“การอัญเชิญยมทูตย่อมเป็นเรื่องเสี่ยง หากพระชายาสามไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นก็ให้คนอื่นมาทำแทนนางดีกว่าไหม มิฉะนั้นนางอาจจะบาดเจ็บเอาได้” ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์เอ่ยขึ้น นางแสร้งทำเป็นหวังดี แต่ในความเป็นจริงนั้นวาทศิลป์ของนางมีแต่ยิ่งทำให้ขุนนางอาวุโสทั้งสองจากจักรวรรดิจ้านหลงเสื่อมศรัทธาในตัวเฮ่อเหลียนเวยเวย
ยิ่งเวลาผ่านไป คนส่วนใหญ่ก็เริ่มสงสัย กังวล ไม่พอใจ และดูถูกเฮ่อเหลียนเวยเวยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ไม่มีใครเชื่อแม้แต่คนเดียวว่านางจะสามารถทำได้สำเร็จ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย นางยืนอย่างเกียจคร้านอยู่กลางเขตอาคม เสื้อคลุมขนสัตว์ที่อยู่บนไหล่ของนางปลิวไสวไปตามสายลมอย่างสง่างามขณะอยู่ในท้องพระโรง นางดูผ่อนคลายแม้จะไม่มียันต์ผ้าเหลืองอยู่ในมือ นางยังคงยืนนิ่งด้วยท่าทางไม่สนใจไยดีสิ่งรอบข้าง
“นางย่อมไม่มีทางอัญเชิญยมทูตออกมาด้วยท่าทางเช่นนั้นได้” เซวียนปิงเยาะเย้ย ”นางต้องเป็นมือใหม่ไม่ผิดแน่ นางคิดว่าการขับไล่วิญญาณร้ายเป็นเรื่องเด็กเล่นหรือไร”
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ถอนหายใจก่อนเสนอขึ้นว่า ”พระชายาสามเป็นคนชอบแข่งขันมาแต่ไหนแต่ไร นางมุ่งมั่นที่จะเอาชนะแม้ว่าสิ่งที่เราแข่งกันจะไม่ใช่สิ่งที่นางถนัดก็ตาม”
ในเวลานี้ ขุนนางของจักรวรรดิจ้านหลงต่างตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง แม้พวกเขาจะไม่เคยคาดหวังว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะเป็นผู้ชนะในการประลองนี้ก็ตาม
แต่พวกเขาก็ไม่อยากให้เมืองของตัวเองต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบเช่นกัน
แต่ดูจากท่าทางของพระชายาแล้ว ไม่น่าจะมียมทูตโผล่ออกมาได้แม้แต่ตนเดียว
แต่สายลมสีดำที่พัดเข้ามาจากนอกท้องพระโรงกลับทำให้พวกเขาสะดุ้งโหยง สายลมนั้นสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว และปกคลุมไปทั่วห้องราวกับหมอก
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำมือข้างหนึ่งแน่น จากนั้นนางก็ควบคุมพลังวิญญาณของตัวเองให้ไหลไปที่ฝ่ามือ!
“เถ้าสู่เถ้า ธุลีสู่ธุลี สดับรับคำข้า จงออกมาเดี๋ยวนี้!”
พลังงานที่มองไม่เห็นลอยขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็วทันทีที่สิ้นสุดคาถานั้น และส่งให้เสื้อคลุมของเฮ่อเหลียนเวยเวยและผมสีดำยาวของนางเริงระบำอยู่ท่ามกลางสายลมอย่างสง่างาม เวลานี้นางดูเท่และมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง
ฝูงชนเบิกตากว้างเมื่อเห็นเหตุการณ์เหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นตรงหน้า อากาศโดยรอบไม่ใช่เพียงแค่เย็น แต่ในเวลานี้อุณหภูมิกลับเย็นยะเยือกจนเริ่มมีน้ำแข็งเกาะตามมุมกำแพง
ทุกสายตากลับไปจับจ้องอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้ง ที่ด้านหน้าของนางมียมทูตสิบตนสวมเสื้อคลุมสีดำยืนก้มหน้าอยู่ แม้จะมองไม่เห็นใบหน้า แต่ยมทูตพวกนั้นก็ดูให้ความเคารพเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างมาก!
