ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากอีกสองเมืองเดินออกมา พวกเขาแสยะยิ้มเมื่อเห็นชายหนุ่มตัวแทนของจักรวรรดิจ้านหลง
“ดูหมอนั่นแต่งตัวเข้าสิ แม้แต่อาคมตรึงวิญญาณจะรู้จักหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“หึ อาคมตรึงวิญญาณหรือ ข้าว่าเขายังสัมผัสถึงพวกมันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเหล่านั้นหัวเราะด้วยกัน พวกเขาอายุยังไม่มากนัก แต่ละคนล้วนอยู่ในวัยเลขสอง แต่พลังที่แผ่ออกมาจากร่างของพวกเขานั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถประมาทได้เลยทีเดียว
การวัดความสามารถของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนหนึ่งนั้นสามารถวัดได้จากการแต่งกายและอุปกรณ์ที่คนคนนั้นใช้ ยิ่งครบเครื่องเพียงใด พลังของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนั้นก็ยิ่งแข็งแกร่ง
เมื่อทั้งสามเมืองจับมือร่วมพันธมิตรกัน ดังนั้นจึงเป็นที่แน่นอนว่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่พวกเขาส่งออกมาจึงมีแต่ผู้เชี่ยวชาญในสาขาอาคมของตัวเองทั้งสิ้น
เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังเอาเปรียบจากการที่จักรวรรดิจ้านหลงไร้ผู้ที่จะสามารถประมือกับพวกเขาได้
นี่มันรังแกกันชัดๆ!
ความโกรธที่สั่งสมและความรู้สึกอยุติธรรมที่เขารู้สึกอยู่ในใจทำให้เขาไม่สามารถทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป แต่ถึงเขาจะเป็นคนขออาสาลงประลอง เขาก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาต้องทำคืออะไรกันแน่
นอกจากนี้ เขาก็ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่เมืองเซวียนหยวนยังไม่ได้ส่งออกมานั้นแข็งแกร่งและมีจำนวนมากเพียงใด บนร่างของพวกเขามีทั้งยันต์และกระบี่คู่ อีกทั้งที่เอวของพวกเขาก็ยังมีกระทั่งเชือกตรึงวิญญาณห้อยอยู่…
เมืองเซวียนหยวนยังไม่ได้ส่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายฝีมือดีที่สุดของตัวเองออกมา เพราะสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ไม่จำเป็นต้องให้ถึงมือคนพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ ลำพังแค่คนที่ส่งออกมาตอนนี้ก็สามารถรับมือกับพวกเขาได้แล้ว
ถ้าบอกว่าไม่กลัวก็คงเหมือนโกหก ชายหนุ่มเป็นเพียงแค่มือสมัครเล่นเท่านั้น ประสบการณ์ทั้งหมดที่เขามีล้วนแต่ได้มาจากการมองเห็นรูปร่างหน้าตาของวิญญาณสมัยที่ร่ำเรียนวิชาอยู่กับบรรดาผู้อาวุโสเท่านั้น แต่มาตอนนี้เขากลับต้องมาต่อสู้กับพวกมันด้วยตัวเอง แม้เขาจะไม่รู้สึกมั่นใจเลยแม้แต่นิดเดียว แต่อย่างน้อยเขาก็ต้องลองดู!
“ยกที่หนึ่ง การประลองอาคมตรึงวิญญาณ นี่เป็นก้าวแรกสำหรับการขับไล่วิญญาณร้าย ถ้ากระทั่งขั้นตอนนี้เจ้าก็ยังไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นก็ลืมเรื่องการคุ้มกันผนึกขับไล่วิญญาณร้ายไปได้เลย!” ผู้อาวุโสซวีอู๋ว่าพลางปรายตามองคนของจักรวรรดิจ้านหลง
พูดตามตรงว่าหลิวอวี้รู้สึกกระวนกระวายยิ่งนัก เขารู้สึกเป็นห่วงองค์ชายสาม ถ้าการประลองนี้ไม่ได้จบลงที่พวกเขาเป็นฝ่ายชนะ เช่นนั้นผลลัพธ์ที่จะตามมาย่อมไม่อาจจินตนาการได้
ขันทีสองคนที่สนับสนุนการแต่งงานทางการเมืองของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูเหมือนคิดถึงจุดจบอันเลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว พวกเขาจึงพากันส่ายหน้าและถอนหายใจออกมา
ถ้าจะให้พูดง่ายๆ อาคมตรึงวิญญาณก็คืออาคมที่ใช้มัดวิญญาณอยู่กับที่เพื่อควบคุมไม่ให้มันไปทำร้ายผู้อื่น
