ตอนที่ 659 เจตนาร้ายของชายปีศาจหมู
ระหว่างที่ครอบครัวไป๋ตกอยู่ในความโกลาหล หลินม่ายก็สะพายกระเป๋าปั่นจักรยานไปที่ร้านซาลาเปาของเธอเพื่อทำหมูสับ
ทันทีที่เธอเริ่มเตรียมหมูสับ พนักงานสองคนก็มาทำงานแล้ว
หลินม่ายอธิบายให้พวกเขาฟังแล้วจากไป
เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัยชิงหวา เธอก็ตรงไปที่โรงอาหาร
ในชีวิตก่อนของเธอ เธอเห็นในอินเตอร์เน็ตว่าโรงอาหารของมหาวิทยาลัยชิงหวาทั้งอร่อยและถูก ดังนั้นเธอจึงอยากมาดู
ผลเป็นไปตามที่ในอินเตอร์เน็ตบอกไว้ในชีวิตก่อนจริง ๆ อาหารทั้งถูกและมีปริมาณที่เหมาะสม
โร่วเจียโม่(1)หมูหนึ่งชิ้นราคาแค่หนึ่งเหมาห้าเฟินเท่านั้น และซาลาเปาหนึ่งลูกราคาแค่เพียงหนึ่งเหมา
ซาลาเปาของเธอที่ราคาถึงสามเหมาต่อลูกนั้นนักศึกษามหาวิทยาลัยชิงหวาอาจจะไม่ซื้อ
อีกทั้งยังมีเนื้อวัวและเนื้อแกะขาย น่าเสียดายที่มีไว้สำหรับชนกลุ่มน้อยและนักศึกษาต่างชาติเท่านั้น
หลินม่ายเม้มริมฝีปากแน่น เดินไปที่ช่องขายเกี๊ยวทอดช่องหนึ่ง ตั้งใจว่าจะซื้อเกี๊ยวทอดสักหนึ่งอย่างกับน้ำเต้าหู้สักแก้วกินเป็นอาหารเช้า
แต่คุณป้าโรงอาหารบอกว่าเธอไม่มีคูปองอาหารของมหาวิทยาลัยชิงหวา ดังนั้นเธอไม่สามารถซื้ออะไรได้
หลินม่ายกำลังจะเดินออกไปด้วยความหงุดหงิด เธอก็ได้ยินเสียงใครสักคนกำลังเรียกเธอ “นักศึกษาหลินม่าย?”
หลินม่ายหันกลับไปก็เห็นรองอธิบดีกู้
เธอค่อนข้างแปลกใจ “รองอธิบดีกู้ก็มากินข้าวที่โรงหารหรือคะ~”
รองอธิบดีกู้พูดยิ้ม ๆ “ผมสังเคราะห์แสงไม่เป็น แน่นอนว่าต้องมากินข้าวที่โรงอาหารอยู่แล้ว”
เขาเห็นว่ามือของหลินม่ายว่างเปล่า จึงเอ่ยถามขึ้น “ทำไมคุณไม่ซื้ออะไรล่ะ? กำลังฝึกตนรึ?”
หลินม่ายจึงหัวเราะได้เพราะเขา “ไม่ใช่ค่ะ แค่ไม่มีคูปองอาหาร ซื้ออาหารเช้าไม่ได้เลยค่ะ”
เท่านั้นเองรองอธิบดีกู้ก็นึกขึ้นได้ เธอพึ่งจะลงทะเบียนได้เพียงครึ่งทางเมื่อเสาร์ที่แล้ว แม้แต่บัตรนักศึกษาเธอก็ยังไม่ได้รับ นับประสาอะไรกับคูปองอาหาร
รองอธิบดีถามพร้อมยิ้มน้อย ๆ “อยากกินอะไร ผมเลี้ยง”
หลินม่ายจึงไม่เกรงใจ ชี้ไปที่ช่องขายซาลาเปาแล้วบอก “ซาลาเปาสักสองลูกก็พอแล้วค่ะ”
รองอธิบดีกู้เดินไปที่ช่องขายราเมงเนื้อ “ผมพึ่งเห็นคุณยืนอยู่ช่องขายราเมนเนื้อนานแล้ว คุณคงอยากกินราเมงเนื้อล่ะสิ”
หลินม่ายยิ้มด้วยความอายเล็กน้อย
รองอธิบดีกู้ซื้อราเมงเนื้อให้เธอ จากนั้นก็ให้เธอยกไปที่โต๊ะด้วยตัวเอง
รองอธิบดีกู้ถามอย่างใจดี “ราเมงถ้วยเดียวพอไหม อยากได้ซาลาเปาอีกสักสองลูกไหม?”
