แต่สุดท้ายตอนที่สัมผัสได้ถึงอารมณ์เย็นชาของซูชี ก็หยุดปากเอาไว้
นางไม่ใช่คนโง่ ย่อมรู้ว่าตอนนี้ซูชีไม่อยากกล่าววาจาใด ในเมื่อเขาไม่ยินยอมที่จะสนทนา เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่ทำให้คนรังเกียจ แล้วหุบปากเสียเถอะ
ไม่ว่าจะไปที่ไหน สุดท้ายก็ต้องมีผลลัพธ์ แม้ว่านางจะอยากรู้หนักมาก แต่กลับทำได้แค่อดกลั้นเอาไว้
นอกรถม้าหิมะตกแล้ว ปลิดปลิวลอยละล่อง ทั่วโลกล้วนเต็มไปด้วยสีขาวโพลน
ตอนซูซูอยู่ที่เมืองหลวงก็เคยเห็นหิมะ แต่กลับไม่เคยประสบกับตนเอง ทุกครั้งที่หิมะตก นางต้องการวิ่งออกไปเล่น แต่ล้วนถูกสาวใช้ข้างกายกับเหล่าหมัวมัวเกลี้ยกล่อมให้กลับมา โดยที่ข้ออ้างก็แค่กลัวว่าจะเป็นหวัด
แต่ตอนนี้นางสามารถยื่นมือออกไปจากในห้องโดยสารได้อย่างมีอิสระ เพื่อสัมผัสกับเกล็ดหิมะโดยไม่มีระยะห่าง
“ดีจริงๆ…”
เดิมซูชีกำลังงีบอยู่ ตอนที่ได้ยินน้ำเสียงพึมพำแฝงไปด้วยความพึงพอใจ ระคนรู้จักพอของซูซู ก็ลืมตาขึ้นมา
สิ่งที่ปรากฏในสายตา ก็คือใบหน้าด้านข้างที่สมบูรณ์ไร้ข้อบกพร่องของซูซู
ความจริงแล้ว ซูชีจำเป็นต้องยอมรับว่า ซูซูรูปโฉมงดงามจริงๆ เป็นสตรีที่งามล่มเมืองประเภทนั้น แต่กลับไม่เคยเสแสร้งแกล้งทำ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจจากผู้คนของนาง ไม่เคยเป็นดวงหน้ารูปไข่ แต่เป็นนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาของนาง
หากว่าเอ่ยถึงในแง่ของสหายเพียงอย่างเดียว ซูชียอมรับว่า คนประเภทซูซูเหมาะสมที่จะคบเป็นเพื่อนตายได้! แต่หากเจือปนไปด้วยความรู้สึกอื่นๆ กลับทำให้คนรับไม่ได้ตลอด!
คนอื่นคิดเช่นไร ซูชีไม่เคยรู้ แต่สำหรับเขาแล้ว กลับเป็นสิ่งที่รับไม่ได้มากที่สุด!
เพราะกูเสี่ยวซูควรค่าที่จะได้รับการดูแลจากคนที่ดีกว่านี้ คู่ควรที่จะได้ครอบครองความรักที่งดงามไปตลอดชีวิต ไม่ใช่ขาดแหว่งไม่สมบูรณ์!
และเขา ซูชี ชั่วชีวิตนี้อาจจะถูกกำหนดแล้วว่า ความรู้สึกจะขาดแหว่งไม่สมบูรณ์ไปตลอดกาล เพราะเขามอบความรักแรกสุดให้กับมั่วเชียนเสวี่ยไปแล้ว
แม้ว่า…จะไม่เคยได้รับการตอบสนองใดๆ
ความจริงแล้ว การที่เขาเลือกออกจากโรงเตี๊ยมมายังสถานที่แห่งนี้ในครั้งนี้ เพราะเกิดความสงสารในตอนที่เห็นแววตาคิดถึงบ้านที่กูเสี่ยวซูเผยออกมา…
ในใจเขาเข้าใจดีมากว่า ไม่สามารถใจอ่อนกับกูเสี่ยวซูได้แม้แต่น้อย! เพราะหากเจ้าทำดีกับนางส่วนหนึ่ง นางก็จะคืนมันให้เจ้าสิบส่วน!
