แซ่…แซ่ซูนี้เป็นคำที่อ่อนไหวเกินไปในอำเภอเฟ่ยจริงๆ เจ้าของภัตตาคารจูนั้นกลัวแล้ว!
“พวก…พวกเจ้า…” เจ้าของภัตตาคารจูทั้งตะลึง ทั้งหวาดกลัว จนเกือบจะปัสสาวะราดเพราะถูกทำให้ตกใจเหมือนใต้เท้านายอำเภอ!
ตอนนี้เขากลัวจนอยากจะร้องไห้แล้ว! เพราะเขาไม่กล้าจินตนาการเลยว่า หากคนกลุ่มนี้เป็นคนตระกูลซูจริงๆ…หรือว่าเป็นคนตระกูลซูสายหลักขึ้นมา จะเกิดผลลัพธ์เช่นใดกับเขา!
ซูชีเห็นท่าทางของเจ้าของภัตตาคารจู ก็รู้ว่าเขาจะต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน ตอนนี้เรื่องก็ใหญ่โตไม่น้อยแล้วเป้าหมายที่เขาต้องการก็บรรลุแล้วเช่นกัน!
สถานการณ์ใหญ่โตขนาดนี้ เขาไม่เชื่อว่าคนในตระกูลซูที่รับผิดชอบจัดการเรื่องราวทั้งหมดในเมืองเฟ่ยจะไม่โผล่หน้าออกมา!
“เรียกคนดูแลเรื่องต่างๆ ในอำเภอเฟ่ยมา ข้าอยากจะถามเขาว่า แผนการแข็งกร้าวเช่นนี้ รังแกคนอ่อน หวาดกลัวคนแข็งแกร่งนั้น เป็นผู้ใดในตระกูลซูของข้าเลือกออกมา!”
ตึง!
ซูชีกล่าวจบ เจ้าของภัตตาคารจูผู้นี้ไหนเลยจะมีสิ่งใดไม่เข้าใจอีก เขาตกใจกลัวจนวิญญาณหลุดออกจากร่าง รูปร่างใหญ่โตคุกเข่าลงกับพื้นทันที!
“คุณ…คุณชายไว้ชีวิตด้วย…ไว้ชีวิตด้วยขอรับ!”
การที่พวกเขากระทำการชั่วร้ายเช่นนี้ในอำเภอเฟ่ย หากไม่ได้รับการพยักหน้าเห็นด้วยจากเบื้องบน จะกำเริบเสิบสานถึงขนาดนี้ได้อย่างไร
แต่ตอนนี้คนตระกูลซูจากบ้านหลักมาแล้ว เช่นนั้นเบื้องบนก็ไม่อาจล่วงเกินเขาได้ คาดว่าคงต้องผลักพวกเขาที่เป็นบ่าวออกไป! ถึงตอนนั้น…ยังจะเป็นพวกเขาที่มีอำนาจตัดสินความเป็นความตายของตนเองอีกหรือ
เขาไม่วิงวอนตอนนี้ จะต้องรอให้เบื้องบนมาก่อน จากนั้นชีวิตตนเองก็รักษาเอาไว้ไม่ได้หรือ
ซูชีแค่นเสียงเย็น หันหน้าไปอีกทาง ไม่มองใบหน้าที่ทำให้คนเกิดอาการคลื่นเหียนอีก
แต่เห็นได้ชัดว่าท่านหญิงซูซูกลับสนใจเรื่องนี้มาก นางก้าวเดินไปจนถึงด้านหน้าเจ้าของภัตตาคารจูผู้นั้น แล้วย่อตัวลงไปเล็กน้อยด้วยท่าทางสุขใจและเริงร่าราวกับนี่เป็นอุทยานหลังจวนนาง โดยไม่สนใจว่าที่นี่คือภายในที่ว่าการอำเภอ!
“เฮ้! ทำไมกินอาหารที่ภัตตาคารของพวกเจ้าถึงได้แพงขนาดนี้ ข้า…แม้ว่าข้าจะกินอาหารในภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง อาหารมากมายขนาดนั้นก็แค่ห้าสิบตำลึงเท่านั้นเอง ทำไมในสถานที่เล็กๆ เช่นนี้กลับแพงขนาดนี้กัน”
วาจานี้ของซูซูนั้นกดดันเจ้าของภัตตาคารจูเข้าแล้ว!
