ฟุ่บ!
ผ้าเช็ดหน้าสีขาวตั้งตรงเหมือนกับมีดแข็งๆ แล้วเฉือนผ่านลำคอของเขาไป
ทันใดนั้นดวงตาของใต้เท้าเฉินก็เบิกกว้าง
เลือดหยดลงมาบนมือของเขา ใต้เท้าเฉินทำได้เพียงจับคอของตัวเองเล็กน้อยก่อนที่ร่างทั้งร่างของเขาจะทรุดลงไปกระตุกอยู่บนพื้น เสียงคำรามดังลอดออกมาจากลำคอของเขา แล้วจากนั้นศีรษะของเขาก็เอียงไปทางหนึ่งก่อนจะสิ้นใจไป
องครักษ์เงาว่องไวอย่างมาก ทันทีที่ใต้เท้าเฉินทรุดตัวลง พวกเขาก็รีบลากร่างนั้นออกไป แล้วทำความสะอาดเลือดอย่างรวดเร็ว กระบวนการทั้งหมดล้วนแต่ดูเป็นมืออาชีพอย่างมาก พวกเขาไม่แม้แต่จะกะพริบตากับเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ
เวลานี้เสนาบดีหัวโบราณหลายคนรู้สึกตกใจอย่างสุดขีด และมือของพวกเขาก็สั่นระริก
องค์ชายได้แสดงเจตนาของตัวเองให้เห็นเป็นที่ชัดเจนแล้ว แต่ใต้เท้าเฉินกลับยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแต่งงานทางการเมืองนี้
และก่อนหน้านี้ ใต้เท้าเก๋อก็ถูกลากตัวออกไปในลักษณะเดียวกัน…
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์อยู่ใกล้กับใต้เท้าเฉินที่สุด กระโปรงยาวที่นางทุ่มเทเตรียมมาด้วยเป็นอย่างดีบัดนี้กลับเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด เวลานี้นางดูค่อนข้างอายมากทีเดียว ใบหน้าของนางร้อนผ่านด้วยความรู้สึกอับอายที่เพิ่มมากขึ้น เขากำลังปฏิเสธนางอยู่หรือ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง แต่เขาไม่ได้ชายตามององค์หญิงเลยแม้แต่นิดเดียว เขาถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ของตัวเองออก แล้วห่มมันลงบนศีรษะของเฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับรั้งร่างของนางเข้าหาตัว เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ”ใครอนุญาตให้เจ้าเปิดเผยใบหน้าของตัวเองออกมาหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยายามแก้ตัว ”ผ้าคลุมตัวนั้นมันบังตาข้า”
“ต่อให้มันจะบดบังสายตาของเจ้า แต่อย่างไรเจ้าก็ต้องสวมเอาไว้อยู่ดี” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลูบกลุ่มผมที่อยู่ตรงหน้าเขาพลางส่งสายตาทิ่มแทงไปทางซงเจิ้งเหวินเหริน สายตาของเขาเย็นชาดุจน้ำแข็ง
ตอนนั้นเองซงเจิ้งเหวินเหรินจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาเอาแต่จ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวยมาตั้งแต่ต้น
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์กัดริมฝีปาก ทันใดนั้นนางก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงนุ่มนวลของนางเต็มไปด้วยความดื้อรั้น ”องค์ชายเพคะ ไม่ว่าท่านจะตัดสินใจเช่นใด แต่หม่อมฉันก็ยังต้องบอกให้ท่านได้รู้เพคะว่าหม่อมฉันชอบท่านจริงๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เหลือบมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างตัว และลอบถอนหายใจออกมาอย่างแรงในใจ ช่างเป็นความงามที่อันตรายอะไรเช่นนี้ เขาดึงดูดผู้หญิงเข้าหาตัวอย่างกับผึ้งไม่มีผิด
แต่นางไม่กลัวเลยแม้แต่น้อยว่าสุดท้ายเขาจะเปลี่ยนใจ
แค่ชายหนุ่มรูปงามไม่กี่คน นางหาเพิ่มได้อยู่แล้ว รอดูก็แล้วกันว่าฮาเร็มของใครจะใหญ่กว่ากัน!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้ว่าจิ้งจอกน้อยของตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว ดังนั้นเขาจึงยื่นมือออกไปคว้าเอวนาง เขาลดเสียงลงและหัวเราะเบาๆ ข้างหูนางพร้อมกับเพิ่มแรงบีบที่เอวนั้น แล้วพูดขึ้นเหมือนเตือนว่า ”ถ้าเจ้าทำตามที่เจ้ากำลังคิดอยู่ละก็ ข้าจะมัดเจ้าเอาไว้กับเตียง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยสะดุ้งเฮือก นางทำหน้าตาใสซื่อขณะบอกว่า ”ข้าไม่ได้คิดอะไรเสียหน่อย”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางด้วยสายตาเย็นชาราวกับกำลังมองตัวตลก แล้วจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า ”ข้าเป็นปีศาจรับใช้ของเจ้า เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะรับรู้ถึงกระแสจิตของเจ้าไม่ได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวย: …. บัดซบ! นี่มันรุกล้ำความเป็นส่วนตัวกันชัดๆ! อย่างนี้ก็หมายความว่าตั้งแต่นี้ไปข้าจะคิดเรื่องชั่วร้ายไม่ได้อีกเลยรึ น่าหงุดหงิดชะมัด…