ไม่เพียงแค่นาง กระทั่งตนเอง ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ
แต่บางเรื่อง คิดแล้วเข้าใจมากอย่างไร สุดท้ายกลับล้วนไม่อาจหยุดยั้งคำสั่งจากสมองในเสี้ยววินาทีนั้นได้
“คุณชาย ถึงแล้วขอรับ”
ตอนที่กำลังคิดจนเหม่อลอย เสียงของอาจ้าวก็ดังขึ้นนอกรถม้า และในเวลาเดียวกันนั้น รถม้าก็จอดนิ่ง
ซูชีมองซูซูนิ่งๆ แวบหนึ่ง และลงจากรถม้าก่อน
เมื่อเห็นบ้านที่ทรุดโทรมเล็กน้อยตรงหน้า หัวใจของซูชีก็เจ็บปวดขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้
มั่วเชียนเสวี่ย…มั่วเชียนเสวี่ย
สามคำนี้ แม้ว่าจะครุ่นคิดในใจก็ล้วนรู้สึกได้ถึงความทุกข์ใจที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้
ซูซูที่ลงมาหลังซูชีสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อน สิ่งแรกสุดที่ดึงดูดสายตานางไม่ใช่บ้านหลังนี้ แต่เป็นหิมะสีขาวโพลนตรงหน้า
คนที่เติบโตในเมืองหลวงตั้งแต่วัยเยาว์เช่นนาง แม้ว่าจะเคยเห็นหิมะ แต่กลับไม่เคยเห็นหิมะขาวสะอาดมากมายขนาดนี้!
ในเมืองหลวง เพียงแค่หิมะตก หลังจากเช้าวันรุ่งขึ้นล้วนถูกเหล่าชาวบ้านเก็บกวาดจนสะอาด จวนจิ่งอ๋องย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังนั้นนางจึงไม่เคยเห็นหิมะมากมายขนาดนี้
ซูชีไม่สนใจซูซู ก้าวเท้านำไปก่อน เขาผลักประตูรั้วให้เปิดออก แล้วเดินเข้าไป
ความจริงเขาเพียงแค่เกิดความคิดจะมาที่นี่โดยไม่ได้วางแผนเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ทำความสะอาดเลยสักนิด!
อีกอย่างพริบตาเดียวก็ผ่านไปปีหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ด้านในจะเป็นอย่างไรบ้าง
หากต้องการถามว่าที่นี่คือที่ไหน
ย่อมต้องเป็น…บ้านของหนิงเซ่าชิงกับมั่วเชียนเสวี่ยในตอนแรก
ที่นี่คือหมู่บ้านหวังจยา ที่นี่เคยเป็นสถานที่ที่มั่วเชียนเสวี่ยเคยต่อสู้มาก่อน
หลังจากซูซูเพลิดเพลินกับทัศนียภาพหิมะด้านนอกเสร็จแล้ว ก็หันมามองหาซูชี แต่กลับเห็นซูชียืนโดดเดี่ยวอยู่หน้าบ้านที่ทรุดโทรมหลังหนึ่ง ทั่วร่างเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
แผ่นหลังเดียวดาย กระท่อมฟางแห้งอันเงียบเหงา รั้วบ้านซึ่งล้อมลานบ้านเอาไว้ ดูแล้วไม่เข้ากับซูชีคนผู้นี้เลยสักนิด แต่เขายืนอยู่ตรงนั้นในตอนนี้กลับรู้สึกได้ถึงการผสานและกลมกลืนอย่างน่าประหลาด
“อาจ้าว นี่คือที่ไหนหรือ” ซูซูหันหน้าไปตามอาจ้าวที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูโดยไม่ได้ตามเข้าไป
ความจริงแล้ว นางอยากจะถามว่าที่นี่มีความหมายอันใดกับซูชีมากกว่า
อาจ้าวมองท่านหญิงซูซูอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าไปมองซูชี แล้วก้มหน้า ตอบความจริงไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ที่นี่เคยเป็นบ้านของคุณหนูใหญ่มั่วกับหัวหน้าตระกูลหนิงขอรับ”
บ้าน?
