จ้าวอิ๋งเก้อสติแตก…
ผู้จัดการกำลังขับรถ ส่วนเธอนั่งอยู่เบาะหลังด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
“คุณตั้งสติก่อน”
ผู้จัดการหยุดรถที่ไฟแดง เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
จ้าวอิ๋งเก้อแลดูราวกับถูกดูดพลัง เสียงของเธอแหบแห้งและไร้เรี่ยวแรง
“อาจารย์เซี่ยนอวี๋บอกว่าฉันทำได้แค่เสียงสูงกับระเบิดพลัง…”
“แฟนคลับฉันก็ไปด่าเขา…”
“เดิมทีเขาก็ไม่ได้คิดว่าฉันโดดเด่นอยู่แล้ว…”
“ตอนนี้แฟนคลับฉันไปรุมเขาอีก…”
“…”
ผู้จัดการหัวจะปวด
จ้าวอิ๋งเก้อท่องวนสามสี่ประโยคนี้ไปตลอดทาง
เธอเอ่ยอย่างจนใจ “พวกเราก็ทำได้แค่คาดเดา หลานหลิงอ๋องคือเซี่ยนอวี๋ใช่ไหมเป็นเรื่องที่ยังยืนยันไม่ได้ กู้ตงมาที่นี่หมายความว่าหลานหลิงอ๋องคือเซี่ยนอวี๋งั้นหรือ?”
“ความเป็นไปได้สูงมาก…”
“ดี คิดว่าเขาเป็นเซี่ยนอวี๋ก็ดีแล้ว งั้นคุณไม่คิดว่านี่คือโอกาสเหรอ?”
“ตอนแรกก็ใช่”
“ตอนนี้ก็ยังใช่! คุณเองก็พูดไม่ใช่หรือ เริ่มแรกพระเอกไม่ชอบใจนางเอก เพราะความเข้าใจผิดบางอย่าง แต่หลังจากนั้น…”
“ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องความเข้าใจผิด”
“ใครไม่เคยอ่านนิยายรักบ้าง…คุณลองคิดดู ตัวเองมีความเป็นนางเอกไหม?”
“ก็ได้อยู่นะ?”
จ้าวอิ๋งเก้อซึ่งหมดอาลัยตายอยาก ค่อยๆ ฟื้นคืนชีพขึ้นมา
ผู้จัดการถือโอกาสตีเหล็กตั้งแต่ยังร้อน “ตอนนี้โอกาสมาวางอยู่ตรงหน้า ไม่มีใครรู้ มีแค่คุณที่รู้ ควรทำยังไงคงไม่ต้องให้ฉันเตือนใช่ไหมคะ”
“เตือนหน่อยก็ได้!”
จ้าวอิ๋งเก้อชี้ไปยังสมองของตน “ตอนนี้เจ้านี่ไม่ฟังคำสั่ง”
“…”
ผู้จัดการถอนหายใจ เริ่มเหยียบคันเร่งเมื่อไฟเขียวติด
“ก่อนอื่นคุณต้องแสร้งว่าคุณไม่รู้เรื่องนี้ อย่างน้อยก่อนที่เซี่ยนอวี๋จะถอดหน้ากาก คุณจะโป๊ะแตกไม่ได้ หลังจากนั้นก็ทำดีกับเขาอย่างแนบเนียน อย่างแนบเนียนคุณเข้าใจใช่ไหมคะ”
“พอเข้าใจ”
“หลังจากนั้นคุณต้องทำให้แฟนคลับตั้งสติ อย่าไปรุงรังกับหลานหลิงอ๋องตลอดเวลา ทางแฟนคลับเดี๋ยวฉันไปจัดการเอง”
“อันนี้ฉันรู้!”
“เรื่องสุดท้ายคือประเด็นสำคัญที่สุด เซี่ยนอวี๋ให้ความสำคัญกับความสามารถของนักร้อง คุณร้องเพลงให้ดี แสดงฝีมือของตัวเองออกมาให้ดีก็พอแล้ว ไม่ว่าเขาจะใช่หรือไม่ใช่เซี่ยนอวี๋ อย่างน้อยเราก็ไปล่วงเกินคนเขาไม่ได้”
“แค่นี้เอง?”
