บทเพลงจบลงแล้ว
ดนตรีก็จบลงแล้ว
ทั้งห้องส่งเงียบกริบจนน่ากลัว!
สายตาของผู้ชมทุกคนจับจ้องไปยังร่างของหลานหลิงอ๋องบนเวที เพียงแต่ความรู้สึกในแววตานั้น โดยมากล้วนต่างไปจากก่อนหลานหลิงอ๋องจะขึ้นเวทีอย่างสิ้นเชิง
ในที่สุด…
แปะๆๆๆๆ!
เสียงปรบมือดังขึ้นแล้ว!
ผู้ชมซึ่งฟังไปได้เพียงครึ่งเดียวก็ลุกขึ้นยืนอย่างอดไม่ไหว หนำซ้ำยังยกมือขึ้นปรบเหนือศีรษะอีกด้วย!
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่
ในที่สุดเสียงปรบมือก็หยุดลง
อันหงพิธีกรตบอก กล่าวกลั้วหัวเราะ “ถ้าพวกคุณยังปรบมือแบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมจะไม่กล้าขึ้นเวทีแล้วนะครับ แต่ไม่ว่าอย่างไร เสียงเชียร์และเสียงปรบมือ ก็ล้วนเป็นของหลานหลิงอ๋องของพวกเรา!”
“หลานหลิงอ๋องสุดยอด!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังลั่นมาจากกลุ่มผู้ชม
อันหงหลุดหัวเราะ
ด้านล่างเวทีต่างพากันหัวเราะครืน
ขณะเดียวกัน ผู้ชมสามารถสงบความตื่นเต้นลงได้ในที่สุด และใช้โอกาสระหว่างที่พิธีกรพูด สนทนากันอย่างรวดเร็ว
“สุดจัด!”
“เดินเครื่องเต็มสูบ!”
“ฉันต้องขอโทษพี่ชายคนเมื่อกี้ ฉันไม่ควรบอกว่าหลานหลิงอ๋องใช้ได้แค่มุกสลับเสียง เวทีนี้ปังมาก ขอเปลี่ยนจากแอนตี้แฟนเป็นแฟนคลับแล้วกัน!”
“ปังจริงแก!”
“เนื้อเพลงท่อนแรกออกมา ฉันนี่ขนลุกเลย เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าพลังเสียงของมนุษย์เข้ากับเสียงกลองได้ลงตัวขนาดนี้ แถมยังมีผีผาเข้ามาอีก ประทับใจ!”
“นั่นมันกู่เจิง”
“จะเรียกอะไรก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเพลงนี้ฉันชอบมาก เมื่อก่อนฉันชอบซีรีส์กำลังภายใน เพลงนี้ทำให้ฉันได้เห็นจิตวิญญาณของชาวยุทธ์ที่แท้จริง องอาจห้าวหาญ ทั้งยังให้ความรู้สึกดิ้นรน และเผยด้านที่อ่อนแอออกมา”
“…”
เสียงของทุกคนดังขึ้นๆ ลงๆ แต่เมื่อพิธีกรเอ่ยเรียกกรรมการตัดสิน บทสนทนาของผู้ชมก็หยุดลงทันใด พวกเขาอยากฟังว่ามืออาชีพจะพูดถึงการแสดงของหลานหลิงอ๋องว่าอย่างไร
“เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ!”
ผู้ที่กล่าวขึ้นมาคนแรกก็คือเหมาเสวี่ยวั่ง เขายกสำนวนมาอธิบาย “เพลงนี้ผมฟังแล้วให้อารมณ์ของความเป็นยุทธจักรอย่างเต็มเปี่ยม พูดได้ด้วยซ้ำว่าเพลงนี้ถ่ายทอดความเป็นยุทธจักรออกมาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย คุณเลือกใช้เสียงแหบที่ค่อนข้างเบา อรรถรสของเพลงนี้ส่งผ่านมากระทบคลื่นสมองของผมและทุกคนโดยตรง ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้คุณอุบไว้หรือช่วงนี้เพิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลง ทักษะการร้องเพลงในเวทีนี้ของคุณแข็งแกร่งมาก แทบจะไม่มีข้อบกพร่องอะไรเลย!”
