บทที่ 636 ใช้ได้ ต้มตุ๋นคุณชายเชียวหรือ!
ดินแดนฝอค่อนข้างอยู่ห่างจากเหยียนโจวดินแดนหยิน
ทว่าระยะห่างแค่นี้ไม่ถือเป็นปัญหาสำหรับเฟ่ยชง
เพียงไม่นาน เฟ่ยชงก็ไปถึง
นี่ก็เพราะเฟ่ยชงมิกล้าเผยตัว หากมิใช่เช่นนั้น เฟ่ยชงไปถึงเหยียนโจวดินแดนหยินได้ด้วยการตั้งจิตเพียงครั้งเดียว
…
ณ เหยียนโจว ดินแดนหยิน
สัตว์อสูรทั้งเก้าลากรถลากไปข้างหน้าช้า ๆ
หลี่จิ่วเต้ากอดจิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงไว้ในอ้อมอก หาความรู้สึกลูบแมวในอดีตเจออีกครั้ง ขนของจิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงนุ่มลื่นเป็นที่สุด ยามได้ลูบอย่าให้เอ่ยเลยว่าสบายมือเพียงใด
เขาอดสะท้อนใจมิได้
ไม่ว่าเรื่องใดย่อมมีทั้งข้อดีข้อเสีย!
เสี่ยวไป๋จำแลงเป็นมนุษย์แล้วเป็นเรื่องดีก็จริง แต่ไม่สามารถอุ้มมาลูบขนไปมาในอ้อมอกได้อีกแล้ว…
อีกมุมหนึ่ง จิ้งจอกขาวเย็นชาหมอบราบกับพื้น สายตาห่างเหินเช่นเดิม กลิ่นอายเย็นยะเยือกมิต้องการให้ผู้ใดเข้าใกล้แผ่ซ่านอยู่รอบตัว นางมีปมในใจ อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยวาง
แม้ว่าหลี่จิ่วเต้าแค่ต้องการลูบนาง นางก็ยังหลบออกไป
หลังขึ้นมาบนรถลาก นางได้ประจักษ์ถึงพลังฝีมือของหลี่จิ่วเต้า รู้ว่าชายตรงหน้าคือผู้ยิ่งใหญ่สูงส่งเกินจินตนาการ รู้ว่านางนั้นด้อยค่ายิ่งกว่าธุลีเมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย ทว่าลงท้ายนางก็ไม่อาจผ่านพ้นภาพทรงจำเลวร้ายในวัยเด็กไปได้
ต่อให้นางรู้แล้วว่าหลี่จิ่วเต้าเป็นคนดี ซ้ำหลิงอินข้างกายเขายังเคยช่วยเผ่านารีจิ้งจอกสวรรค์ของพวกนาง กระนั้นนางยังไม่อาจก้าวข้ามด่านในใจนี้ไป ต่อต้านมนุษย์อย่างยิ่งยวด
ทว่าหลี่จิ่วเต้ามิได้ถือสา
สรรพสิ่งมีโลกล้วนแตกต่างกัน หากว่าเหมือนกันไปหมดสิ คงน่าเบื่อแย่
‘เลี้ยงไว้ก่อน หลังกลับไปแล้วให้เซี่ยเหยียนพาไปตรวจสอบในสำนักไท่หัวดูหน่อยว่าจริง ๆ แล้วพวกมันฝึกตนได้หรือไม่…’
หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ
เมื่อครั้งเพิ่งพาตัวจิ้งจอกทั้งสองกลับมา เขาไปถามเซี่ยเหยียนแล้วว่า จิ้งจอกสองตัวนี้มีพลังวิญญาณหรือไม่
เซี่ยเหยียนตอบว่า จิ้งจอกสองตัวนี้มีพลังวิญญาณล้นหลาม
และเพราะคำกล่าวของเซี่ยเหยียน หลี่จิ่วเต้าถึงวางใจลง นึกในใจว่าจิ้งจอกสองตัวที่ตนเลือกมาไม่เลวจริง ๆ อนาคตไกล!
ใช่แล้ว
เมื่อครั้งเซี่ยเหยียนได้เจอจิ้งจอกทั้งสองก็ต้องตะลึงงัน ไม่ว่าจะเป็นจิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิง หรือจิ้งจอกขาวเย็นชา ต่างน่าทึ่งเป็นที่สุด นางสัมผัสได้ว่าจิ้งจอกสองตัวนี้ไม่ธรรมดา สายเลือดบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้น มีขั้วเต๋าไหลเวียนอยู่ภายใน เหมาะแก่การฝึกตนอย่างยิ่ง
นางไม่คิดกังขาเลยว่า หากจิ้งจอกสองตัวนี้ได้ติดตามอยู่ข้างกายคุณชาย ย่อมต้องสำเร็จวิถีสูงส่ง!