“เจ้าต้องร่ายอาคมในการประลองยกแรกให้เสร็จภายในครึ่งก้านธูป และเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น หากใครไม่สามารถตรึงวิญญาณอาฆาตตามระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ได้ ข้าจะเป็นคนรับมือกับวิญญาณตนนั้นด้วยตัวเอง ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ผู้อาวุโสซวีอู๋พูดพร้อมกับหยิบกระเป๋าใส่ผ้ายันต์ที่อยู่ในเสื้อออกมา ”นี่เป็นวิญญาณร่อนเร่ที่ตายไปไม่ถึงหกเดือน พวกข้าบังเอิญพบนางเข้าระหว่างทางมาที่นี่ นางตายด้วยอุบัติเหตุ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางมีปราณแห่งความเคียดแค้นอยู่ในร่าง นางกำลังมองหาดวงวิญญาณมาแทนที่นางอยู่ หากไม่สามารถรับมืออย่างเหมาะสม ในอีกสามเดือนนางจะกลายร่างเป็นวิญญาณร้าย ตอนนี้ที่เจ้าต้องทำก็คือตรึงนางไว้ คนที่เร็วกว่าจะได้เป็นผู้ชนะ”
“แค่นั้นหรือขอรับ นี่มันจะง่ายเกินไปแล้ว” เหลิ่งอี้ ตัวแทนของเมืองเซวียนหยวนเหยียดริมฝีปากด้วยความดูถูก
ผู้อาวุโสซวีอู๋ลูบเคราของตัวเองด้วยรอยยิ้ม ”พวกเราต้องรู้จักเห็นใจมือสมัครเล่นด้วย มิฉะนั้นอาจมีใครกล่าวหาว่าคนเมืองเซวียนหยวนชอบรังแกและเอาเปรียบผู้อื่นเพียงเพราะพวกเราสืบเชื้อสายมาจากตระกูลของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเอาได้”
“เข้าใจแล้วขอรับ” เหลิ่งอี้ยักไหล่
ผู้อาวุโสซวีอู๋หมุนตัวกลับ แล้วจึงเอ่ยต่อ ”ทั้งสี่คนเข้ามาในวงกลม แล้วยืนประจำที่ตามทิศเหนือ ใต้ ออก ตก เจ้าควรรู้ไว้ว่าทันทีที่วิญญาณตนนั้นเป็นอิสระ มันจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหลบหนี หากวิญญาณผีสาวตนนั้นวิ่งไปทางใคร ให้คนคนนั้นตรึงนางไว้ เข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ!” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากทั้งสามเมืองขานรับด้วยความกระฉับกระเฉง แม้ชายหนุ่มจะหน้าซีด แต่เขาก็ยังขานตอบ กระนั้นมันก็ยังฟังดูขาดความมั่นใจอยู่เล็กน้อย
ผู้อาวุโสซวีอู๋มั่นใจอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะเป็นผู้ชนะในรอบนี้ เจ้าหนุ่มคนนั้นดูตื่นสนามอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่วิญญาณผีสาวตนนั้นถูกปล่อยตัวออกมา เขาจะมิกลัวจนตัวแข็งเลยหรือ
“เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนเข้าใจกติกาดีแล้ว เช่นนั้นก็มาเริ่มกันเลยเถอะ” ผู้อาวุโสซวีอู๋ยกแขนขึ้น แล้ววางกระเป๋าใส่ผ้ายันต์ลงกลางวงประลอง
ไม่นานหลังจากนั้น กระเป๋าที่อัดแน่นไปด้วยผ้ายันต์ก็เริ่มหมุน จากนั้นเส้นผมสีดำหนาทึบกลุ่มหนึ่งจึงค่อยๆ โผล่ออกมา มันเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวทีเดียว
จากนั้นก็เป็นตา จมูก และปาก…
วิญญาณตนนั้นคลานออกมาด้วยความรวดเร็วราวกับว่าในที่สุดนางก็มองเห็นทางออกที่นางตามหามาตลอด หากไม่ใช่เพราะรอบตัวของพวกเขามีผู้คนรายล้อมอยู่มากมาย ป่านนี้เหล่าขุนนางทั้งหลายคงจะหนีเตลิดไปไกลแล้ว!
สภาพของนางน่าสยดสยองยิ่งนัก ผีสาวมีสภาพเหมือนคนที่ถูกอะไรสักอย่างทับ ทีแรกนางเพียงแค่หันหน้าไปทางหนึ่งด้วยดวงตาว่างเปล่า แต่จากนั้นจู่ๆ นางก็พุ่งไปทางนั้นเต็มแรง
เหลิ่งอี้พึมพำเสียงเบาก่อนจะวาดมือเป็นสัญลักษณ์ ”นิ่ง!”
ผีสาวหยุดอยู่กับที่เหมือนมีอะไรขวาง เมื่อรู้ว่าไม่สามารถหนีไปทางนี้ได้ นางจึงกัดฟันแล้วกระโจนไปทางด้านหลังแทน!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากเมืองหวงจื่อคิดไม่ถึงว่าพลังหยินในตัวของนางจะหนาแน่นถึงเพียงนี้ เขาเกือบจะพลาดท่า แต่สุดท้ายเขาก็สามารถตรึงผีสาวให้อยู่กับที่ได้!
