จะคำทำนายก็ดี คำตำหนิก็ดี สุดท้ายแล้วทุกอย่างขึ้นอยู่กับการแข่งขันเป็นหลัก
วันต่อมา
หลินเยวียนนั่งอยู่ในรถของกู้ตง ตรงไปยังศูนย์ดนตรีกลางเพื่อบันทึกเทปรายการราชาหน้ากากนักร้องในสัปดาห์ที่สาม
ขณะขับรถ
กู้ตงกำลังโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง “บางคนทำเกินไปแล้ว ไม่คุ้มกับที่ตัวแทนจะต้องมาโมโหคนเหล่านี้หรอกค่ะ”
หลินเยวียน “…”
เห็นชัดๆ ว่าคนที่โมโหคือกู้ตง
หลินเยวียนไม่ได้อนาทรร้อนใจเลย
ประเด็นถกเถียงบนโลกออนไลน์หลินเยวียนเองก็ได้อ่าน เขายังคงกดไลก์โดยใช้รูปแบบผู้เยือนเว็บไซต์ มีบางคอมเมนต์เป็นกลางมากทีเดียว
ใช่แล้ว
ทักษะการร้องเพลงของตนถ้าไม่ได้พัฒนาขึ้น จะอยู่ในการแข่งขันได้ไม่นาน ไม่ว่าไพ่เด็ดของเขามีมากแค่ไหน ก็ไม่อาจกลบจุดด้อยด้านทักษะการร้องเพลงได้
แต่บางความเห็นก็ไม่ถูกต้อง!
ยกตัวอย่างเช่นสิ่งที่เหลิ่งเฉวียนพูดในไลฟ์สด หลินเยวียนไม่เชื่อในความเป็นมืออาชีพของอีกฝ่าย ในสัปดาห์ที่สามไม่มีอะไรฟังขึ้นเลยสักอย่าง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องเสแสร้งด้วย
หลินเยวียนไม่ได้เก่งปานนั้นก็จริง แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดนั้น ต่อให้ไม่มีกล่องสมบัติทองคำซึ่งยกระดับความสามารถในการร้องเพลง หลินเยวียนก็สามารถรับมือกับการแข่งขันในสัปดาห์ที่สามได้โดยไม่ตกรอบ
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่เพลงที่ยอดเยี่ยมทุกเพลงจะต้องใช้ทักษะในการร้องเพลงที่สูงสักหน่อย ความสามารถในการร้องเพลงระดับนักร้องแถวสองก็เพียงพอแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น…
และบางครั้งในการร้องเพลง อันที่จริงความรู้สึกก็สำคัญกว่าความสามารถในการร้องเพลง ถ้าหากมีเพียงทักษะในการร้องเพลง แล้วจะต่างอะไรกับเครื่องจักรกลสำหรับร้องเพลงล่ะ?
สรุปว่าหลินเยวียนตัดสินใจแล้ว!
ในสัปดาห์นี้ ต้องเปลี่ยนภาพจำที่คนบางกลุ่มมีต่อตนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอย่างสิ้นเชิง!
เมื่อคิดเช่นนี้
รถมาถึงสถานที่ถ่ายรายการ
เมื่อหลินเยวียนลงจากรถโดยสวมหน้ากาก ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังลั่นจากรอบตัวเขา เสียงดังกว่าเมื่อสัปดาห์แรก แม้แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยังตกใจจนสะดุ้งโหยง!
“หลานหลิงอ๋อง!”
“หลานหลิงอ๋องสู้ๆ!”
“หลานหลิงอ๋องฉันเชียร์คุณเสมอนะ วันนี้ก็จะเชียร์คุณ!”
“หลานหลินอ๋องคุณเก่งมาก!”
“ฉันรักคุณ หลานหลิงอ๋อง!”
“อย่าไปฟังที่คนพูดในอินเทอร์เน็ตนะ คุณร้องเพลงให้ดีก็พอแล้ว เพลงเด็กชายดีมาก ผมช่วยดาวน์โหลดแล้ว!”
“หลานหลิงอ๋อง ฉันช่วยคุณสู้กับคนในเน็ตทั้งคืน!”
“ผมมาจากเมืองหยางเพื่อเชียร์คุณเลยนะ!”
“…”
ฝีเท้าของหลินเยวียนชะงักไปเล็กน้อย
เขามองไปยังใบหน้าซึ่งล้อมอยู่ด้านนอก จู่ๆ ก็พลันเกิดความรู้สึกประหลาดซึ่งไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเคยอ่านคอมเมนต์ในอินเทอร์เน็ตมา หลินเยวียนคงนึกสงสัยว่าเขาได้รับการสนับสนุนมากมายเช่นนี้ก็เพราะเขาคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันเวทีก่อน
‘เหมือนว่าฉันจะมองข้ามอะไรบางอย่าง’
ความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นในสมองของหลินเยวียนทันใด
เมื่อคืน
ขณะที่อ่านคอมเมนต์บนอินเทอร์เน็ต เห็นชัดๆ ว่าเขาไม่ได้โกรธ ถึงขั้นที่กดไลก์อย่างสบายใจเฉิบด้วยซ้ำไป…
อ่อนโยนมาก!