วาจาของนางบอกกับเจ้าของภัตตาคารจูผู้นี้อย่างชัดเจนว่า พวกเขามาจากเมืองหลวง! ตัวเจ้าก็ไตร่ตรองให้ดีว่าตนเองจะยืนอยู่ฝ่ายใด!
ซูชีเลิกคิ้วเล็กน้อยต่อวาจาเช่นนี้ของซูซู เห็นได้ชัดว่าประหลาดใจมาก!
คิดไม่ถึงว่า คนที่ปกติกะล่อนหัวหมอ จะมีช่วงที่หัวดี มีไหวพริบด้วย! ทำให้เขาต้องมองนางใหม่!
ส่วนเจ้าของภัตตาคารจูย่อมได้ยินวาจานี้ของท่านหญิงซูซูอย่างชัดแจน และเข้าใจแจ่มแจ้ง!
ในใจพลันตะลึง!
เขาเดาไม่ผิดเลยจริงๆ คนกลุ่มนี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!
“ข้า…ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ คุณชายทุกท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย…ไว้ชีวิตด้วยขอรับ!”
แม้ว่าจะถึงตอนนี้ เจ้าของภัตตาคารจูก็ไม่กล้าเลือกอยู่ฝ่ายคนกลุ่มนี้!
มาจากเมืองหลวงแล้วอย่างไร สองปีก่อนก็มีคนกลุ่มหนึ่งมาจากเมืองหลวงเช่นกัน พวกเขามาในนามผู้สังเกตการณ์ สุดท้ายก็ไม่ได้ถูกคนของเบื้องบนปรนนิบัติจนอยู่หมัดหรอกหรือ หากไม่เช่นนั้น พวกเขาจะกล้าทำตัวยโสโอหังที่นี่ได้อย่างไร
ไม่ใช่อาศัยที่ว่ามีคนอยู่ที่เมืองหลวงหรอกหรือ
ซูชีเห็นว่าเจ้าของภัตตาคารจูยังไม่คงยอมเปิดปากในสถานการณ์ที่เอ่ยวาจาชัดเจนถึงเพียงนี้แล้ว ในใจก็รู้สึกผิดหวังต่อคนผู้นี้ยิ่ง!
“อย่ากล่าววาจาไร้สาระกับเขาอีกเลย มานี่เถอะ อีกครู่หนึ่งจะมีคนมา!”
ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ อีกทั้งเมื่อครู่ก็เกิดเรื่องขึ้นในที่ว่าการอำเภอ เขาไม่เชื่อว่าจะไม่มีคนไปรายงานให้กับเบื้องบนคนนั้น!
ตอนนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องถามอะไรลิ่วล้อพวกนี้ เพียงแค่รอให้เจ้าของเรื่องคนนั้นมาก็พอแล้ว เช่นนั้นเรื่องทั้งหมดก็จะถูกคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย!
เวลาค่อยๆ ผ่านไปในขณะที่รอคอยด้วยความเงียบงัน
ตอนนี้คนที่มุงดูอยู่หน้าประตูที่ว่าการอำเภอก็ล้วนเข้าใจแล้วว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่!
รู้สึกได้ว่าคุณชายหลายท่านนี้ก็เป็นคนตระกูลซูเหมือนกัน! แต่กลับไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด คนที่ทำงานให้กับกิจการตระกูลซูจึงจำไม่ได้ ถึงขั้นที่เห็นคนกลุ่มนี้เป็นคนโง่ หลอกพวกเขาอย่างหนัก! ทำให้คนพวกนี้โมโห สุดท้ายก็ทะเลาะกันจนกลายเป็นเช่นนี้!
ตอนนี้ลองย้อนกลับไปคิดเรื่องนี้ดูแล้ว ทุกคนล้วนคึกคักมากขึ้น!
ไม่รู้จริงๆ ว่าสุดท้ายใครจะเป็นผู้เสียเปรียบในเรื่องนี้กันแน่!
ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนมาจากข้างนอก “ถอยไป! ถอยไป!”
ชาวบ้านทุกคนถอยเปิดทาง ก็เห็นบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมองครักษ์ กำลังเดินมาตรงหน้าพวกซูชี!
