป๋าแล้วจากไป
ว่านฮุ่ยดีใจที่เห็นหลินม่ายแตกหักกับมหาวิทยาลัย
ไม่ใช่แค่หล่อนไม่ถูกส่งให้ตำรวจ แต่หลินม่ายยังไม่ได้เรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหวาแล้ว นับว่าเป็นโชคดีสองเด้งทีเดียว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แต่ผู้แปลไม่คิดอย่างนั้นนะยัยว่านฮุ่ย ผลการสอบม่ายจื่อคุณภาพออกขนาดนั้น ทางม. ต้องง้อให้กลับมาเรียนแล้วเปล่า?
ไหหม่า(海馬)