ไม่ใช่แค่บรรดาเสนาบดี แต่กระทั่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนก็ยังตกตะลึงกับภาพนี้ พวกเขาตกใจจนตัวแข็ง ดวงตาสั่นไหวอย่างรุนแรงไม่อาจตั้งสมาธิได้
“สิบหรือ นางอัญเชิญยมทูตมาได้ถึงสิบตนจริงๆ หรือ”
“นางทำได้อย่างไร ในมือนางไม่มียันต์ผ้าเหลืองอยู่เลยมิใช่หรือ”
“ทุกคนดูยมทูตพวกนั้นสิ พวก… พวกเขากำลังทำอะไรอยู่น่ะ”
เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ”พวกเขากำลังทำความเคารพนาง! พวกเขากำลังทำความเคารพพระชายา!”
“เป็นไปไม่ได้!” ปฏิกิริยาแรกของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากเมืองหวงจื่อคือการปฏิเสธ เขาไม่ได้มีอคติกับเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่เป็นที่รู้กันว่ายมทูตจะยอมก้มหัวให้แค่กับผู้ขับไล่วิญญาณร้ายระดับสูงเท่านั้น! ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้!
“นี่มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ เริ่มแสดงความคิดเห็น แต่อย่างไรพวกเขาก็ประหลาดใจกับผลงานของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างมาก นางทำได้อย่างไร
หลิวอวี้และอู่จิ้งอ้าปากค้างกับภาพที่เห็น แต่ไม่นานนักความตกใจของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความยินดีอย่างยากที่จะอธิบายได้ ”พวกเราชนะแล้ว! พวกเราชนะการประลองแล้ว! ยมทูตสิบตน! พระชายาอัญเชิญยมทูตออกมาได้ถึงสิบตนเชียวนะ!”
“ยมทูตสี่ตนก่อนหน้านี้ดูกระจอกไปเลย! เจ้าดูพระชายาของพวกเราสิ! นางอัญเชิญยมทูตออกมาได้ตั้งสิบตน! พวกเจ้าทำได้หรือเปล่า” อู่จิ้งไม่ถูกชะตากับคนจากเมืองเซวียนหยวนมานานแล้ว เพราะพวกเขามักใช้อำนาจของตัวเองเอาเปรียบคนอื่นอยู่เสมอ เจออย่างนี้ก็สมควรแล้ว!
สีหน้าของเซวียนปิงเปลี่ยนไปทันทีที่ยมทูตสิบตนนั้นปรากฏตัวขึ้น สีหน้าเปี่ยมด้วยความมั่นใจที่เขาเคยมีถูกแทนที่ด้วยสีหน้าเครียดขึง ริมฝีปากของเขาซีดเผือด
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ขยำผ้าเช็ดหน้าสีขาวของตัวเองแน่นเมื่อนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของตัวเองขึ้นมาได้
แม้กระทั่งซงเจิ้งเหวินเหรินก็ยังนึกไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะสามารถอัญเชิญยมทูตออกมาได้ถึงสิบตน!
แต่ถึงแม้เรื่องจะมาถึงขั้นนี้แล้ว ผู้อาวุโสซวีอู๋ก็ยังไม่พร้อมยอมรับความพ่ายแพ้ของตนเอง ”ใต้เท้าอู่ พระชายาสามยังไม่ได้ส่งยมทูตกลับ ดังนั้นจึงยังเร็วเกินไปกว่าที่เราจะสามารถสรุปผลการประลองได้ รอดูบทสรุปของเรื่องนี้กันก่อนเถิด นี่ก็ผ่านมาครู่หนึ่งแล้ว และยมทูตก็ยังอยู่ ข้าว่าพระชายาสามคงไม่ได้สบายใจไร้กังวลเหมือนอย่างที่เราเห็นหรอกกระมัง”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสซวีอู๋ หัวใจของเด็กหนุ่มก็หล่นวูบ ”ยิ่งยมทูตอยู่ในโลกมนุษย์นานเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ข้ากลัวก็แต่ว่าพระชายาจะไม่สามารถส่งยมทูตจำนวนมากมายถึงเพียงนี้กลับสู่เส้นทางแห่งหยินหยางพร้อมกันได้”
ทฤษฎีนี้อาจฟังดูไม่คุ้นหูสำหรับคนทั่วไป แต่มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ทุกคนพร้อมใจกันก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งเมื่อตระหนักได้ว่ายังไม่มียมทูตตนไหนถูกส่งตัวกลับไป
เมื่อคิดว่าตัวเองคาดการณ์ได้ถูกต้อง ผู้อาวุโสซวีอู๋จึงยกมือขึ้นลูบเคราสีขาวของตนพร้อมกับถอนหายใจยาวออกมา ”องค์หญิงพูดถูกพ่ะย่ะค่ะ พระชายาสามเป็นคนชอบแข่งขันมาแต่ไหนแต่ไรจริงๆ หากนางไม่สามารถส่งยมทูตเหล่านี้กลับไปได้ทันเวลา ต่อให้องค์รัชทายาทกับข้าร่วมมือกันก็ใช่ว่าจะสามารถช่วยนางจากยมทูตหลายตนเช่นนี้ได้”
“นางคงไม่มีพลังวิญญาณมากพอที่จะส่งยมทูตสิบตนกลับได้” ซงเจิ้งเหวินเหรินกล่าวเสริมอย่างเย็นชา
น้ำเสียงมั่นใจของเขาสร้างความกังวลให้กับผู้คนของจักรวรรดิจ้านหลง
หากยมทูตไม่สามารถกลับไปได้ทันเวลา พระชายาสามจะต้องตกอยู่ในอันตราย!