ตั้งแต่ซูชีได้ยินเสียง ก็เบนสายตาไปจ้องที่ร่างคนผู้นั้น
เขาอยากจะเห็นว่า คนที่กล้าทำลายชื่อเสียงตระกูลให้ย่อยยับในอำเภอเฟ่ยเป็นใครกันแน่!
แต่หลังจากได้พบคนผู้นี้ ซูชีก็ตกตะลึงเล็กน้อย!
ไม่ได้เพราะเหตุใด แต่เป็นเพราะ เขารู้จักคนผู้นี้!
“ที่แท้ก็เป็นน้องชายจากตระกูลฝ่ายมารดาของชิวอี๋เหนียงนี่เอง ท่าทางโอ้อวดเสียจริง!”
ซูชีมองแค่แวบเดียว ก็เบนสายตาจากไป
หากเอ่ยถึงคนที่เขาซูชีรังเกียจมากที่สุดในจวนซูว่าเป็นใคร นั่นต้องเป็นชิวอี๋เหนียง สตรีปากหวานก้นเปรี้ยวผู้นั้นแน่นอน หลายปีก่อนหน้านี้ ในเมืองหลวงลือกันว่าเขาเผาเส้นผมอี๋เหนียงไม่ใช่หรือ ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ? ก็คือชิวอี๋เหนียงไงเล่า!
เขาไม่ถูกกับชิวอี๋เหนียง เช่นนั้นย่อมไม่ถูกกับคนจากตระกูลฝ่ายมารดาของชิวอี๋เหนียงด้วยเช่นกัน! เมื่อมองไปยังน้องชายของนางตรงหน้าคนนี้แล้ว ย่อมชักสีหน้าใส่เป็นธรรมดา!
ส่วนน้าชายผู้นี้ เสี้ยววินาทีที่เห็นซูชี ความเกลียดชังก็ปกคลุมทั่วแววตาทันที! แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมานาน สีหน้าท่าทางอะไรย่อมเสแสร้งได้อย่างเป็นธรรมชาติ!
ดังนั้นความเกลียดชังของคนผู้นี้จึงถูกปล่อยออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ถูกเก็บงำเอาไว้ แล้วยิ้มบางๆ ให้ซูชีประดุจได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดี
“ที่แท้ก็เป็นคุณชายเจ็ด ไม่รู้จริงๆ ว่าคุณชายเจ็ดมาเยือน จึงเสียมารยาทที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับ อภัยให้ด้วยๆ!”
คนผู้นี้มานามว่าซินซื่อชิว พี่สาวของเขา ซินอวี้ชิวเป็นอี๋เหนียงของหัวหน้าตระกูลซูรุ่นก่อน ซึ่งเป็นบิดาของซูชี เดิมมีฐานะเป็นน้าชาย แต่เพราะพี่สาวมีฐานะเป็นแค่อี๋เหนียง ดังนั้นตำแหน่งของเขาจึงค่อนข้างกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
ยิ่งกว่านั้นซูชีนั้นเป็นคุณชายที่สายตรงที่เกิดจากภรรยาเอกอย่างถูกหลักทำนองคลองธรรม ฐานะอันน่ากระอักกระอ่วนเช่นนี้ของเขา แม้ว่าจะอายุมากกว่า แต่กลับไม่สะดวกที่จะเรียกชื่อซูชีตรงๆ และเรียกได้เพียงแค่ “คุณชายเจ็ด!”
แต่เขากลับกัดฟันด้วยความโมโห!
ในปีนั้น ไอ้เด็กที่บิดามารดาไม่สั่งสอนผู้นี้จุดไฟเผาเรือนผมพี่สาวจนหมด ทำให้พี่สาวกลายเป็นตัวตลกที่ถูกผู้คนในเมืองหลวงหัวเราะเยาะ ย่อมทำให้พวกเขาซึ่งเป็นคนในครอบครัวเดียวกับนางได้รับความอับอายไปได้!
พวกเขาทั้งครอบครัว ไม่ใช่แค่เขาล้วนแทบอยากให้ซีชีตายๆ ไปเสียที!
สิบปีก่อนพวกเขาถูกหัวหน้าตระกูลซู และยังมีพี่สาวส่งมายังอำเภอเฟ่ยเพื่อหลบหนีสถานการณ์ในตอนนั้นลับๆ และเริ่มใช้ชีวิตในตำแหน่งฐานะที่อยู่เหนือผู้คนที่นี่!