ภายในชั่วพริบตา สายตาของเสนาบดีทุกคนที่อยู่ในห้องก็หันไปจับจ้องอยู่ที่ประตูท้องพระโรงซึ่งถูกเปิดออก สิ่งที่เข้ามาในครรลองสายตาของพวกเขาคือร่างเพรียวบางของหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา เสื้อคลุมสีขาวทำจากขนสุนัขจิ้งจอกปักดอกไม้ที่ชายเสื้อคลุมอยู่บนไหล่เล็กๆ ของนาง ใบหน้างดงามจิ้มลิ้มนั้นมีขนาดเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือ และยังดูคล้ายกับต้นอ่อนของดอกยี่หุบที่กำลังรอวันเบ่งบาน บรรยากาศบริสุทธิ์ไร้ซึ่งมลทินปกคลุมอยู่รอบตัวนาง ความงามอันเจิดจรัสและมีชีวิตชีวาของนางเปล่งประกายไปทั่วห้อง
นางเป็นผู้หญิงแบบที่ผู้ชายทุกคนจะต้องตกหลุมรัก
ธรรมชาติของผู้ชายอาจจะอยู่ในสายเลือดของพวกเขา ผู้หญิงที่พวกเขาเห็นว่าน่าดึงดูดจึงล้วนแต่เป็นประเภทพูดน้อย อ่อนแอ และดูเปราะบาง
“อวี้เอ๋อร์ขอคารวะองค์ชายสาม” สิ่งที่อยู่ในทุกอากัปกิริยาของหญิงสาวคือความสง่างามน่าดึงดูด มันนุ่มนวลและเป็นไปตามแบบแผน
ผู้คนจำนวนไม่น้อยถูกรูปโฉมของนางสะกดเอาไว้ หลังจากได้ยินนางพูด พวกเขาก็สูดหายใจเข้าอย่างแรงด้วยความตกตะลึง คำพูดของนางเป็นราวกับท่วงทำนองแสนไพเราะ มันเหมือนกับเสียงฝนพรำที่ลอยเข้ามาในหูของพวกเขา
เวลานี้เหล่าเสนาบดีเริ่มพูดกระซิบกระซาบกันเอง แม้กระทั่งบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากทั้งสองเมืองก็ยังจ้องมองไปที่ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์อย่างไม่วางตา ทุกคนล้วนแต่ถูกความงามชวนตะลึงของนางดึงดูดเอาไว้ทั้งสิ้น
รอยยิ้มเหยียดกว้างอยู่บนใบหน้าของซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ขณะที่นางก้มหน้าลงด้วยท่าทางเขินอาย สายตาของนางยังคงไม่ละออกจากร่างสูงและแข็งแกร่งที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุด
ใต้เท้าเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความมหัศจรรย์ใจพลางพยักหน้า ”ได้เห็นเองกับตาย่อมดีกว่าที่ได้ฟังมาเป็นร้อยเท่า องค์หญิงอวี้เอ๋อร์ ความสวยและสง่างามราวเทพธิดาของท่านนับว่าเป็นหนึ่งไม่มีสองอย่างแท้จริง”
“ท่านก็ชมเกินไป” ผู้อาวุโสซวีอู๋ยืนอยู่หน้าซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์พลางใช้มือเหี่ยวย่นลูบเคราตัวเอง
เสนาบดีคนอื่นๆ เริ่มกลับมาตั้งสติได้ก็ในตอนนั้นนั่นเอง เมื่อเห็นว่าบรรยากาศกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาก็เริ่มคาดเดากันว่าจากมุมมองของผู้ชายอย่างเขา องค์ชายสามจะกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
องค์ชายสามเองก็แต่งงานมาได้ระยะหนึ่งแล้วเสียด้วย
แม้ว่าพระชายาสามจะไม่เลวนัก แต่บางครั้งนางก็ยังเป็นคนหัวแข็งและดูดุดัน หลังจากเจอผู้หญิงประเภทนี้มากเกินไป เขาย่อมต้องการหญิงสาวที่อ่อนโยนและเป็นมิตรมากกว่านางอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
องค์หญิงเซวียนหยวนคนนี้ไม่ใช่แค่มีใบหน้างดงาม แต่รูปร่างของนางก็จัดว่าดีทีเดียว เมื่อประกอบกับท่าทางขี้อายราวกับเด็กสาววัยแรกรุ่นนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่นางจะสามารถทำให้ชายทุกคนหลงใหลในความงามอันแสนเย้ายวนของตัวเองได้