“แล้วทำแบบไหนได้อีกล่ะคะ”
“งั้นจะไปต่างอะไรกับการที่ไม่รู้เลย?”
“ต่างกันตรงที่…คุณจะทำเหมือนหยวนซีไม่ได้ เหม็นหน้าหลานหลิงอ๋องแล้วถึงขั้นออกตัวท้าทาย”
“อ้อ!”
จ้าวอิ๋งเก้อกระจ่างในทันใด
ถ้าไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลานหลิงอ๋อง ไม่แน่เธออาจจะพลาดพลั้งไปล่วงเกินอีกฝ่ายได้ ถึงอย่างไรเธอก็ไม่นับว่าเป็นคนใจเย็นเท่าไหร่นัก
ถ้าเกิดจับพลัดจับผลูไปล่วงเกินอีกฝ่ายเข้า และสิ่งที่คาดเดานั้นถูกต้อง นั่นก็เท่ากับโศกนาฏกรรมของมนุษยชาติขึ้นจริงๆ
ผู้จัดการเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพียงแต่ปากจัดแบบหลานหลิงอ๋อง ก่อนจะถอดหน้ากากอาจไปล่วงเกินอีกหลายคน คุณปกป้องตัวเองให้ดีจะยิ่งเน้นย้ำความสูงส่งของคุณ พอถอดหน้ากากแล้ว ก็ถึงคราวที่คุณได้พบจุดเปลี่ยนแล้ว”
พบจุดเปลี่ยน?
ใบหน้าของจ้าวอิ๋งเก้อแดงก่ำ
ผู้จัดการเห็นภาพนี้ผ่านกระจกมองหลัง เส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบๆ
จู่ๆ คุณก็หน้าแดงขึ้นมา จินตนาการไปถึงไหนแล้วเนี่ย
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องขับรถ[1]นะ!”
“คุณก็ขับรถอยู่ไม่ใช่หรือไง…”
“ถ้ายังโวยวายอีกก็ลงจากรถเลยค่ะ!”
“ก็ได้!”
บทสนทนาไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ โชคดีที่ทั้งสองมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกต่อไป
……
แน่นอนว่าหลินเยวียนไม่รู้ว่าตนถูกคนสงสัยซะแล้ว
หลังจากบันทึกเทปรายการตอนที่สาม เขาให้กู้ตงไปส่งยังกองถ่ายภาพยนตร์ทันที
ทางนี้กำลังถ่ายทำภาพยนตร์อยู่
เมื่อถึงกองถ่าย และเอ่ยทักทายกับทีมงาน หลินเยวียนจึงนั่งลงและเฝ้าสังเกตการณ์
ขณะนั้นเจี่ยนอี้กำลังห้อยตัวจากสลิงลงมาท่ามกลางกรีนสกรีน
ความสูงขนาดนี้พานให้หลินเยวียนรู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง
“ฮู้ว”
ฉากห้อยตัวจบลง เจี่ยนอี้มานั่งลงข้างหลินเยวียน กระดกดื่มน้ำดังอึกๆๆ
“โคตรน่ากลัว”
“ก่อนหน้านี้นายกลัวความสูงใช่ไหม?”
“ตอนนี้ก็ยังกลัวอยู่ แต่พอขึ้นสลิงบ่อยครั้งเข้าก็โอเคแล้ว” เจี่ยนอี้เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
หลินเยวียนพยักหน้า
นักแสดงมักทุ่มเทเพิ่มความยากในการถ่ายทำ
“มือนายเจ็บ?”
