คนจากเมืองเซวียนหยวนรู้สึกเสียหน้าเพราะแม้กระทั่งเด็กก็ยังตั้งคำถามกับความสามารถของเขา
ความรู้สึกนั้นยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อทุกคนหันไปจ้องมองเซวียนปิงด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสงสัย
ใบหน้าของเซวียนปิงแดงก่ำ ก่อนที่เขาจะสะบัดแขน และปกป้องตัวเองว่า ”ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพลังของเขาอยู่ต่ำกว่ามาตรฐาน เขาไม่สามารถควบคุมยันต์ผ้าเหลืองได้ จึงทำให้ยมทูตตอบสนองต่างไปจากปกติ!”
แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ จากเมืองหวงจื่อกลับปฏิเสธที่จะยอมรับในคำแก้ตัวนั้น ชายสองคนจากในจำนวนนั้นยืนขึ้นคัดค้าน ”ท่านว่าอะไรนะ”
เด็กหนุ่มเหล่านั้นเป็นคนหุนหันพลันแล่นและมีความมั่นใจในตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ที่พวกเขาพยายามปกป้องความภาคภูมิใจของเมืองตัวเอง
ทูตหวังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยับยั้งไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เขาเอ่ยขึ้นเสียงอู้อี้ว่า ”อย่าเพิ่งบุ่มบ่าม ตอนนี้เราเป็นพันธมิตรกับเมืองเซวียนหยวนอยู่”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทั้งสองกำหมัดแน่น ก่อนจะสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างไม่พอใจ
เซวียนปิงไม่ได้พูดอะไรอีก
อย่างไรก็มีคนตายไปจริงๆ
บรรยากาศภายในท้องพระโรงไม่ได้มีชีวิตชีวาเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป
ในไม่ช้าก็ถึงตาของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากอีกเมืองทำพิธีอัญเชิญยมทูต
ดูจากสีหน้าของเขาแล้ว มันก็เห็นได้ชัดว่าเขาหวาดกลัวเพียงใด ใบหน้าของเขาซีดจนกลายเป็นสีขาว บนหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ดูเหมือนเขาจะยังไม่หายตกใจจากเหตุการณ์อันน่าสยดสยองเมื่อครู่นี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่นี้เขาก็เป็นคนที่ยืนอยู่ใกล้กับมู่ไป๋มากที่สุด และได้เห็นภาพเหตุการณ์นั้นชัดเจนยิ่งกว่าใคร
ทันทีที่ยมทูตปรากฏตัวขึ้น สายลมเย็นยะเยือกและความทรงจำอันไม่น่าอภิรมย์ก็พลันกลืนกินร่างเขา
เขาหวนนึกถึงตอนที่ตัวเองทำร้ายพี่ชายตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งกระบี่ขับไล่วิญญาณของผู้เป็นอาจารย์
ในเวลานั้น เขาคิดว่าพี่ชายของเขาฟื้นคืนชีพ…
“ไม่ ข้าทำไม่ได้ พิธีนี้น่ากลัวเกินไป! ข้าทำไม่ได้หรอก!” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากเมืองข้างเคียงเริ่มตะโกนออกมา
ผู้อาวุโสซวีอู๋เหลือบมองเขา แล้วเอ่ยว่า ”ถ้าเจ้าประกาศยอมแพ้ เจ้าจะแพ้ในการประลองทันที เจ้าคิดดีแล้วหรือยัง เมืองของเจ้ามีคนที่จะสามารถลงแข่งแทนเจ้าได้หรือเปล่า”
ทุกคนยังคงเงียบ พวกเขาสบตากัน แล้วจึงส่ายหน้าในที่สุด
สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้น่ากลัวเกินไป
ถ้าเป็นยมทูตตนเดียว พวกเขาก็ยังพอที่จะรับมือได้ แต่การต่อกรกับยมทูตสองตนในเวลาเดียวกันย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“เช่นนั้น เราจะข้ามไปที่ผู้เข้าประลองคนถัดไป เซวียนปิง!” ผู้อาวุโสซวีอู๋มองไปที่กลางท้องพระโรงแล้วเอ่ยอย่างมีเลศนัยว่า ”ถึงเวลาแสดงฝีมือของเจ้าให้พวกเขาเห็นแล้ว ไม่อย่างนั้นคนบางคนอาจยังหลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกจริงๆ”
ทันทีที่สิ้นคำสั่งของผู้อาวุโสซวีอู๋ เซวียนปิงก็ก้าวออกไปข้างหน้า เขาเหยียดยิ้มก่อนชำเลืองมองเฮ่อเหลียนเวยเวย ”ผู้อาวุโสซวีอู๋พูดถูก คนบางประเภทก็ไม่รู้จักคิดและรู้จักแต่การใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น หากข้ายังเอาแต่เงียบอยู่เช่นนี้ เห็นทีทุกคนคงได้ทำเหมือนกับว่าข้าเป็นตัวตลก ก่อนหน้านี้พี่มู่ไป๋อัญเชิญยมทูตออกมาสองตน แต่เขาก็ยังไม่สามารถควบคุมพวกเขาได้ ตอนนี้ข้าจะอัญเชิญยมทูตสี่ตนออกมาให้ดู แล้วเราจะได้เห็นว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายถูก!”