หลินม่ายส่ายหัวราวกับกลองป๋องแป๋งอย่างไรอย่างนั้น “พอค่ะ พอแล้วค่ะ”
รองอธิบดีกู้จึงเดินจากไป
หลินม่ายจับผมไปทัดไว้ที่หู นับชิ้นเนื้อในราเมงเนื้อด้วยตะเกียบ มีเนื้อชิ้นใหญ่และหนามากกว่าสิบชิ้น มีสำนึกต่อผู้บริโภคจริง ๆ
เธอกินราเมงถ้วยนั้นไปได้ไม่กี่คำ ก็มีนักศึกษาชายอ้วนจ้ำม่ำไว้ผมยาวคนหนึ่งเดินเข้ามาและถามด้วยรอยยิ้ม “เพื่อนนักศึกษา ผมนั่งกับคุณได้ไหม?”
หลินม่ายเงยหน้าขึ้นมาแล้วหันไปมองรอบ ๆ ก็เห็นว่าในโรงอาหารเหลือที่นั่งว่างไม่มาก คน ๆ นี้อยากนั่งข้างเธอก็ไม่มีอะไรให้ว่าได้ เธอพยักหน้าเป็นการตกลง
นักศึกษาชายคนนั้นนั่งลงข้าง ๆ เธอ เห็นเธอกินราเมงเนื้อจึงถามอย่างแปลกใจ “คุณเป็นชนกลุ่มน้อยหรือ?”
หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมกินราเมงเนื้อล่ะ?”
ได้ยินนักศึกษาชายคนนี้พูดมากขนาดนี้ หลินม่ายก็รู้สึกไม่ชอบขึ้นมา เธอจึงไม่ตอบคำถาม ยิ้มให้เขาแบบขอไปทีแล้วกินราเมงของเธอต่อไป
นักศึกษาชายคนนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่คนประเภทดันทุรัง เห็นหลินม่ายไม่ตอบ เขาก็เงียบปากอย่างชาญฉลาด
หลังจากกินราเมงเนื้อเสร็จ หลินม่ายก็เดินจากไปแล้ว
แต่เธอรู้สึกว่านักศึกษาชายคนนั้นที่ดูเหมือนตือโป๊ยก่ายได้โดยไม่ต้องแต่งหน้านั้นดูคุ้นหน้าเล็กน้อย
แต่เธอพึ่งมาที่นี่ได้ไม่นาน เป็นเป็นไม่ได้ที่จะรู้จักใคร
เดาว่านักศึกษาชายคนนั้นในอนาคตอาจจะเป็นคนดัง ดังนั้นตนจึงได้รู้สึกคุ้นหน้าเขา
ต้องรู้ว่า มหาวิทยาลัยชิงหวามีคนอัจฉริยะมากมาย มีคนมีชื่อเสียงสักสองสามคนก็เป็นเรื่องธรรมดา
หลินม่ายเดินออกไปได้ไม่กี่นาที ก็มีนักศึกษาชายอีกคนนั่งลงข้าง ๆ ชายอ้วนจ้ำม่ำคนนั้น
ขณะที่เขากินข้าวก็พูดล้อขึ้นมา “นึกไม่ถึงว่าจ้าวซั่วหยางอัจฉริยะผู้โด่งดังในมหาวิทยาลัยชิงหวาของเราก็มีช่วงเวลาที่ถูกคนอื่นรังเกียจเหมือนกัน”
ชายอ้วนคนนั้นยิ้มอย่างอ่อนโยน สายตาของเขาที่มองตามหลังหลินม่ายไปฉายแววมุ่งมาดมากขึ้น
เมื่อถึงเวลาเริ่มงาน หลินม่ายไปที่ฝ่ายรับนักศึกษาเพื่อดำเนินการลงทะเบียนให้เสร็จ
การไปเรียนมหาวิทยาลัยในยุคนี้มีรัฐอุดหนุน
โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยสำคัญอย่างชิงหวา ยิ่งได้รับการอุดหนุนจากรัฐมากกว่าเดิม
ค่าเทอมฟรี อีกทั้งยังมีเงินค่าครองชีพให้สิบแปดหยวนต่อเดือน
เงินอุดหนุนเหล่านี้ทำให้นักศึกษาไม่ต้องหาค่าเทอม หรือกังวลกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทำให้สามารถทุ่มเทตั้งใจเรียนได้อย่างเต็มที่
รัฐพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะฝึกฝนคนที่ความสามารถออกมา