“ฉันก็คิดเช่นนั้น”
หลิ่วซวี่ซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น
ขณะนี้จู่ๆ ทั้งห้องส่งก็หัวเราะลั่น ยังมีคนเล่นมีม ‘ข้าก็คิดเช่นนั้น’ อยู่อีกหรือ แต่แน่นอนว่าหลิ่วซวี่ไม่ได้แอบอู้งาน
“เสียงแหบของคุณไพเราะมาก”
เธอกล่าวอย่างจริงจัง “เป็นเพลงที่ชวนให้ฮึกเหิมมาก ตอนนี้ฉันค่อนข้างเอนไปทางคุณคือนักร้องผู้ชาย ถึงเสียงของคุณจะใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติมากก็เถอะ แต่ฉันไม่คิดว่าผู้หญิงจะสามารถใช้เสียงแหบของผู้ชายที่มีเสน่ห์แบบนี้ได้ เพลงนี้ต่างกับสองเวทีแรกของคุณราวฟ้ากับดิน หรือว่าก่อนหน้านี้คุณแอบซ่อนความสามารถที่แท้จริงไว้ หรือว่าคุณก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งอาทิตย์ สามารถทำได้ถึงระดับนี้เรียกได้ว่าเหลือเชื่อจริงๆ!”
“ร้องได้ดีมาก!”
อู่หลงซึ่งอยู่ด้านข้างตื่นเต้นจนอดใจไม่ไหวมาตั้งแต่แรก “ตอนนี้ผมปาดเหงื่อแทนนักร้องที่จะขึ้นเวทีคนต่อไปแล้วครับ เสียงแหบของคุณคือสิ่งที่ทุกคนมองข้ามมากที่สุด แต่เวทีในวันนี้ เสียงแหบของคุณได้กลายเป็นศัสตราวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของคุณ นอกจากนั้น เช่นเดียวกับที่หลิ่วซวี่บอก ความก้าวหน้าของคุณเห็นได้อย่างชัดเจน ถ้าไม่ใช่เพราะความก้าวหน้าละก็ บางทีก่อนหน้านี้คุณอาจเก็บซ่อนความสามารถของตัวเอง และนี่แหละคือความสามารถที่แท้จริงของคุณ!”
“เวทีนี้สมบูรณ์แบบมาก”
ผู้ที่เอ่ยขึ้นในครั้งนี้คือหยางจงหมิง
เขากล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ผมชอบสำนวนที่กล่าวว่า ‘ความสุขที่ยิ่งใหญ่มักเรียบง่าย’ หรือไม่ก็มรรคามักกระชับได้ใจความ ออกห่างจากเทคนิคของทำนองที่โลดโผนอลังการ ละทิ้งการเรียบเรียงเพลงที่ซับซ้อนเกินงาม ใช้เพียงความกล้าหาญจากต้นฉบับมาถ่ายทอดความรู้สึก นี่คือการสร้างสรรค์ที่ชาญฉลาดมาก ครั้งนี้เซี่ยนอวี๋ไม่ได้แอบขี้เกียจเขียนเนื้อเพลง ด้านเนื้อเพลงดูเหมือนเขาแอบขี้เกียจเขียน แต่ที่จริงแล้วที่คือระดับปรมาจารย์ รวมไปถึงการขับร้องของคุณก็ตีความอารมณ์ของบทเพลงออกมาได้อย่างตื่นตาตื่นใจ ผมรู้ว่าเวทีนี้คุณต้องแบกรับแรงกดดัน เสียงจากโลกภายนอกวิจารณ์คุณตามอำเภอใจ แต่วันนี้ผมอยากบอกทุกคนประโยคหนึ่งว่า พวกคุณได้สร้างความผิดพลาดอย่างที่ไม่ควรสร้างเสียแล้ว”
“ความผิดพลาดอะไรหรือครับ”
พิธีกรรู้จังหวะรับส่ง
หยางจงหมิงหัวเราะ “พวกสบประมาทความน่ากลัวของเซี่ยนอวี๋…แค่ก และพวกคุณก็สบประมาทความสามารถของหลานหลิงอ๋องเช่นกัน ผมหมายความว่า การสบประมาทในลักษณะนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ในสัปดาห์แรกแล้ว…”
หลินเยวียนอึ้งไป
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ถ้าหากไม่มีการไอซึ่งฟังดูเป็นธรรมชาติ ทว่าแท้จริงแล้วเสียดโสตประสาท หลินเยวียนไม่มีทางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ แต่ตอนนี้หลินเยวียนรู้สึกว่าหยางจงหมิงกำลังปกปิดและกอบกู้ข้อสรุปสักประโยคหนึ่งซึ่งเขาพูดออกไปอย่างลืมตัว
อย่างไรก็ตาม…
คนอื่นๆ ไม่มีใครรู้สึกว่าการไอของหยางจงหมิงนั้นไม่เป็นธรรมชาติขนาดไหน พวกเขาคิดว่าหยางจงหมิงเกิดอาการระคายคอขึ้นมาจริงๆ ประโยคซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนก็คือประโยคนี้ของหยางจงหมิง
ดูแคลนหลานหลิงอ๋อง?