“ได้สิ เจ้ายังคิดเรื่องอย่างว่าได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มหน้าลงแล้วจูบเข้าที่มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยเหมือนไม่มีใครอยู่ที่นั่น เขาไม่สนใจคนที่กำลังจ้องตัวเองอยู่เลยด้วยซ้ำ จากนั้นเขาจึงใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นกระซิบข้างหูนางของนางว่า ”…แต่เจ้าสามารถทำเรื่องอย่างว่านั่นได้กับข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น เจ้าสามารถทำทุกอย่างตามที่ตัวเองต้องการได้เลย ฮูหยินของข้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวย: … หยุดพูดเหมือนตัวเองเป็นชายขายบริการเสียทีได้ไหม!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะเหมือนพอใจกับอาการหงุดหงิดของเฮ่อเหลียนเวยเวย แม้กระทั่งดวงตาของเขาก็ยังดูเหมือนจะทอแสงเป็นประกายยิ่งขึ้น
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์นึกไม่ถึงว่าการสารภาพรักของนางจะถูกเมินไปเช่นนั้น
ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ชายคนนั้นก็ไม่แม้แต่จะชายตามองนางเลยแม้แต่นิดเดียว!
“องค์ชายเพคะ ทำไมท่านถึงทำเช่นนี้กับหม่อมฉันเล่า หม่อมฉันผิดหรือเพคะที่รักท่าน” น้ำตาของซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ร่วงเผาะ ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของนางงดงามราวกับดอกสาลี่ต้องสายฝน
ภาพนี้ทำให้บรรดาผู้แทนและผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากเมืองอื่นๆ รู้สึกสงสารนาง
เด็กสาวเช่นนางควรได้รับการเอาอกเอาใจ แม้ว่าองค์ชายสามแห่งจักรวรรดิจ้านหลงจะไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะแต่งงานกับนาง แต่เขาก็ไม่ควรทำให้เด็กสาวต้องอับอายขายหน้าเช่นนั้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หันไปมองซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์รู้สึกมีความหวังขึ้นมา นางช้อนตาแดงๆ ชุ่มโชกไปด้วยหยาดน้ำตาขึ้นมองเขา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มด้วยความสุภาพและสง่างามอย่างไร้ที่ติ ”เจ้าถามข้าอยู่หรือว่าเจ้าทำอะไรผิด อันที่จริงข้าก็อยากถามเจ้าเหมือนกันว่าทำไมเจ้าถึงเอาแต่เสนอตัวให้ข้าทั้งที่ข้าไม่ได้มีเยื่อใยให้เจ้าเลยแม้แต่น้อย เจ้ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ผู้หญิงเมืองเซวียนหยวนขาดความรักถึงเพียงนี้เชียวหรือ เจ้ากระหายอยากได้มันมากเสียจนต้องทำลายชีวิตแต่งงานของผู้อื่นเชียวหรือ”
เมื่อได้ยินดังนี้ เด็กชายตัวน้อยก็ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว เดิมทีนั้นเขาวางแผนเอาไว้ว่าจะเข้าร่วมการวิวาทครั้งนี้ด้วยหากพี่สะใภ้สามเป็นคนเริ่ม
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนที่หัวเสียจะกลายเป็นพี่สามแทนเสียแล้ว เขาขออยู่ให้ไกลจากเรื่องนี้ดีกว่า เวลาที่พี่สามโกรธ มนุษย์ธรรมดาย่อมไม่สามารถต้านทานความโกรธของเขาได้
ยกตัวอย่างเช่นคำพูดเมื่อครู่นี้ที่เขาเพิ่งพูดไป มันอาจจะฟังดูสุภาพ แต่ที่จริงแล้วเขาหมายความว่านางก็เป็นแค่หญิงใจง่ายคนหนึ่งเท่านั้น
มีหรือที่คนในท้องพระโรงแห่งนี้จะไม่เข้าใจประโยคนั้น
ทันทีที่ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ได้ยินคำตอบของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำก่อนจะกลายเป็นซีดเผือดในที่สุด ร่างของนางสั่นเทิ้มจนแทบทรุดลงกับพื้น
องค์หญิงผู้เพียบพร้อมเช่นนางไม่เคยถูกเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน
เขาคิดว่านางเป็นคนเช่นใด!