‘ปัญหาของเผ่านารีจิ้งจอกสวรรค์คลี่คลายลงแล้ว’
หลิงอินหัวเราะเบา ๆ ในใจ ปีติยินดี
จิ้งจอกสองตัวนี้ได้ติดตามอยู่ข้างกายท่านเซียน ภายหน้าจะเกิดเรื่องอันใดกับเผ่านารีจิ้งจอกสวรรค์ได้อีก
ย่อมเป็นไปไม่ได้!
เมื่อจิ้งจอกสองตัวนี้กลับไป ย่อมมีความตั้งใจที่จะช่วยชี้แนะนารีจิ้งจอกสวรรค์ตัวอื่น ๆ พลังอำนาจของเผ่านารีจิ้งจอกสวรรค์ก็จะเพิ่มพูนทวีคูณ!
เบื้องหน้า คูเมืองโบราณมโหฬารตั้งตระหง่าน ยิ่งใหญ่โอ่อ่า นี่คือเมืองใหญ่ที่มีผู้ฝึกตนมารวมตัวกัน เห็นได้ว่ามีผู้ฝึกตนเข้าออกกันมากมาย
ขณะเดียวกัน มีสัตว์อสูรพลังปราณดุดันเข้าออกเป็นจำนวนไม่น้อยด้วย
“ที่นี่คือที่ไหน”
หลี่จิ่วเต้าถามเซี่ยเหยียน เกิดความสนใจขึ้นมา
เขารู้สึกมาตลอดว่าซีนั้นไม่ธรรมดา ร่างกายบอบบางเยี่ยงนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยพลัง และอาจเป็นถึงผู้ฝึกตนคนหนึ่ง
โดยเฉพาะบุคลิกของซีที่สูงส่งไร้มลทิน เกินกว่าปุถุชนทั่วไปจะทาบติด ดูเป็นบุคลิกของผู้ฝึกตนเสียมากกว่า เขายิ่งรู้สึกว่าซีเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง
เขาอยากเข้าไปเดินชมเมืองใหญ่ของผู้ฝึกตนแห่งนี้ ไม่แน่อาจมีโอกาสพบซีที่นี่ก็ได้
ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว นางอาจไปปรากฏตัวที่ไหนก็ได้ เขาไม่ต้องการพลาดสักสถานที่ที่มีความเป็นไปได้
“ที่นี่คือเมืองจิ่งเทียน เป็นเมืองโบราณแห่งหนึ่ง มีการสืบสานมาอย่างยาวนาน ถือเป็นหนึ่งในเมืองโบราณเลื่องชื่อแห่งแดนบูรพาทิศ” เซี่ยเหยียนรีบบอก
รถลากแล่นด้วยความเชื่องช้า พวกเขายังไม่พ้นจากแดนบูรพาทิศ ยังอยู่ในเขตเมืองเหยียนโจวแห่งแดนบูรพาทิศ
“เข้าใจแล้ว เราเข้าไปเดินเล่นในเมืองกันหน่อยเถิด” หลี่จิ่วเต้ากล่าว
จากนั้น สัตว์อสูรทั้งเก้าลากรถมาอยู่ที่เมืองจิ่งเทียน
“ผู้ใดกัน ดูไม่ได้ถึงปานนี้…”
“ม้ากับรถธรรมดาดาษดื่นหรือ เหอะ ๆ น่าสนใจจริง ๆ”
“หรือว่ามีปุถุชนเข้าเมืองมา”
เมื่อสัตว์อสูรทั้งเก้าลากรถเข้าไปในเมืองจิ่งเทียน เสียงที่ไม่น่าฟังก็ดังขึ้นรอบ ๆ
สาเหตุมิใช่อื่นใด ล้วนเป็นเพราะสัตว์อสูรทั้งเก้าและรถลาก ‘ธรรมดา’ เกินไป!