หลังจากลงทะเบียนแล้ว หลินม่ายก็ไปดูหอพักที่ได้รับการจัดสรรให้
ในยุคสมัยนี้ ถึงแม้จะเป็นที่พักของมหาวิทยาลัยชิงหวา มันก็ไม่สามารถเทียบได้กับหอพักในอีกหลายทศวรรษต่อไป ห้องหนึ่งพักรวมกันแปดคน
ในหอพักนักศึกษาที่หลินม่ายได้เหลือเพียงเตียงชั้นบนริมหน้าต่างที่เดียว
แม้ว่าหลินม่ายจะซื้อบ้านเป็นของตัวเองแล้ว เธอก็ยังตั้งใจจะอยู่ในมหาวิทยาลัย เพื่อความสะดวกในการไปอ่านหนังสือในห้องสมุดและทบทวนบทเรียนตอนกลางคืน อีกทั้งยังสะดวกต่อการจัดการร้านซาลาเปาของเธอมากกว่า
วันหยุดก็ไปพักอยู่ที่เรือนสี่ประสาน
มีเงินแล้วก็สามารถทำตามใจตัวเองได้
เธอยังไม่ได้ซื้อของที่จำเป็นในการใช้ชีวิตอยู่ในหอพัก ดังนั้นจึงไปซื้อทุกสิ่งที่จำเป็นในการใช้ชีวิตอยู่ในหอพักมา เวลาก็ล่วงเลยผ่านสิบโมงเช้าไปแล้ว
ในยุคนี้มหาวิทยาลัยชิงหวามีการฝึกทหารแล้ว อีกทั้งยังเป็นการฝึกที่ยากเป็นพิเศษ
การฝึกทหารในหลายทศวรรศต่อไปไม่สามารถเทียบกับการฝึกทหารตอนนี้ได้เลย
เพื่อที่จะหลบหนีการฝึกทหารในตอนเช้า หลินม่ายอยู่ในหอพักจนถึงตอนบ่าย จากนั้นจึงนำกล่องอาหารไปกินข้าวที่โรงอาหาร
การกินข้าวสร้างคน การกินข้าวสร้างจิตวิญญาณ การกินข้าวสร้างคนให้เหนือคน
ถึงอย่างไรแต่ละเดือนก็ได้รับค่าครองชีพมากกว่าสิบหยวน หากเธอเพิ่มเงินตัวเองเข้าไปไม่กี่หยวน ก็จะได้ลิ้มลองเนื้อปลาอย่างสบายใจแล้ว
ตอนที่หลินม่ายสั่งอาหาร เธอก็เลือกอาหารดี ๆ
เธอเลือกอาหารประเภทเนื้อสองอย่างและประเภทผักหนึ่งอย่าง เดินไปหาโต๊ะแล้วนั่งลง
ก่อนที่เธอจะได้ตักเข้าปาก ชายอ้วนผมยาวคนที่เธอเห็นตอนเช้าก็นั่งลงตรงหน้าเธอ พลางถามเธออย่างสุภาพอีกครั้ง ว่าให้เขานั่งข้างเธอได้หรือไม่
หลินม่ายเห็นว่าในโรงอาหารไม่มีโต๊ะว่างมากเท่าเมื่อเช้า
การที่นักศึกษาชายคนนี้ต้องการนั่งข้างเธอก็ดูเหมือนจะพอเข้าใจได้เหมือนตอนเช้า
แต่จิตใต้สำนึกของหลินม่ายบอกว่านักศึกษาชายคนนี้คิดจะตามตื๊อเธอ
มีปัญหาแล้วไงล่ะ เธอมีคู่หมั้นแล้ว ถึงจะไม่มีคู่หมั้น เธอก็ไม่ชอบหน้าตาที่เหมือนปีศาจหมูป่าของเขาอยู่ดี
หลินม่ายพยักหน้าเหมือนในตอนเช้า “ได้สิ คุณนั่งเถอะ”
ชายผมยาวหน้าตาเหมือนปีศาจหมูนั่งลง พร้อมกับรอยยิ้มแต้มที่มุมปาก
ทันทีที่เขานั่งลง หลินม่ายก็เดินจากไปพร้อมกับกล่องอาหารเพื่อหาที่กินข้าวด้านนอก
มหาวิทยาลัยใหญ่ขนาดนี้ กลับหาที่กินข้าวไม่ได้ ต้องมากินในโรงอาหาร!
สีหน้าของชายผมยาวหน้าคล้ายตือโป๊ยก่ายมืดครึ้มลงทันที
พื้นเพครอบครัวของเขาก็ดี เป็นคนดังของมหาวิทยาลัย ผู้หญิงคนไหนไม่อยากโผเข้าหาเขาเมื่อเห็นเขาบ้าง?