ในตอนนั้นหลินเยวียนสังเกตเห็นรอยแผลมากมายบนมือของเจี่ยนอี้
“ไหวอยู่”
เจี่ยนอี้ไม่ใส่ใจ
หลินเยวียนอยากพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
เจี่ยนอี้กลับหัวเราะ
นักแสดงก็แบบนี้แหละ อาการบาดเจ็บระหว่างถ่ายทำเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เจี่ยนอี้คงแบกรับความกดดันมหาศาล
เขาเป็นนักแสดงหน้าใหม่ ได้มาเป็นพระเอกในภาพยนตร์ ส่วนนักแสดงสมทบล้วนเป็นนักแสดงเบอร์ต้นๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าหากเจี่ยนอี้ไม่ทุ่มเทสักหน่อย จะตกเป็นที่ติฉินนินทาของคนอื่นได้
แต่เรื่องนี้จะต่างออกไปถ้าหากเจี่ยนอี้ไม่มีเซี่ยนอวี๋คอยหนุนหลัง
ต่อหน้าไม่มีใครกล้านินทาเจี่ยนอี้หรอก แต่ลับหลังอาจนำไปเป็นประเด็นสนทนา เพราะฉะนั้นเจี่ยนอี้จำเป็นต้องพยายามอย่างหนัก กล้าต่อสู้กล้าทุ่มสุดตัว ไม่อย่างนั้นเพื่อนรักจะพลอยได้รับผลกระทบตามไปด้วย
“จริงสิ วันนี้นายเห็นแช็ตในกลุ่มหรือยัง?”
เจี่ยนอี้เองก็กลัวว่าหลินเยวียนจะพูดถึงการถ่ายทำภาพยนตร์ของตน เขาไม่คิดจะสาธยายความทุกข์ของตนให้เพื่อนรักฟังหรอก
ถ้าคุณมอบโอกาสเป็นนักแสดงนำให้กับนักแสดงหน้าใหม่คนอื่นๆ ต่อให้ยากลำบากแค่ไหน ทุกคนล้วนยินดีแบกรับ
หลินเยวียนส่ายหน้า “ยังเลย”
“งั้นฉันจะบอกนายแล้วกัน ซย่าฝานกำลังจะเข้าร่วมราชาหน้ากากนักร้อง แต่อาจต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะได้อัดรายการ”
“หน้ากากอะไร?”
“ถามแล้วแต่ซย่าฝานไม่ยอมบอก นายลองถามดูสิ”
“ไม่ถามอะ”
ไม่พูดแปลว่าไม่อยากพูด ก็เหมือนกับเขา รอถอดหน้ากากแล้วค่อยคุยกันเรื่องนี้
แต่ว่า…
อย่างน้อยก็ตัดความเป็นไปได้ที่ซย่าฝานจะมาเป็นนักร้องเสริมในสัปดาห์ที่สี่ออกไปได้
เห็นทีคงจะอยู่คนละทีมกัน
บางทีในการแข่งขันหลังจากนี้ ตนอาจต้องเผชิญหน้ากับซย่าฝาน?
หลินเยวียนคิดเช่นนี้
เขาไม่คิดจะออมมือเพียงเพราะคู่ต่อสู้คือซย่าฝาน
ตั้งแต่เด็กจนโต เขา ซย่าฝาน และเจี่ยนอี้เล่นเกมกันบ่อยครั้ง
ขอแค่ชนะ ระหว่างทั้งสามไม่มีคำว่าอ่อนข้อ
หากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ โดยปกติแล้วการแข่งขันมาเป็นที่หนึ่ง มิตรภาพเป็นที่สอง
ผ่านไปสักพัก
เจี่ยนอี้ก็กลับไปถ่ายภาพยนตร์ต่อ
เนื่องจากเป็นภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ รูปแบบจึงเรียบง่าย ดังนั้นหลินเยวียนไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น
หืม?
หลินเยวียนไถโทรศัพท์ไปเห็นโพสต์หนึ่ง
จ้าวอิ๋งเก้อ ‘ดูราชาหน้ากากนักร้องแล้ว คำวิจารณ์ของหลานหลิงอ๋องฉันก็ได้ยินแล้ว ในฐานะนักร้องควรกล้ายอมรับคำวิจารณ์จากโลกภายนอก ฉันจะพยายามต่อไปค่ะ (กำหมัด) (สู้ๆ )!’