สัตว์อสูรทั้งเก้าสงวนพลังปราณ จำแลงกายเป็นอาชาธรรมดา ดูจากภายนอก รถลากคันนี้ไม่มีความวิเศษวิโสสักนิด ปราศจากความโดดเด่น เหมือนรถม้าทั่วไปที่ปุถุชนใช้กันสุด ๆ
และในเมืองนี้ มี ‘รถม้า’ ธรรมดาเยี่ยงนี้ที่ไหน ทั้งสัตว์พาหนะ ทั้งรถรบ ไม่ว่าตัวไหนหรือคันไหนล้วนน่าทึ่งเหลือแสน เหนือชั้นกว่า ‘รถม้า’ ที่พวกหลี่จิ่วเต้านั่งอยู่อย่างสิ้นเชิง
ดูไม่ได้?!
อะไรกันนี่!
สัตว์อสูรทั้งเก้าหายใจฟึดฟัด นึกในใจว่าหากมิใช่ต้องคอยลากคุณชาย จึงมิกล้าก่อเรื่อง พวกมันย่อมต้องทำให้คนเหล่านี้ได้เห็นดี!
ถึงแม้พวกมันไม่อาจเทียบได้กับพวกลั่วสุ่ย เซี่ยเหยียน แต่ให้จัดการเจ้าพวกนี้ แน่นอนว่ามีพลังเหลือเฟือ เตะเท้าครั้งเดียวก็สามารถเล่นงานพวกเขาจนราบคาบ
ภายในรถลาก
พวกลั่วสุ่ย เซี่ยเหยียนต่างได้ยินเสียงจากด้านนอก พวกเขาขมวดคิ้วมุ่นในบัดดล เจ้าพวกนี้อยากตายหรืออย่างไร อวดดีเกินไปแล้ว
หลี่จิ่วเต้าขมวดคิ้วน้อย ๆ เช่นกัน
อย่างที่คิด กลมกลืนดาษดื่นเกินไปก็ไม่ดี โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในโลกแห่งการฝึกตนเช่นนี้ การวางตัวกลมกลืนธรรมดาเกินไปก็ง่ายต่อการเกิดเรื่อง กลายเป็นปัญหาได้มากมาย
“สำนักไท่หัวคุ้มครองเราไหวหรือไม่” หลี่จิ่วเต้าถามเซี่ยเหยียน
เซี่ยเหยียนหลักแหลมปานใด เข้าใจความหมายของคุณชายได้ในทันที
คุณชายกล่าวเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องการให้นางออกหน้า
คิดแล้วก็ถูก ปลาซิวปลาสร้อยเยี่ยงนี้ควรค่าให้คุณชายออกหน้าที่ไหน
“ไหว!”
นางพยักหน้าตอบรับทันที
“เช่นนั้นก็ดี ข้าดูแล้ว กลมกลืนเกินไปก็ไม่ดี เอาอย่างนี้ เจ้าสั่งให้สัตว์อสูรทั้งเก้าคืนโฉมเดิมเสีย” ชายหนุ่มว่า
“เจ้าค่ะ คุณชาย!”
เซี่ยเหยียนตอบ ก่อนจะก้าวออกจากรถลากและเอ่ยต่อสัตว์อสูรทั้งเก้า “คุณชายบอกให้พวกเจ้าคืนร่างเดิม”
“ได้!”
“เข้าใจแล้ว!”
สัตว์อสูรทั้งเก้ารอช่วงเวลานี้อยู่ อย่าให้เอ่ยเลยว่าพวกมันดีใจเพียงใด วาจาของเจ้าพวกนั้นรอบตัวสร้างความไม่สบอารมณ์ให้พวกมันอย่างมาก
โฮก! โฮก! โฮก!
พวกมันแหงนมองฟ้าคำราม ประกายเจิดจ้าแผ่พุ่งออกจากตัวกันถ้วนหน้า ซ้ำยังมีพลังปราณระดับจ้าวสูงสุดซัดสาดออกมา คลี่แผ่ปกคลุมทั้งเมืองไว้ในพริบตา!
คราวก่อนที่พวกมันลากรถให้คุณชาย ได้รับผลประโยชน์มหาศาล คุณชายป้อนอาหารพวกมันอยู่บ่อย ๆ บัดนี้พวกมันได้ก้าวสู่ขอบเขตสูงสุดไปนานแล้ว และกลายเป็นอสูรจ้าวสูงสุดทั้งหมด!
“อะ…ไรกัน!”
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?!”