มีเหตุผลมาก!
เยือกเย็นมาก!
แต่ในขณะนี้ เมื่อได้ยินเสียงเชียร์ จู่ๆ เขาก็พลันรู้สึกว่าเศษเสี้ยวความรู้สึกชิ้นเล็กๆ ในอกของเขากำลังหลอมรวมและเพิ่มขึ้น
อธิบายไม่ถูก บรรยายไม่ได้
คำพูดมากมายติดอยู่ในอก
มองดูใบหน้าโดยรอบซึ่งเยือกเย็น หรือกระตือรือร้น หรือเรียบเฉย หรือยิ้มแย้ม ในที่สุดเขาก็รู้ว่าตนมองข้ามอะไรไป
จู่ๆ เขาก็ฉุกคิดขึ้นได้…
เมื่อคืน ท่ามกลางหลายคนที่ติเตียนเขา อันที่จริงยังมีเสียงอันแผ่วเบาอีกส่วนหนึ่งซึ่งพยายามดิ้นรนต่อสู้
จู่ๆ เขาก็ฉุกคิดขึ้นได้
เมื่อคืน หลังจากไลฟ์สดของเหลิ่งเฉวียนจบลง มีคนคอมเมนต์ในพื้นที่แสดงความคิดเห็นของเพลงเด็กชายว่า
‘ถ้าคุณยังร้องต่อ ฉันก็จะฟังต่อ…ไม่ว่าคุณจะร้องอยู่ที่ไหน’
จู่ๆ เขาก็ฉุกคิดขึ้นได้…
เมื่อคืน ในกระทู้เกี่ยวกับดนตรี มีคนรีโพสต์และแชร์เพลงเด็กชาย ราวกับพยายามอย่างหนักเพื่อบอกให้ผู้คนรับรู้มากขึ้นว่าเพลงนี้ควรค่าแก่การฟังซ้ำ
แม้ว่าความพยายามดังกล่าวจะค่อนข้างไร้ประโยชน์ ถึงขั้นน่าขันด้วยซ้ำไป
แม้ว่าคอมเมนต์ด้านล่างจะไม่ค่อยรื่นหู
ผู้โพสต์ยังคงโต้เถียงอย่างดื้อรั้น
ในเวลานั้นหลินเยวียนรู้สึกเพียงว่าเขาสบายใจเหลือเกิน ที่ยังมีคนรับรู้ได้ถึงความจริงใจของเขา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
แต่นั่นคือทั้งหมดที่มี
อย่างไรก็ตาม เมื่อมาลองคิดดูในตอนนี้ การสนับสนุนอันอ่อนแรงนี้ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ที่แท้เรื่องที่ตนไม่ได้ใส่ใจ ก็มีคนที่ใส่ใจมากขนาดนี้…
ที่แท้เรื่องที่ตนไม่ได้โกรธ ก็มีคนโกรธแทน…
ที่แท้สำหรับบางคนแล้ว ฉันสำคัญถึงขนาดนี้เชียว…
“อาจารย์หลานหลิงอ๋อง”
ถงถงเข้ามาต้อนรับ พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมไม่เข้าไปล่ะคะ”
หลินเยวียนไม่พูด เพียงแต่หันหลังกลับไปโค้งให้กลุ่มคนรอบนอกเหล่านั้น
การร้องเพลงคืออะไร
คือฉันอยากร้องเพลง เลยร้องออกมา?
แต่เมื่อสักคนหนึ่งหรือสักกลุ่มหนึ่งสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนี้ ฉันยังคงสู้โดยลำพังอยู่อีกหรือ?