ถ้าบอกว่าหลังจากสัปดาห์ที่สองทุกคนดูแคลนหลานหลิงอ๋องละก็ งั้นในสัปดาห์ที่หนึ่งก็ไม่สมเหตุสมผลน่ะสิ เห็นชัดๆ ว่าในสัปดาห์ที่หนึ่งทุกคนยกย่องหลานหลิงอ๋องขนาดไหน!
แบบนี้นับว่าเป็นการดูแคลนด้วยหรือ?
กลับเป็นหงส์ขาวด้านหลังเวทีซึ่งเอ่ยขึ้นราวกับมีอะไรในใจ “ที่จริงฉันสัมผัสได้ตั้งแต่เพลงเด็กชายแล้ว หลานหลิงอ๋องมีการพัฒนา เพียงแต่ในสัปดาห์ที่สองเขาต้องใช้เวลาตกตะกอน ฟังครั้งแรกยากที่ผู้ชมจะเปิดใจ”
“พ่อเพลงหยางพูดได้ถูกต้อง!”
หุ่นยนต์บ่น “เวทีนี้โหดจริงๆ โหดกว่าสองเวทีแรกของเขาซะอีก วันนี้ผมจับสลากได้เป็นลำดับที่สามใช่ไหม”
เขามองไปยังผู้ช่วย
ผู้ช่วยพยักหน้า
หุ่นยนต์หัวเราะฮ่าๆ ต่อให้เขารู้แก่ใจว่าตนคือลำดับที่สาม แต่เขาก็อดไม่ได้จำต้องถามเพื่อความแน่ใจ ไม่ใช่เพราะเขารับเวทีต่อจากหลานหลิงอ๋องไม่ไหว แต่เขาจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน และผลกระทบนี้จะทำให้อันดับของเขาต่ำลง
บนเวที
เมื่อคณะกรรมการตัดสินพูดจบ สายตาของพิธีกรจึงเบนไปยังคณะกรรมการประเมิน
ปรากฏว่าเมื่อเห็นภาพหนึ่งเข้า สีหน้าของพิธีกรก็แลดูพิลึกกึกกือขึ้นมาฉับพลัน
เพราะร่างอ้วนกลมร่างหนึ่งกำลังพยายามซ่อนตัวอย่างงุ่มง่ามท่ามกลางกลุ่มกรรมการประเมิน
เขาก้มหน้าหาที่ซ่อน อีกเพียงนิดเดียวคงขุดหลุมมุดลงดินไปแล้ว
พิธีกรอันหงซึ่งมีสายตาเฉียบแหลมจดจำอีกฝ่ายได้
เหลิ่งเฉวียน
เมื่อย้อนนึกถึงสุนทรพจน์ยาวเหยียดของเหลิ่งเฉวียนก่อนการแข่งขัน สีหน้าของอันหงก็ยิ่งแปลกพิลึกกว่าเดิม
และสิ่งที่ทำให้เขายิ่งขบขันยิ่งกว่านั้นก็คือในขณะนี้กล้องจากมุมสูงหลายตัวของรายการ ต่างพากันจับภาพของเหลิ่งเฉวียนอย่างแม่นยำ
เพราะฉะนั้น…
การพรางตัวทั้งหมดทั้งมวลของเหลิ่งเฉวียน ล้วนถูกเปิดโปงโดยกล้องของรายการ และนั่นยิ่งทำให้เขาดูชวนหัวเป็นพิเศษ!
“ไม่ต้องหลบแล้ว”
เพื่อนฝูงซึ่งอยู่รอบข้างเหลิ่งเฉวียนชักจะทนไม่ไหว “คุณจะมุดเข้าเป้ากางเกงผมอยู่แล้วครับเนี่ย!”
เหลิ่งเฉวียนไม่ส่งเสียง
ขณะนั้นในหูฟังอินเอียร์ของพิธีกร คล้ายว่าจะมีเสียงดังขึ้น
เพราะหลังจากนั้น พิธีกรก็ยิ้ม “อาจารย์เหลิ่งเฉวียนครับ เหมือนว่าคุณจะมีอะไรอยากพูดเยอะเลยใช่ไหมครับ?”
เหลิ่งเฉวียนซึ่งได้ยินดังนั้นก็หน้าซีดเผือด แทบอยากลุกขึ้นมาด่าอันหงให้รู้แล้วรู้รอด!
รายการของพวกคุณไม่มีจรรณยาบรรณในการต่อสู้!