ช่างเป็นคำที่งดงามและอบอุ่นจริงๆ
ซูซูหันหน้าไปมองซูชี
ในที่สุดก็รู้ว่าทำไมตัวเขาถึงได้เต็มไปด้วยกลิ่นอายความเศร้าเสียใจที่วนเวียนไปทั่วร่าง ที่แท้…
หัวใจขมเฝื่อน แต่กลับทำได้แค่แสร้งฝืนยิ้มมีความสุข!
“ซูชี! เจ้ารอข้าด้วย!”
นางจัดการอารมณ์ตนเองอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับมีความสุขมาก ขณะห้อตะบึงไปหาเงาร่างที่อยู่ในลานบ้าน
บนพื้นหิมะที่เดิมมีรอยเท้าแถวหนึ่ง ได้กลายเป็นสองแถวหลังจากนั้น…
ซูชีจำได้ตลอดว่า ซูซูเคยบอกว่า นางอยากเตรียมฉลองปีใหม่ด้วยตนเอง เช่นนั้นตอนนี้เขาก็จะให้โอกาสนางครั้งหนึ่ง ให้นางได้สัมผัสกับจิตใจที่วุ่นวายของชาวบ้านทั่วไปในช่วงฉลองปีใหม่
เมื่อออกจากหมู่บ้านหวังจยา ซูชีได้ยืมบ้านที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวจากครอบครัวชาวนาในหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านหวังจยา แล้วเตรียมฉลองปีใหม่ที่นี่
บ้านหลังนี้ไม่มีคนอาศัยนานมากแล้ว ทั้งสี่คนใช่เวลาเกือบทั้งวันถึงจะจัดการทำความสะอาดทั้งในและนอกตัวบ้านให้เรียบร้อยได้ ภายในตัวบ้านก็อบอุ่นจนคนสามารถอาศัยอยู่ได้แล้ว
สุดท้ายซูซูเหนื่อยจนทรุดตัวลงบนเตียง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมลุกขึ้นมา
“กูเสี่ยวซู เจ้าลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้! ผ้าห่มผืนนั้นชื้นเกินไป นอนอยู่บนนั้นจะป่วยได้ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่า บาดแผลบนตัวเจ้ายังไม่หายสนิท”
เสียงที่เจือไปด้วยโทสะบางๆ ของซูชีดังขึ้นเหนือศีรษะในเวลาเดียวกับที่ซูซูเอนตัวลงบนเตียง!
สตรีนางนี้ดูแลตนเองไม่เป็นเลยสักนิดเดียว นางลืมบาดแผลที่แผ่นหลังของตนเองไปแล้วหรือ แม้ว่าตอนนี้ดูแล้วจะไม่ได้เป็นอะไรมาก ทั้งยังเหมือนคนปกติอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กลับยังคงต้องระวังมากอยู่ดี!
ตอนที่ซูซูได้ยินวาจาที่เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นห่วง แต่น้ำเสียงกลับรุนแรง มุมปากก็โค้งขึ้นเล็กน้อย
นางรู้อยู่แล้วว่า ซูชีไม่ได้ไร้ความรู้สึกกับตนเองเลยสักนิด!
แต่นางเหนื่อยเกินไปแล้วจริงๆ!
หลายปีมานี้ไม่เคยได้ทำอะไรมากมายขนาดนี้ แม้ว่าตอนแรกจะเข้าสู่สนามรบสังหารศัตรูกับซูชี ก็ไม่เคยเหนื่อยแบบนี้
ทว่าแม้ว่าจะเหนื่อย แต่กลับรู้สึกว่าแข็งแกร่งขึ้น