ดวงตาของหนึ่งในเหล่าเสนาบดีเป็นประกายทันทีที่เขาคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาถอนหายใจออกมา แล้วจึงเอ่ยว่า ”องค์ชายทรงรับใช้บ้านเมืองและประชาชนด้วยความทุ่มเทเสมอมา ส่วนองค์หญิงก็ดูอ่อนโยนและมีน้ำใจยิ่งนัก พวกเขาช่างเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก!”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้นใบหน้าของซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ก็แดงก่ำกลายเป็นสีกุหลาบ นางยังคงเงียบ และมีท่าทางเขินอายเหมือนเด็กสาววัยเรียนเวลาอยู่ต่อหน้าคนที่ตัวเองแอบชอบ
เจ้าเจ็ดหันไปมองทางซ้ายทีขวาทีทั้งที่ยังมีขนมอยู่เต็มปาก แต่เขาก็ต้องประหลาดใจเพราะสีหน้าของพี่สะใภ้สามกลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิดเดียว รอยยิ้มเกียจคร้านแต่แฝงไปด้วยความซุกซนยังคงค้างอยู่บนใบหน้าของนาง
เด็กชายตัวน้อยรู้สึกว่าตอนนี้เขาต้องพูดอะไรสักอย่าง ถ้าเขาไม่พูด แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าตาแก่พวกนั้นบังคับให้ผู้หญิงคนนั้นแต่งงานเข้ามาในตระกูลของเขาจริงๆ
“พี่สะใภ้สามขอรับ” เด็กชายตัวน้อยกระตุกแขนเสื้อของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า ”เราควรลงมือหรือไม่ขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเปลี่ยนไปเท้าคางด้วยมืออีกข้าง รอยยิ้มกว้างค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง ”ลงมือทำอะไรหรือ ข้าออกจะเป็นคนมีอารยธรรม”
ใต้เท้าเฉินไม่ได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคุยกัน แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีความวุ่นวายอันใดเกิดขึ้น เขาก็คลี่ยิ้มออกมาแล้วเล่นละครราวกับว่าตัวเองเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของอีกฝ่ายต่อ ”ทั้งสองช่างเหมาะสมกันเสียจริง! หากการเชื่อมสัมพันธ์ครั้งนี้สำเร็จคงยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
ผู้อาวุโสซวีอู๋ยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไร
แต่ทันใดนั้นซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ก็กระตุกแขนเสื้อของเขาเบาๆ พร้อมกับใช้สายตาของตัวเองบุ้ยใบ้ไปทางที่นั่งที่อยู่สูงขึ้นไป
ข้อความของนางส่งไปถึงอีกฝ่ายได้สำเร็จ จากนั้นผู้อาวุโสซวีอู๋ก็มองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย ”เรื่องนี้จะสำเร็จได้หรือไม่นั้นย่อมขึ้นอยู่กับว่าพระชายาสามมีวิจารณญาณเพียงพอหรือไม่”
“หืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกับเด็กชายตัวน้อยอยู่ในตอนที่ชื่อของนางถูกเอ่ยถึง นางค่อยๆ เลิกคิ้วข้างหนึ่งใส่พวกเขา
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ไม่อยากให้สถานการณ์กระอักกระอ่วนเกินไป นางรู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนพิเศษในหัวใจของคนคนนั้น ดังนั้นนางจึงกระตุกแขนเสื้อของผู้อาวุโสซวีอู๋อีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นว่า ”พี่สาว ผ่านมาห้าปีแล้วสินะเจ้าคะ อวี้เอ๋อร์คิดว่าท่านจะแต่งเข้าจวนอ๋องมู่หรงเสียอีก ไม่คิดเลยว่าท่านจะเข้าวังหลวง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ขมวดคิ้วบางเข้าหากัน องค์หญิงเซวียนหยวนผู้นี้หมายความว่าพวกนางเคยรู้จักกันมาก่อนหรือ