“อะไรนะ เขาคิดที่จะอัญเชิญยมทูตออกมาสี่ตนหรือ เรื่องเช่นนั้นเป็นไปได้ด้วยหรือ” บรรดาเสนาบดีต่างตกตะลึงกับคำพูดของเขา พวกเขาเริ่มพูดคุยกันในหมู่ตัวเอง
การอัญเชิญยมทูตเป็นหนึ่งในทักษะที่ยากที่สุดในศาสตร์แห่งการขับไล่วิญญาณร้าย ทุกคนต่างประหลาดใจเมื่อรู้ว่าชายผู้นี้สามารถอัญเชิญยมทูตได้ถึงสี่ตน!
“เขาเบื่อชีวิตแล้วหรือ” อู่จิ้งพูด เขายังไม่ลืมว่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ชื่อมู่ไป๋ตายได้อย่างไร เขาสิ้นใจหลังจากเรียกยมทูตออกมาสองตน และไม่สามารถปราบทั้งสองลงได้ และสุดท้ายเขาก็ถูกยมทูตทั้งสองฆ่าตาย แต่ตอนนี้เซวียนปิงกลับบอกว่าเขาจะอัญเชิญยมทูตออกมาสี่ตน!
ผู้อาวุโสซวีอู๋ขมวดคิ้ว ”เจ้ามั่นใจหรือ เซวียนปิง”
“อันที่จริงข้าสามารถอัญเชิญยมทูตได้ห้าตนขอรับ องค์รัชทายาทเป็นผู้ฝึกฝนข้าด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้ข้าเพียงแค่ต้องการเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ที่มีฝีมือด้อยกว่าได้มีโอกาสชนะ แต่ดูเหมือนว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ความยโสโอหังของพวกเขายิ่งเพิ่มพูน” เซวียนปิงบอกพลางเหลือบมองเฮ่อเหลียนเวยเวย ความจริงคาถาที่เขาร่ายไปก่อนหน้านี้ควรที่จะพุ่งเป้าไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย เขาตั้งใจให้มันทำงานในสายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย และส่งยมทูตสองตนนั้นออกมาตอนที่นางไม่ทันตั้งตัว แต่เขานึกไม่ถึงเลยว่าคาถาของเขาจะทำงานก่อนเวลา เขาไม่รู้ว่ามันผิดพลาดได้อย่างไร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับว่าแปลกประหลาดทีเดียว
แต่อย่างไรมันก็ไม่สำคัญ
ผู้ชนะคือราชา!
และผู้ชนะในการประลองนี้ก็คือเขาแต่เพียงผู้เดียว!
เซวียนปิงตื่นจากภวังค์ความคิด เขาละสายตาออกจากเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยท่าทางจองหองอวดดี
สายตาของผู้ชมที่ยังอยู่ในความตกตะลึงล้วนแต่จับจ้องอยู่ที่ร่างของเซวียนปิง
ชิงหลงที่ซ่อนตัวอยู่ในอากาศอ่านใจของเซวียนปิง ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะเหยียดหยามออกมา ”ผู้ชายคนนี้รนหาที่ตายจริงๆ”
“เป็นเช่นนั้นไม่ผิดแน่” กิเลนอัคคียืนอยู่ข้างชิงหลง นอกจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้วก็ไม่มีมนุษย์คนอื่นที่สามารถมองเห็นพวกมันได้ ”เขาพยายามทำพิธีขับไล่วิญญาณร้ายต่อหน้านายท่านหรือ มนุษย์ยังคงโง่เขลาเหมือนเดิมจริงๆ นายท่าน ท่านคิดจะปล่อยยมทูตออกไปกี่ตนหรือขอรับ ชิงหลงกับข้ายินดีที่จะหลีกทางให้พวกเขาขอรับ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกถ้วยกระเบื้องในมือขึ้น เขาเอียงศีรษะพลางเล่นกับถ้วยใบนั้น จากนั้นจึงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”ใจดีกับเขาหน่อยก็แล้วกัน เขาขอยมทูตสี่ตนมิใช่หรือ เช่นนั้นเราก็จะให้ยมทูตทั้งสี่ตนกับเขา”
กิเลนอัคคีกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ มันสงสัยว่าตัวเองได้ยินที่ผู้เป็นนายพูดผิดไปหรือเปล่า นายท่านใจดีถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
จากนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงเสริมว่า ”จัดยมทูตฝีมือดีที่สุดไปให้เขา”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น กิเลนอัคคีก็ถึงกับพูดไม่ออก
มันเข้าใจผู้เป็นนายผิดไปถนัด
ยมทูตฝีมือดีที่สุดของพวกเขาแข็งแกร่งกว่ายมทูตธรรมดาสองตนรวมกันเสียอีก
เมื่อนำมารวมกัน ย่อมหมายความว่าความน่าสะพรึงกลัวของพวกเขาจะเท่ากับยมทูตธรรมดาๆ ถึงแปดตน!