เหล่าขุนนางยืนตัวสั่นงันงกอยู่ข้างการประลอง ถ้านางหลุดออกมาจากวงได้ นางจะตรงเข้าสิงร่างใครสักคน
ทันทีที่สิงร่างได้ ความคิดของพวกเขาจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของนาง
วิญญาณแตกต่างจากมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิญญาณที่ตายได้ยังไม่ถึงครึ่งปี พวกมันสามารถรู้สึกถึงมนุษย์ได้จากลมหายใจของพวกเขา
ผีสาวตนนี้มีสติปัญญาอย่างเห็นได้ชัด หลังจากลองพยายามอยู่สองครั้ง นางก็สามารถระบุได้อย่างแม่นยำว่าตำแหน่งไหนที่มีเสียงหายใจดังที่สุด และตำแหน่งที่มีการป้องกันอ่อนแอที่สุดก็คือตำแหน่งนั้นนั่นเอง นางก้าวถอยหลังไปสองก้าวพร้อมกับหมุนศีรษะกลับไปก่อนจะหมุนร่างตาม นางมองไปทางชายหนุ่ม หมอกสีดำหนาทึบทะลักออกมาจากลูกตาสีดำของนาง…
“ไม่ได้การ! นางกำลังจะกลายร่างเป็นวิญญาณร้ายแล้ว!” หลิวอวี้ผุดลุกขึ้นเมื่อเห็นภาพนี้จากข้างการประลอง
ผู้อาวุโสซวีอู๋ลดเสียงลง แล้วเอ่ยว่า ”ใจเย็นๆ นางเพียงแค่หัวเสียเพราะเมื่อครู่นี้นางไม่สามารถทำลายสิ่งที่ขวางทางตัวเองเอาไว้ได้เท่านั้น นางยังไม่ได้กลายเป็นปีศาจ”
หลิวอวี้ยังคงมองไปที่ชายหนุ่มคนนั้นอย่างเป็นห่วง
ไม่เพียงแต่ที่หน้าผากของชายหนุ่มเท่านั้นที่วาววับไปด้วยเหงื่อ แต่แม้กระทั่งแผ่นหลังของเขาก็ยังเปียกโชก เขาเอ่ยคาถาที่ได้ยินมาจากเหลิ่งอี้ซ้ำไปซ้ำมา
แต่วิญญาณผีสาวกลับดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากมันแต่อย่างใด นางแสดงท่าทางระมัดระวังออกมาเล็กน้อยในตอนแรก แต่หลังจากนางเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างถ่องแท้ นางก็ปรี่เข้าไปหาชายหนุ่ม และในขณะที่คมเขี้ยวของนางกำลังจะฝังเข้าไปในร่างของเขานั่นเอง…
… ร่างร่างหนึ่งก็พลันพุ่งผ่านหน้านางไป
กว่าผู้ชมจะตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็กระชากร่างของชายหนุ่มไปยืนข้างๆ แล้ว เสื้อคลุมเหนือศีรษะปิดบังใบหน้าของนางเอาไว้ จะเห็นก็แต่เพียงดวงตาสว่างไสวราวกับดวงดาวตอนที่นางยืนหยัดเผชิญหน้ากับผีสาวเท่านั้น
นางไม่ได้ร่ายคาถาหรืออาคมใดๆ แต่กลับทำเพียงแค่พูดออกมาว่า ”กลับไป”
น้ำเสียงของนางไม่ได้แผ่วเบาหรือหนักแน่นจนเกินไป
วิญญาณผีสาวหัวเราะอย่างน่าขนลุกเหมือนดูถูกความโง่เขลาของมนุษย์ตรงหน้า เลือดไหลออกมาจากเบ้าตาคู่นั้นของนาง ขณะที่นางยื่นนิ้วสีดำของตัวเองออกไป แล้วกางกรงเล็บใส่เฮ่อเหลียนเวยเวย ”เจ้าเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ดังนั้นย่อมเหมาะสมที่จะเป็นร่างให้ข้า ฮ่าๆๆ”
ทันทีที่เห็นภาพนี้ ทุกคนก็คิดขึ้นมาในใจพร้อมกันว่า พระชายาสามคงไม่รอดแน่!
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลับอยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคน เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ที่เดิมด้วยดวงตาสว่างไสว นางไม่ขยับเลยแม้แต่นิ้วเดียว ราวกับว่าภูตผีวิญญาณตนใดก็ไม่อาจเอาชนะนางได้ ริมฝีปากบางของนางเผยอขึ้นเล็กน้อย ปลายนิ้วของนางมีแสงเรืองรองออกมา จากนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงนางเอ่ยคาถาเก้าอักขระขึ้นเบาๆ ว่า ”ทหารตั้งแนวรบ เรียงแถวหน้าข้า…”