แต่นางไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเด็กสาวคนอื่นแม้แต่นิดเดียว
เป็นไปได้หรือไม่ว่าซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์จะบังเอิญได้เจอกับเฮ่อเหลียนเวยเวยตัวจริงตอนที่นางกำลังตามหาเศษชิ้นส่วนวิญญาณอยู่
“พี่สาวน่าจะรู้ว่าอวี้เอ๋อร์ชื่นชมองค์ชายมาตั้งแต่ยังเด็ก แม้จะผ่านมานานหลายปี แต่ความรู้สึกนั้นก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงเจ้าค่ะ” ขณะพูด สองแก้มของซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ก็เริ่มแดงระเรื่อ มันยิ่งทำให้นางดูไร้เดียงสาและขี้อายขึ้นอีก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็อดรู้สึกอิจฉาขึ้นมาไม่ได้ พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะกล้าพอที่จะสารภาพรักออกมาต่อหน้าคนอื่น ชาติก่อนองค์ชายสามคงเคยกู้จักรวาลเอาไว้ เขาถึงได้รับพรเช่นนี้ไป!
“ข้าหวังเพียงว่าพี่หญิงจะช่วยทำให้ความปรารถนาของข้าเป็นจริงเจ้าค่ะ” ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์กัดริมฝีปากบางของตัวเองพร้อมกับเผยสีหน้าน่าสงสารออกมา
สีหน้านั้นทำให้หัวใจของคนที่อยู่รอบๆ หลอมละลาย
“พระชายาสาม ทำไมท่านถึงไม่ตอบตกลงกับองค์หญิงอวี้เอ๋อร์ล่ะพ่ะย่ะค่ะ” ทูตจากเมืองหวงจื่อเพิ่งถูกเฮ่อเหลียนเวยเวยทำให้อับอายไปเมื่อครู่ ดังนั้นสิ่งเดียวที่อยู่ในใจของเขาจึงมีแต่การนำความมั่นใจของตัวเองกลับคืนมา เขายิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า ”ความรักของนางน่าประทับใจถึงเพียงนี้ พระชายาสามคิดที่จะขวางทางพวกเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องเขม็งไปทางทูตคนนั้น แล้วลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ขยับนิ้วเพียงครั้งเดียว เสื้อคลุมที่คลุมอยู่บนศีรษะก็ถูกถอดทิ้งลงกับพื้น เผยใบหน้าประหนึ่งเทพธิดานั้นสู่สายตา นางอยู่ในเสื้อคลุมหน้าตาคล้ายกับเสื้อคลุมของผู้ขับไล่วิญญาณร้าย แต่รอบไหล่ของนางกลับมีขนสุนัขจิ้งจอกจำนวนหนึ่งประดับอยู่ พวกมันยิ่งเสริมให้ใบหน้าของนางงดงามขึ้นอย่างมาก ร่างผอมเพรียวและริมฝีปากที่หยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม กับบรรยากาศกดดันทรงอำนาจนั้นแทบจะทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องก้มหน้าลง คิ้วที่เลิกขึ้นข้างหนึ่งของนางดึงดูดความสนใจจากผู้คนโดยรอบได้เป็นอย่างดี
มือของซงเจิ้งเหวินเหรินชะงักไป แก้วในมือเขาค้างอยู่กลางอากาศ ราวกับว่าดวงตาของเขามองเห็นแค่คนคนนี้เพียงผู้เดียว
หากความงามของซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์บริสุทธิ์และสดชื่นราวกับสายน้ำละก็…
เช่นนั้นสิ่งที่เหมาะจะใช้อธิบายความงามของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็คงเป็นความร้อนแรงที่ทำให้แม้กระทั่งพระอาทิตย์ยังต้องอับอาย มันเหมือนกับว่านางกุมหัวใจของทุกคนเอาไว้ด้วยมือที่มองไม่เห็น
มองเพียงแวบเดียว ก็สามารถทำให้ทุกคนประทับใจได้ไม่รู้ลืม!