หลินเยวียนยิ้ม
เขาพูดตรงไปตรงมาในรายการ เพราะหวังว่านักร้องจะรับรู้ข้อบกพร่องของพวกเขาและพัฒนาต่อไป
ตอนนี้เห็นทีสิ่งที่เขาพูดไปนั้นคุ้มค่า
ในที่สุดก็มีคนรับฟัง
ทัศนคติทางดนตรีเช่นนี้ของจ้าวอิ๋งเก้อไม่เลวเลย
ในขณะนั้น
คอมเมนต์มากมายปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาของหลินเยวียน
‘หลานหลิงอ๋องเบาได้ก็เบาเถอะ ดูสิว่าอิ๋งเก้อของพวกเราใจกว้างขนาดไหน!’
‘อิ๋งเก้อไม่ได้สนใจคำวิจารณ์ของคุณก็เพราะเธอใจกว้างมากพอ คุณเองก็ควรใจกว้างกับคนอื่นบ้าง’
‘ฝีมือของหลานหลิงอ๋องยังต่างชั้นกับอิ๋งเก้อของพวกเราอยู่อีกไกล’
‘อิ๋งเก้อของพวกเรายิ่งใหญ่มาก หลานหลิงอ๋องยังฝีมือไม่ถึงขั้น แหะๆ แน่ใจเหรอว่าอิ๋งเก้อไม่ใช่ปลาปักเป้า’
‘หลานหลิงอ๋องอย่าได้ถอดหน้ากากเชียว ถอดหน้ากากเมื่อไหร่โดนแฟนคลับหลายด้อมรุมหยุมหัวแน่’
‘…’
หลินเยวียนเกาศีรษะ
ทว่าจ้าวอิ๋งเก้อกำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เมื่อเห็นคอมเมนต์เหล่านี้ ก็ขยำเรือนผมซึ่งค่อนข้างหนาของตน
“พวกคุณจะขุดหลุมฝังฉันให้ได้เลยใช่ไหม!”
เธอสวมนามแฝงทันใด พูดกับแฟนคลับของตนด้วยความรักและความยุติธรรม ที่ผ่านมาเธอไม่เคยคิดว่าจะสนทนากับแฟนคลับด้วยสถานะเช่นนี้
‘อย่าว่าหลานหลิงอ๋องแบบนั้นเลย’
‘หลานหลิงอ๋องแค่แสดงทัศนะของตัวเอง’
‘หลานหลิงอ๋องก็เก่งจะตายไป!’
‘บางทีหลานหลิงอ๋องอาจรู้จักอิ๋งเก้อก็ได้นะ’
‘หลานหลิงอ๋องพูดแบบนี้ก็เพื่อตัวอิ๋งเก้อเอง’
‘ตัวจ้าวอิ๋งเก้อก็ยอมรับคำวิจารณ์แล้ว เห็นได้ชัดว่าเธอรู้สึกขอบคุณที่หลานหลิงอ๋องพูดแบบนี้’
‘…’
มีแฟนคลับบางคนของจ้าวอิ๋งเก้อทนไม่ไหว เอ่ยตอบโต้จ้าวอิ๋งเก้อ
‘คุณโพสต์ซะเยอะขนาดนี้ ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นแฟนคลับของหลานหลิงอ๋อง คุณจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับจ้าวอิ๋งเก้อ คุณรู้จักอิ๋งเก้อดีเท่าพวกเราหรือเปล่า เธอทั้งสวยทั้งจิตใจดี แค่ไม่อยากทำให้หลานหลิงอ๋องดูแย่ไปกว่านี้ก็เท่านั้นเอง!’
ฉันไม่รู้จักจ้าวอิ๋งเก้อ?
จ้าวอิ๋งเก้อปวดตับจริงๆ
นี่เป็นคำชมที่ชวนทรมานใจมากที่สุดนับตั้งแต่เธอลืมตาดูโลกเลยละ
……………………………………………….
[1] ขับรถ เป็นการเล่นมุกจากคำแสลง ในที่นี้สื่อถึงเรื่องทะลึ่งหรือสองแง่สองง่าม