นักศึกษาใหม่คนนี้กลับปฏิบัติกับเขาราวกับเป็นอุจจาระ ทำให้เขาเสียหน้าในที่สาธารณะ
ชายผมยาวหน้าตาเหมือนตือโป๊ยก่ายลอบกำหมัดแน่น
ไม่เห็นหัวฉันนักใช่ไหม ฉันจะต้องคว้าเธอมาไว้ในกำมือให้ได้ คั่วเล่นสักพักแล้วก็จะโยนทิ้ง ให้เธอจะอยู่ก็ไม่ได้ จะตายก็ไม่อาจ!
หลินม่ายไม่รู้ความคิดชั่วร้ายของชายผมยาวหน้าตือโป๊ยก่ายที่ชื่อจ้าวซั่วหยางคนนั้น หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จแล้วเธอก็กลับไปที่หอพัก
รูมเมทอีกแปดคนก็กินข้าวกลางวันเสร็จแล้วเช่นกัน กำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
นักศึกษาในยุคนี้เห็นค่าของโอกาสในการเล่าเรียนเป็นพิเศษ ตอนมีเวลาว่าง พวกเขาก็จะจมลงไปในมหาสมุทรแห่งความรู้จนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้
ทันทีที่หลินม่ายเข้าไปในหอพัก ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที
หนึ่งในนั้นถาม “เธอเป็นรูมเมทคนใหม่ใช่ไหม? ชื่ออะไรหรือ?”
หลินม่ายบอกชื่อเธออย่างสุภาพ
ทั้งห้องฮือฮาขึ้นมาทันที ทุกคนถามอย่างตื่นเต้น “เธอคือคนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อันดับหนึ่งปีนี้ใช่ไหม?”
หลินม่ายพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
รูมเมทไม่แม้แต่อ่านหนังสือ พวกเขาพูดคุยเจี๊ยวจ๊าว ถามรายละเอียดเรื่องคนที่สอบเข้าได้อันดับหนึ่งตัวจริงกับคนแอบอ้างเมื่อวานนี้
ถึงแม้มหาวิทยาลัยจะแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบแล้ว แต่ก็บอกคร่าว ๆ เท่านั้น รูมเมทเหล่านี้อยากได้ยินฉบับเต็มเรื่อง
หลินม่ายตอบสนองความต้องการของพวกเขา เล่าเรื่องนี้ให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งฟังดูน่าตื่นเต้นอย่างยิ่งจนทำให้รูมเมทพากันด่าทอว่านฮุ่ยไปหลายยก
ไม่ช้าก็เป็นเวลาบ่ายโมงครึ่งแล้ว ครูฝึกนำชุดฝึกทหารมาส่งให้หลินม่ายด้วยตัวเองและบอกให้หลินม่ายเข้าร่วมฝึกทหารตั้งแต่บ่ายนี้ไป
ทุกคนบอกว่าหลินม่ายฉวยโอกาส เก้าวันแล้วถึงมารายงานตัว ทำให้เหลือเวลาฝึกทหารอีกแค่หกวัน
หลินม่ายยิ้มและเชื้อเชิญให้รูมเมทกินของว่าง
ทุกคนพูดคุยไปพลางกินของว่างไปพลาง หลินม่ายจึงได้รู้ชื่อและคณะของรูมเมทหลายคน
ในตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่ารูมเมทไม่ได้มาจากสาขาวิชาเอกเดียวกัน ทุกคนอยู่แตกต่างกันไปหลายสาขาวิชา
ก่อนบ่ายสอง หลินม่ายตามรูมเมทไปที่สนามเพื่อเข้าร่วมฝึกทหาร
ระหว่างทางไปที่สนาม รูมเมทต่างบอกเธอว่าการฝึกทหารน่ากลัวขนาดไหน ครูฝึกโหดแค่ไหน หลินม่ายเพียงได้ยินก็สั่นสะท้านขึ้นมา
…………………………………………………………………………………………………………………………
(1)肉夹馍 อาหารประจำมณฑลส่านซี ลักษณะเป็นแผ่นแป้งประกบไส้เนื้อสัตว์ จะเรียกว่าเป็นแฮมเบอร์เกอร์จีนก็ได้
สารจากผู้แปล
หน้าตาอย่างกับหมูอย่าริมาเทียบชั้นกับพี่หมอของม่ายจื่อเลยค่ะ รอได้เห็นพี่หมอของม่ายจื่อก่อนเถอะ
ไหหม่า(海馬)