เมื่อบวกกับน้ำเสียงและสีหน้าของนางที่หวานราวกับน้ำผึ้ง มันก็ยิ่งทำให้ทุกคนอยากเหลียวกลับไปมองนางอีกครั้งหลังจากได้เห็นครั้งหนึ่งราวกับต้องมนตร์สะกด
ใช่ว่าซงเจิ้งเหวินเหรินจะไม่เคยพบเฮ่อเหลียนเวยเวยมาก่อน เพียงแต่ว่าในเวลานั้นนางยังเด็กและพูดเสียงเบาอย่างมาก
แต่คราวนี้ดวงตากระจ่างใสระยิบระรับราวกับดวงดาวท่ามกลางผืนฟ้ายามราตรีคู่นั้นกลับมองผ่านเขาไปโดยไม่คิดอ้อยอิ่ง นางก้าวเท้าออกเดินราวกับว่าไม่มีใครที่จะสามารถเทียบกับนางได้ นางดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนและดูเป็นที่จับตาเสียจนท้องพระโรงอันหรูหราแห่งนี้เป็นได้เพียงแค่พื้นหลังให้กับความงามชวนตกตะลึงของนาง
ทูตของเมืองหวงจื่อคิดไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะงดงามถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้เขามองเห็นเพียงแค่ปลายคางของนางเพราะนางสวมเสื้อคลุมปิดบังหน้าตาของตัวเองไปเสียครึ่งหน้า
แต่ตอนนี้เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยก้าวเข้ามาใกล้ ใบหน้าที่แทบทำให้เขาต้องหยุดหายใจนั้นก็ยิ่งดูงดงามกว่าตอนแรกเป็นพันเท่า
เวลานี้ทั่วทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบ มันเงียบเสียจนสามารถได้ยินเสียงเข็มตกลงพื้น
แม้กระทั่งซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์เองก็ยังนึกไม่ถึงว่าจะมีหญิงงามเช่นนางปรากฏตัวขึ้น นางกัดริมฝีปากล่างของตัวเองพร้อมกับเอ่ยเรียก ”พี่สาว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดฝีเท้าลงตรงหน้านาง พร้อมกับกดสายตาลง แต่สายตานั้นกลับไม่ได้หยุดอยู่ที่นาง มันกลับจ้องมองไปที่ดวงตาของซงเจิ้งเหวินเหริน ”องค์รัชทายาท คนจากเมืองเซวียนหยวนมีงานอดิเรกคือการเป็นอนุผู้อื่นหรือ”
ทันทีที่นางพูดจบ…
ไม่ว่าจะเป็นซงเจิ้งเหวินเหริน ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ หรือแม้กระทั่งผู้อาวุโสซวีอู๋ ใบหน้าของพวกเขาพลันดูน่าเกลียดในเวลาเพียงพริบตาเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วเสริมว่า ”ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ใช่ไหม เจ้าอยากให้ข้าเติมเต็มความปรารถนาของเจ้าหรือ แต่เจ้าถึงกับตบหน้าข้าด้วยการกล่าวหาว่าข้าเป็นคน ’ไม่มีวิจารณญาณ’ เลยมิใช่หรือ ก่อนที่เจ้าจะหมายตาไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เจ้าไม่รู้หรือว่าเขามีภรรยาแล้ว”