ฉันหดตัวเหลือจิ๋วเดียวซะขนาดนี้ ยังจะมาเรียกชื่อให้ได้อะไรไม่ทราบ!
ช่วยไม่ได้
เขาทำได้เพียงโผล่ศีรษะออกมา
ปรากฏว่าเมื่อครู่เหลิ่งเฉวียนก้มโค้งมากเกินไปหน่อย จึงรู้สึกหน้ามืด เมื่อลุกขึ้นมาจึงเดินตุปัดตุเป๋เล็กน้อย
ชั่วขณะนั้น ทั้งห้องส่งหัวเราะลั่น!
เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างก็รู้เกี่ยวกับ ‘คำทำนาย’ ในการแข่งขันนี้ของเหลิ่งเฉวียน
พรึบๆๆ!
สายตาทั้งหมดไปหยุดอยู่ที่เหลิ่งเฉวียน แม้แต่คณะกรรมการตัดสินยังมองไปยังเหลิ่งเฉวียนอย่างอดไม่ได้ ในแววตาแฝงไปด้วยความหยอกล้อ
เหลิ่งเฉวียนรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว!
เมื่อกี้แค่หารอยแยกบนพื้นไม่เจอ ไม่งั้นเขาแทรกแผ่นดินหนีไปแล้ว ไม่อยู่ให้เป็นก้อนอุนจิเดินได้ต่อหน้าทุกคนแบบนี้หรอก
“อาจารย์เหลิ่งเฉวียน…”
พิธีกรอันหงเอ่ยเรียกอีกครั้ง
เหลิ่งเฉวียนพูดจาตะกุกตะกัก “เอ่อ…ดี!”
จู่ๆ เขาก็ปรบมือเสียงดัง “อาจารย์หลานหลิงอ๋องร้องได้ดีมาก ดีจริงๆ!”
ทั้งห้องส่งเงียบกริบ มีเพียงเสียงปรบมืออย่างประดักประเดิดของเขาที่ดังขึ้น ยิ่งฟังยิ่งอ่อนแรงลงเรื่อยๆ …
เห็นได้ชัด
ว่าเหลิ่งเฉวียนเองก็รับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาตอบสนองอันกระอักกระอ่วนของตน ใบหน้าเปลี่ยนจากสีขาวซีดกลายเป็นแดงช้ำราวกับตับหมู ถึงขั้นที่สายตามองหาทางออกจากห้องส่งตามสัญชาตญาณ
ความเสียใจอัดแน่นเต็มอก
วันนี้ฉันมาทำอะไรฟระเนี่ย!
ทำไมไม่มาให้เร็วหรือช้ากว่านี้!
ดันมาในสัปดาห์ที่สามพอดิบพอดี!
ดันมาในช่วงเวลาที่หลานหลิงอ๋องระเบิดพลังพอดี!
ทำให้ฉันดูเหมือนมาให้หลานหลิงอ๋องตบหน้าถึงที่!
นอกจากนั้นเจ้าหลานหลิงอ๋องคนนี้ยังขึ้นร้องเพลงบนเวทีเป็นคนแรกด้วย!
เพี้ยะๆๆ!
เสียงตบหน้านี้ดังลั่นทะลวงโสตประสาท แถมยังกระหน่ำรัวจนหน้าชา!
เขารู้สึกประหนึ่งตนเป็นตัวตลกซึ่งปรากฏตัวในฉากอันน่าสลดใจที่สุด รู้สึกอึดอัดจนอกแทบแตก!
“อ่า จริงสิ!”
กรรมการประเมินซึ่งเป็นดาราและอาจหาญชาญชัยมากคนหนึ่งเอ่ยขึ้นฉับพลัน “ฉันดูไลฟ์สดของอาจารย์เหลิ่งเฉวียน อาจารย์เหลิ่งเฉวียนบอกว่าถ้าอาจารย์หลานหลิงอ๋องตบหน้าเขาได้ เขาจะกินเก้าอี้ให้ดู!”
“เหลวไหล!”
เหลิ่งเฉวียนโต้กลับทันควัน ก่อนจะพูดอย่างตะกุกตะกัก “คุณอย่ามาใส่ร้ายผม…ที่ผมพูดคือ…ผมจะโค้งขอโทษอาจารย์หลานหลิงอ๋องต่างหาก…มีที่ไหนกินเก้าอ้งกินเก้าอี้…”
เขาพยายามเน้นย้ำ
ผู้ชมกลอกตา
งั้นคุณจะหลบทำไม
ไม่ได้จะให้กินเก้าอี้จริงๆ สักหน่อย!