เจ้าพวกที่ส่งเสียงเย้ยหยันเมื่อครู่ ตื่นกลัวจนทรุดลงกับพื้น หน้าตาซีดเซียว เหงื่อเย็นไหลโซม ตัวสั่นจนหยุดมิได้ ซ้ำร้ายยังมีของเหลวสีเหลืองไหลออกมาจากหว่างขา
สวรรค์! อสูรจ้าวสูงสุดหรือนี่ จะไม่ให้พวกเขาตกใจจนปัสสาวะราดได้อย่างไร ด้วยขอบเขตพลังของพวกเขา ช่างไม่ควรค่าแก่การพูดถึงสักนิดเมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวสูงสุด ต่ำต้อยยิ่งกว่าผงธุลีเสียอีก!
แต่เมื่อครู่พวกเขากลับเย้ยหยันถากถาง ช่างรนหาที่ตายเสียจริง!
สัตว์อสูรทั้งเก้าแหงนหน้าคำราม เสียงกู่ร้องของอสูรดังกึกก้องไปทั่วเมือง สิ่งมีชีวิตฝึกตนมากมายแตกตื่นหวาดกลัว หมอบลงกับพื้นด้วยตัวสั่นเทา
ที่นี่เป็นเพียงเมืองหนึ่งในเหยียนโจวแดนบูรพาทิศ หาได้มีสิ่งมีชีวิตฝึกตนระดับสูง ขอบเขตนักบุญยังมีอยู่ไม่เท่าไหร่
เมื่อเจอกับเสียงคำรามของอสูรจ้าวสูงสุดถึงเก้าตัว พวกเขาไฉนเลยจะรับไหว
ไม่ไหวเลยสักนิดเดียว!
‘สมเป็นสำนักไท่หัว ร้ายกาจยิ่งนัก สัตว์อสูรที่เลี้ยงไว้ยังดุดันปานนี้!’
หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ ยิ่งรู้สึกว่าสำนักไท่หัวนี่หวังพึ่งได้
เขาเอ่ยบอกเซี่ยเหยียน “เอาแค่พอประมาณ ไม่ต้องโดดเด่นเกินไป”
“เข้าใจแล้ว”
เซี่ยเหยียนรีบบอกให้สัตว์อสูรทั้งเก้าสงวนพลังปราณไว้ แรงกดดันจากจ้าวสูงสุดที่ปกคลุมทั้งเมืองถึงหายไป ทุกอย่างกลับสู่ปกติ
“หาที่ที่ไม่มีคนให้พวกเราลงไปเดินเล่นหน่อย”
อย่างไรแล้วหลี่จิ่วเต้าก็มิใคร่ชอบทำตัวเตะตานัก เขาสั่งให้สัตว์อสูรทั้งเก้าหาสถานที่ไร้คน ก่อนจะอุ้มจิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงลงจากรถลาก
จิ้งจอกขาวเย็นชามิได้ขยับเขยื้อน อยู่ในรถลากต่อไป นางต่อต้านเมืองมนุษย์เช่นนี้มาก จึงไม่อยากออกไปไหน
ลั่วสุ่ย เซี่ยเหยียน อันหลานเสวี่ย และพวกอ้ายฉานพากันเดินลงมา ติดตามอยู่ข้างกายคุณชาย วนรอบเมืองไปเรื่อย ๆ
“ฮ่า ๆ ข้าเห็นว่าทุกท่านสูงส่งไม่ธรรมดา หน้าผากอวบอิ่ม บุคลิกโดดเด่น วันหน้าย่อมต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่นได้แน่!”
ขณะนั้นเอง ชายชราในชุดนักพรตเก่าโกโรโกโสเดินเข้ามา เอ่ยด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย “ในเมื่อได้พบกันก็หมายความว่าเรามีวาสนาต่อกัน ในมือข้ามีของดีที่ได้จากซากโบราณพอดี พวกท่านลองชมดูว่าชอบหรือไม่”
พูดจบ เขาก็หยิบของออกมากองหนึ่ง แต่ละชิ้นดูแล้วล้วนไม่ธรรมดา เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่
หลิงอินเห็นภาพนี้แล้วก็นึกขำในใจ
อุบายนี้นางคุ้นเคยเป็นอย่างดี!
เมื่อครั้งนางออกพเนจรในยุคโบราณ ได้พานพบเหตุการณ์เช่นนี้อยู่บ่อย ๆ
ชายชรามากมายอ้างว่ามีของจากซากโบราณ แล้วนำออกมาลวงหลอกต้มตุ๋นสิ่งมีชีวิตฝึกตนอื่น ๆ
ต้มตุ๋นคุณชายเชียวหรือ
น่าสนุกยิ่งนัก!