แต่เวลานี้ ภาพที่ไม่เคยมีมาก่อนก็พลันปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคนอีกครั้ง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยพึมพำคำพูดออกมาสองสามคำ แต่เสียงนั้นเบาเสียจนจับใจความไม่ได้ ทันใดนั้นยมทูตหกตนในเขตอาคมก็ถูกส่งตัวกลับไป ทิ้งให้อีกสี่ตนยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอกนั้น
จากนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงเดินนำยมทูตทั้งสี่ตนเข้าไปหาผู้แทนจากเมืองเซวียนหยวน ความมืดที่เคลื่อนตามหลังนางมาดูเหมือนพร้อมที่จะกลืนกินได้ทุกสิ่ง
“ท่านจะทำอะไร” ผู้อาวุโสซวีอู๋ผู้มีวาทศิลป์หยุดนางไว้พร้อมกับจ้องนางเขม็ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบด้วยน้ำเสียงลึกล้ำและน่าสะพรึงกลัวว่า ”ผู้อาวุโสซวีอู๋ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน ข้าแนะนำให้ท่านหลีกทางไปเสียดีกว่า”
“พระชายาสาม ท่านพายมทูตมาด้วยถึงสี่ตน ท่านคิดจะเจรจากับเมืองเซวียนหยวนของพวกเราในลักษณะนี้จริงๆ หรือ” ผู้อาวุโสซวีอู๋คิดจะใช้วิธีแบบเดียวกันกับที่เขาใช้เพื่อรับมือกับคนอื่นๆ ในราชสำนักกับนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเยาะ ”ข้าไม่ได้สนใจที่จะเข้าไปยุ่งกับเรื่องราวภายในของเมืองเซวียนหยวนแต่ประการใด แต่ก่อนหน้านี้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายของท่านล้มเหลวในการอัญเชิญยมทูต และเลือกที่จะโยนความผิดนั้นให้กับสุนัขล่าเนื้อ แต่บังเอิญว่ายมทูตทั้งสี่ก็อยู่ที่นี่พอดี ดังนั้นเวลานี้พวกเราจึงควรปล่อยให้พวกเขาได้สะสางในสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จเสีย” ทันทีที่พูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เหลือบมองเซวียนปิง ก่อนจะสั่งว่า ”ท่านพาเขาไปได้แล้ว”
ผู้ชมตกตะลึงเมื่อตระหนักได้ว่ายมทูตทั้งสี่ยอมทำตามคำสั่งของเฮ่อเหลียนเวยเวย ในเวลาเดียวกันนั้น ความสนใจของพวกเขาก็พลันพุ่งตรงไปที่เซวียนปิง
ผู้อาวุโสซวีอู๋ยกแขนขึ้นขวางทางนาง ”พระชายาสาม ขออย่าได้ล้ำเส้นพ่ะย่ะค่ะ! เซวียนปิงไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมท่านถึงงสั่งให้ยมทูตพาตัวเขาไปหรือ ท่านคิดจะฆ่าเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เขาไม่ได้ทำอะไรผิดจริงหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงต่ำว่า ”เสี่ยวเฮย แสดงตัวออกมา”
หมอกก่อตัวขึ้นท่ามกลางความมืดมิด สุนัขล่าเนื้อตัวหนึ่งยืนอยู่ในสายหมอกพร้อมกับจ้องไปที่เซวียนปิง ความเคียดแค้นที่อยู่ในดวงตาของมันทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างรู้สึกหวาดผวาไปตามๆ กัน
เซวียนปิงเองก็เซถลาไปด้านหลังและแทบจะทรุดลงไปบนเก้าอี้ไม้ที่อยู่ข้างหลังนั่นเอง