เหลิ่งเฉวียนก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าอย่างไรวันนี้เขาก็หลบไม่พ้น ท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ของผู้ชม จะไม่ชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปได้อย่างไร เขาทำได้เพียงข่มความอับอาย และโค้งให้หลินเยวียน
ผ่านไปนาน
กว่าเขาจะกลับมาเหยียดตัวตรงอีกครั้ง
ไม่ใช่ว่าเขาอยากโค้งนานหรอก แต่เป็นเพราะเขาคิดว่าโค้งให้นานสักหน่อย ทุกคนจะได้มองไม่เห็นใบหน้าบูดเบี้ยวของเขา อีกอย่างเอวของเขาเจ็บ จึงยืดตัวกลับมาไม่ได้ไปชั่วขณะ…
ชั่วขณะนั้นเหลิ่งเฉวียนพลันรู้สึกดีใจขึ้นมาเล็กน้อย
โชคดีที่ตนฉลาดเฉลียว ไม่ได้ไปสาบานไว้
เก้าอี้ในห้องส่งเขานั่งอยู่ตั้งนาน เห็นชัดๆ ว่าทำจากโลหะ ให้ความรู้สึกเหน็บหนาวสุดขั้ว ขืนต้องกินขึ้นมาจริงๆ ได้ไปสู่สุคติจริงๆ แน่
ไม่ใช่แค่ล้างท้อง
แต่ฟันในปากก็จะเป็นปัญหาเหมือนกัน
“พูดอะไรอีกหน่อยสิครับ”
ผู้ชมด้านล่างเวทีตะโกนบอก
แต่ว่า ท่ามกลางเสียงตะโกนของผู้ชม ก็ยังมีคนอีกส่วนหนึ่งซึ่งพูดไปในทำนองเดียวกับเหลิ่งเฉวียน
ทว่าในตอนนี้พวกเขาก็กำลังเผชิญกับอาการความจำเสื่อมไปซะแล้ว
เหลิ่งเฉวียนกดเสียงต่ำ “ขอโทษด้วยครับอาจารย์หลานหลินอ๋อง ก่อนหน้านี้ผมปากไวไปหน่อย แต่ผมก็พูดไปตามเนื้อผ้า…”
พูดไปตามเนื้อผ้า?
ห้องส่งหัวเราะครืน
ยังจะปากแข็งอีก
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเสียงหัวเราะ จู่ๆ หลานหลิงอ๋องก็หยิบไมโครโฟนขึ้นมา เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “กลับไปฟังเพลงนี้อีก”
กลับไปฟังเพลงนี้อีก?
เหลิ่งเฉวียนชะงักไป ทันใดนั้นก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดขึ้นไปอีก
เขาคล้ายว่าจะเข้าใจความหมายของสิ่งที่หลานหลิงอ๋องพูด เช่นเดียวกับเพลงที่เขาร้องในวันนี้
‘ผืนน้ำเย้ยเยาะ’
ถอดความหมายคร่าวๆ ก็คือ
‘ฉันไม่สนใจหรอกว่าคุณจะพูดกันว่าอย่างไร’
อย่างน้อยเหลิ่งเฉวียนก็ตีความเช่นนี้
เสียงปรบมือดังขึ้น
ยังมีใครกล้าครหาว่าหลานหลิงอ๋องไร้ซึ่งวุฒิภาวะทางอารมณ์อีก?
คำพูดนี้แสดงถึงวุฒิภาวะทางอารมณ์อย่างชัดเจน!
ปราศจากความเย่อหยิ่ง…
ปราศจากการเสแสร้ง…
แต่ละคนสามารถตีความประโยคนี้ได้ต่างกัน
ยกตัวอย่างเช่น ประโยคนี้สามารถตีความให้เป็นคำพูดที่เจ็บแสบสักหน่อยว่า ‘ฟังเพลงให้มาก พูดให้น้อย ความฉิบหายที่เกิดขึ้นเพราะปากคุณเองนั่นแหละ’ หรือ ‘แค่เพลงนี้คุณยังหน้าแตกไม่พออีกหรือ’
กลับเป็นพิธีกรที่ยังไม่ลืมทำหน้าที่ ยิ้มพลางกู้สถานการณ์ ‘งั้นตอนนี้อาจารย์เหลิ่งเฉวียนลองทำนายอันดับในสัปดาห์นี้อีกสักรอบดีกว่าครับ’
แบบนี้บ้านแกเรียกกู้สถานการณ์เรอะ?
นี่มันเรียกว่ามีเจตนาฆ่ากันมากกว่าโว้ย!
……………………………………………..