ดวงอาทิตย์ดูเหมือนจะส่องแสงเจิดจ้ากว่าเดิม
แผ่นหลังของเขา ค่อยๆ เลือนหายไปท่ามกลางสายตาของผู้คน
……
หลินเยวียนก้าวไปข้างหน้าโดยไม่พูดจา
ถงถงมองหลานหลิงอ๋อง ในแววตาระคนความวิตกกังวล
เธอสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายคล้ายว่าจะเงียบขรึมกว่าสองสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เธอก็แอบรู้สึกว่าวันนี้อีกฝ่ายราวกับเป็นเปลวไฟซึ่งกำลังค่อยๆ ลุกไหม้
ย้อนแย้งกันเหลือเกิน
เธอกัดริมฝีปาก
ไม่รู้ว่าควรปลอบใจอย่างไรดี
เห็นทีหลานหลิงอ๋องคงได้รับผลกระทบจากข้อความบนอินเทอร์เน็ต
ฝึกซ้อม…
รอคอย…
ตั้งแต่ต้นจนจบ หลานหลิงอ๋องไม่ได้พูดแม้แต่ประโยคเดียว เงียบจนน่ากลัว
หลังจากนั้นเป็นการจับสลาก
หลานหลิงอ๋องยังคงไม่พูด เพียงแต่ส่ายหน้า
ถงถงเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย จึงเอื้อมมือเข้าไปในกล่องแล้วหยิบลูกบอลออกมา
“อาจารย์หลานหลิงอ๋อง”
ถงถงยิ้มขื่น และแสดงลำดับการแสดงให้เห็น
ลูกบอลหมายเลข 1!
วันนี้ หลานหลิงอ๋องเปิดเวที!
หลานหลิงอ๋องพยักหน้า เอนกายบนโซฟา ความรู้สึกของเขายังคงสั่งสม และค่อยๆ พรั่งพรูออกมาทีละน้อย
เปิดเวที!
เปิดเวทีเลยเหรอ!
ทั้งที่อยู่ภายใต้ความกดดันอย่างใหญ่หลวงแท้ๆ แต่กลับต้องขึ้นแสดงเปิดเวที รองรับสารพัดอารมณ์ของผู้ชม และผู้ชมคงนึกถึงคอมเมนต์บนอินเทอร์เน็ตทันทีที่เห็นเขา ถึงขั้นที่อาจฟังเพลงท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบด้วยซ้ำไป…
การจับสลากครั้งนี้เฮงซวยจริงๆ
อันที่จริงการแพ้ชนะของหลานหลิงอ๋องไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับถงถง
หลังจากหลานหลิงอ๋องตกรอบไป จะมีนักร้องคนใหม่ปรากฏตัว
ถงถงยังคงตามดูแลนักร้องคนใหม่ในฐานะผู้จัดการอยู่ที่นี่ต่อไป
แต่พูดตามตรง
ถงถงชอบอยู่กับหลานหลิงอ๋อง
ถึงแม้หลานหลิงอ๋องจะพูดจาตามใจตัวเองไปบ้าง แต่อันที่จริงในใจของถงถงก็รู้ว่า คำพูดของอีกฝ่ายมีเหตุผล
บนอินเทอร์เน็ต มีคนบอกว่าหลานหลิงอ๋องปากเสียก็เพื่อเรียกกระแส
แต่ถงถงกลับไม่ยักสัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายของหลานหลิงอ๋องเลยสักนิด
เมื่อหลานหลิงอ๋องเอ่ยถึงหยวนซี สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำพูดซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกเสแสร้ง คงจะเป็นความเสียดาย
เมื่อหลานหลิงอ๋องวิจารณ์ สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำพูดซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกเสแสร้ง คงจะเป็นความจนใจ
วันนี้หลานหลิงอ๋องจะตกรอบหรือไม่?
ถงถงไม่รู้ แต่เธอแอบได้ยินความเคลื่อนไหวหนึ่งมา
การแสดงของนักร้องซึ่งมาเสริมนั้นดีมาก…
บนหน้าจอโทรทัศน์
ม่านบนเวทีเปิดออกแล้ว
พิธีกรกำลังพูดอยู่บนเวที
ขณะนั้นเอง
เสียงประกาศดังขึ้นในลำโพง “หลานหลิงอ๋อง นักร้องซึ่งขึ้นเวทีเป็นลำดับที่หนึ่งโปรดเตรียมตัว”
เปิดเวทีเลยนะ…
ใบหน้าของหลินเยวียนภายใต้หน้ากากมองไม่เห็นอารมณ์ เขาหยัดกายลุกขึ้นอย่างเข้มแข็ง เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับถงถงก่อนจะก้าวขึ้นบนเวที
“อาจารย์หลานหลิงอ๋อง…”
ถงถงมองไปยังหลินเยวียน ในแววตาอัดแน่นไปด้วยความกังวล
“ไม่ต้องเป็นห่วง”
หลินเยวียนเอ่ย ในน้ำเสียงเจือปนการหยอกล้อ
ถงถงอึ้งไป นี่คือประโยคแรกของวันนี้ที่หลานหลิงอ๋องพูดกับเธอ ขณะเดียวกันก็เป็นครั้งแรกที่เธอสัมผัสได้ถึงอารมณ์ในคำพูดของอีกฝ่าย เหมือนว่าคุณกำลังปลอบฉันอยู่? ควรจะเป็นฉันที่ปลอบคุณไม่ใช่หรือ?