“นายท่าน ท่านไม่ได้ใจดีกับพวกเขาเลยขอรับ ท่านกำลังพยายามที่จะหั่นพวกเขาให้เป็นชิ้นๆ ต่างหาก” กิเลนอัคคีกระซิบเสียงเบา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน ”เจ้าไม่เห็นด้วยกับความคิดของข้าหรือ”
“หาใช่เช่นนั้นไม่ขอรับ ท่านเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ ท่านย่อมสามารถทำได้ในทุกสิ่งที่ใจปรารถนาขอรับ” กิเลนอัคคีย่อเข่าข้างหนึ่งแล้วค้อมศีรษะลง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้มองมัน แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเขากลับกำลังส่งกระแสจิตคุยกับเฮ่อเหลียนเวยเวย ‘เจ้าควรอยู่ในห่างจากเขาตอนที่เขาอัญเชิญยมทูตออกมา’
’หืม’ ผ่านไปครู่หนึ่งเฮ่อเหลียนเวยเวยถึงตอบเขา นางคุ้นเคยกับการได้ยินน้ำเสียงชั่วร้ายของหยวนหมิง ดังนั้นการปรับตัวให้ชินกับน้ำเสียงสง่างามแบบใหม่นี้จึงต้องใช้เวลาสักพัก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอียงศีรษะเข้าหามือข้างหนึ่งของตัวเองพร้อมกับอธิบายต่ออย่างเกียจคร้านว่า ‘อย่าโดนเลือด มันสกปรก’
คนฉลาดอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมเข้าใจคำพูดของเขาได้ทันที นางรู้ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ‘ยมทูตสองตนเมื่อครู่นี้ดูหน้าตาเครียดกว่าปกติ นั่นก็เป็นเพราะท่านหรือ’
‘ใช่’ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมยราวกับไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว ‘พวกมันกลัวข้า’
น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ มันฟังดูสง่างามและสุภาพดังเช่นทุกครา
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุก นางพยายามนึกภาพปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้ามหากพวกเขาได้ยินคำพูดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้า
คนคนนั้นพยายามอย่างสุดกำลังที่จะอัญเชิญยมทูตมาจากยมโลก
แต่ความพยายามของมือสมัครเล่นเหล่านั้นกลับดูจะไม่สามารถทำให้องค์ชายเกิดความสนใจได้เลยแม้แต่นิดเดียว…
นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่น!
ไม่ใช่แค่เพิ่มศัตรูให้นาง แต่เขายังลงมาสู้บอสกับนางด้วย เขาเป็นผู้รอบรู้กระทั่งในเกม
เป็นอีกครั้งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าตัวเองช่างฉลาดจริงๆ ที่ตามตื๊อไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แม้ว่าก่อนหน้านั้นนางจะเพียงแค่หลงใหลในรูปลักษณ์ของเขาก็ตาม…
“จากนี้ข้าอยากลงมือด้วยตัวเอง ไม่ต้องพยายามช่วยข้า” เฮ่อเหลียนเวยเวยสงสัยว่านางจะสามารถอัญเชิญอะไรด้วยตัวเองได้หรือเปล่า นางอัญเชิญเทพพิทักษ์ผืนดินออกมาได้สำเร็จแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นย่อมมีความเป็นไปได้ที่หลังจากนี้นางจะสามารถอัญเชิญหนุ่มรูปงามออกมาได้สักคนเหมือนกัน!
ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองนั้น นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะหวานๆ แต่เย็นชาดังขึ้น ”หนุ่มรูปงามหรือ”