ผู้อาวุโสซวีอู๋ทนดูสถานการณ์นี้ไม่ไหวอีกต่อไป ”องค์ชายสาม กระหม่อมคิดว่าเมืองของท่านเป็นเมืองผู้ดีมีการศึกษา ดังนั้นท่านควรจะรู้ไว้ว่า…”
“ข้าเห็นด้วย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขัดขึ้นอย่างช้าๆ ความเย็นชาแผ่ออกมาจากดวงตาของเขา ”และในฐานะเมืองผู้ดี ย่อมไม่มีเมืองใดส่งองค์หญิงของตัวเองมาเป็นของกำนัลให้คนอื่นราวกับว่านางเป็นสิ่งของ ทำไมเจ้าไม่ลองถามใต้เท้าหวังจากเมืองหวงจื่อดูเล่าว่าพวกเขาจะทำเช่นเดียวกันนี้กับองค์หญิงของตัวเองหรือเปล่า”
“ไม่มีทางพ่ะย่ะค่ะ!” ใต้เท้าหวังปฏิเสธทันควัน นี่เป็นเรื่องของเกียรติยศระดับชาติทีเดียว!
รอยยิ้มของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ่งเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ”เห็นหรือเปล่า นี่เป็นสิ่งที่แม้กระทั่งเมืองหวงจื่อยังไม่มีวันทำ แต่ในเมื่อเมืองเซวียนหยวนได้กระทำการเช่นนี้ไปแล้ว ข้าจึงแค่ปฏิเสธข้อเสนออันป่าเถื่อนนี้ก็เท่านั้น แต่ท่านกลับยังคิดที่จะอบรมมารยาทข้าอีกหรือ หึ…”
แม้เขาจะไม่ได้เผยความนัยที่ซ่อนอยู่หลังเสียงหัวเราะนั้นออกมา แต่ทุกคนก็สามารถเข้าใจมันได้ เขาหมายความว่าคนของเมืองเซวียนหยวนไม่สมควรที่จะได้รับความสนใจจากเขาแต่อย่างใด
ใบหน้าของผู้อาวุโสซวีอู๋เปลี่ยนเป็นสีเขียว เขากำนิ้วเข้าหากันแล้วตวัดสายตาไปมองใต้เท้าหวัง
ใต้เท้าหวังจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขากลายเป็นกระสุนปืนใหญ่ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไปเสียแล้ว
บัดซบ!
สามเมืองควรรวมเป็นหนึ่งเพื่อจัดการกับจักรวรรดิจ้านหลงต่างหาก!
ทำไมดันกลายเป็นว่าเขาช่วยไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจัดการผู้อาวุโสซวีอู๋แทนเสียนี่
คนคนนี้… ผู้ชายคนนี้!
ใต้เท้าหวังไม่รู้จะสรรหาคำใดมาอธิบายไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลย เขาอึ้งจนพูดไม่ออก
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ข้างๆ และกำลังเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น
ก่อนที่นางจะได้รู้จักองค์ชาย นางเคยคิดว่าตัวเองก็เป็นคนหน้าด้านหน้าทนพอตัว
แต่หลังจากนางได้รู้จักเขา นางก็ค้นพบว่าผู้เชี่ยวชาญด้านนี้นั้นแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
คำพูดดูถูกของเขาถึงกับสามารถทำลายมิตรภาพระหว่างอีกฝ่ายได้เลยทีเดียว อัจฉริยะเสียไม่มี!
ไม่แปลกใจเลยที่องค์ชายเคยบอกว่าวิธีการของนางยังโหดเหี้ยมไม่พอ นางรู้จักแต่เพียงการปลิดชีพและต่อสู้อย่างตรงไปตรงมา และการหลับหูหลับตาบุกเท่านั้น ดูเหมือนว่านางจะยังฝีมือไม่ถึงขั้นจริงๆ
ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้ซึ้งถึงความโหดเหี้ยมของเขา
นางมองใบหน้าของผู้อาวุโสซวีอู๋ และใต้เท้าหวัง จากนั้นจึงมองไปที่สีหน้าของซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์… การตบหน้าครั้งนี้ฟาดเข้าที่ใบหน้าของพวกเขาอย่างจังจนร้องไห้ไม่ออกแม้จะเจ็บเพียงใดก็ตาม น่าสงสารเสียจริง…