และในขณะนั้น
หลินเยวียนเดินขึ้นไปยืนกลางเวทีแล้ว ไม่มีใครเห็นว่ารอยยิ้มภายใต้หน้ากากของเขาหายไปแล้ว!
ด้านล่างเวที
สายตาของผู้ชมไปรวมกันบนร่างของเขาเช่นเดียวกับแสงสปอตไลต์ ตามมาด้วยเสียงพูดต่างๆ นานา
“คนแรกมาก็หลานหลิงอ๋องเลยเหรอ?”
“เสียงชายหญิงอีกแล้วสิท่า?”
“เพราะดีออก”
“แต่ฟังบ่อยครั้งเข้าแล้วรู้สึกว่าไม่น่าสนใจ”
“ลูกเล่นเดิมๆ ทั้งนั้น”
“คนคนนี้เรียกกระแสเก่ง”
“พวกคุณอย่าพูดแบบนี้สิ ผมชอบหลานหลิงอ๋องมาก”
“ฉันก็ชอบ เขาพูดจามีเหตุผลดีนะ เพียงแต่บุคลิกของเขาค่อนข้างพิเศษ เลยมีคนไม่ชอบฟัง”
“ต่อให้เขาตกรอบผมก็ยังสนับสนุน”
“พวกคุณชอบเขา แค่เพราะการแสดงเวทีแรกของเขาดีก็เท่านั้นแหละ”
“…”
แถวหน้าของบรรดาคณะกรรมการประเมิน กล้องจับไปยังใบหน้าของเหลิ่งเฉวียน เขาเป็นกรรมการประเมินในสัปดาห์ที่สามอย่างที่พูดไว้จริงๆ
เหลิ่งเฉวียนถึงขั้นยิ้มแฉ่งให้กล้อง
ทว่าสีหน้าของคณะกรรมการตัดสินทั้งสี่กลับยังคงเคร่งขรึม แววตาของพวกเขาคล้ายกับมีความกังวลแฝงอยู่
หอประชุมขนาดห้าร้อยที่นั่งเต็มไปด้วยผู้คนจากทุกสาขาอาชีพ
ทันใดนั้นเอง
เสียงกลองก็ดังขึ้นอย่างหนักหน่วง แสงบนเวทีกลายเป็นสีน้ำเงินสด แสงและเงาบนเวทีประหนึ่งเปี่ยมด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า!
ตึงๆ!
ตึงๆ!
ตึงๆ!
ด้านหน้ากลองขนาดใหญ่ มือกลองโบกสะบัดไม้กลองอย่างห้าวหาญ ลงจังหวะหนักหน่วงและทรงพลัง
จากนั้นเสียงกลองหยุดลงเล็กน้อย
เสียงของผีผาแทรกเข้ามา!
ใจกลางเวที
จู่ๆ หลินเยวียนก็กระชับไมโครโฟนในมืออย่างแรง แม้แต่ข้อนิ้วของเขาก็ยังปรากฏสีขาวชัด ภายใต้ระยะซูมของกล้อง!
ขณะเดียวกันนั้นเอง
เสียงของเขาดังขึ้น ประหนึ่งกระสุนปืนใหญ่ระเบิดจากลำกล้อง!
“ผืนน้ำเย้ยเยาะ!”
“เกลียวคลื่นสาดสองฝั่ง!”
“ลอยตามแรงคลื่น จดจำเพียงวันนี้!”
ราวกับมีความรู้สึกบางอย่างกำลังบีบคั้นอยู่ด้านหลัง ทุกคนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกชาวาบ ขนลุกซู่ไปทั่วทั้งร่าง!
ราวกับกล้องหมุนไปอย่างเร่งร้อน
สิ่งที่หลินเยวียนเห็นและได้ยินที่หน้าประตูผุดขึ้นในห้วงสำนึกของหลินเยวียนอย่างรวดเร็ว
ความห้าวหาญในเสียงแหบขยายใหญ่ขึ้น ประหนึ่งพลุซึ่งระเบิดออกอย่างเต็มที่ อารมณ์ของเขาซึ่งเดือดพล่านมาระยะหนึ่งถูกระเบิดออกเต็มแรง
“ผืนฟ้าเย้ยเยาะ!”
“คลื่นมนุษย์โหมคลั่ง!”
“ใครชนะใครแพ้มีแต่สวรรค์รู้!”
เสียงกลองสั่นสะเทือนถึงจิตใจของทุกคน เสียงผีผาแตะถึงประสาทสัมผัสของทุกคน และเสียงร้องกระทบถึงโสตประสาทของทุกคน
มังกรและพยัคฆ์ร้องคำรามฉับพลัน
อัสนีบาตดังกัมปนาทท่ามกลางความเงียบสงัด!!!
………………………………………………………..