“ข้าคิดว่าเจ้าคงจำสีหน้าของเสี่ยวเฮยก่อนที่มันจะตายได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูด นางก้าวเข้าไปหาเขาพร้อมกับลูบศีรษะสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นไปด้วย นางชำเลืองมองไปทางเซวียนปิงก่อนจะใช้น้ำเสียงเย็นชาไม่แยแสนั้นเอ่ยต่ออย่างไม่รีบร้อนว่า ”เจ้าหักขาของมัน ก่อนจะเตะมันจนซี่โครงหัก บทสนทนาระหว่างเจ้ากับองค์หญิงซงเจิ้งเมื่อครู่นี้น่าขันเสียไม่มีเพราะเจ้าเอาแต่พูดว่าเจ้าเป็นคนเลี้ยงดูและหาข้าวให้มันกิน เจ้าจดจำความเมตตาอันน้อยนิดทั้งหมดที่เจ้ามีต่อมันได้อย่างชัดเจน แต่เจ้ากลับไม่ได้กล่าวถึงตอนที่เสี่ยวเฮยช่วยเจ้าเอาไว้ตอนที่เจ้าตกลงไปในหุบเขาระหว่างฝึกวิชา ถ้าเสี่ยวเฮยไม่ได้ออกไปขอความช่วยเหลือแทนเจ้า ป่านนี้เจ้าก็คงถูกสุนัขหมาป่าจับกินไปนานแล้ว แต่เจ้าไม่เพียงแค่ฆ่าเสี่ยวเฮย มิหนำซ้ำกลับยังขโมยแก่นวิญญาณของมันไปด้วย คนจิตใจหยาบช้าอย่างเจ้ากลับยังมีหน้ามาเรียกเสี่ยวเฮยว่าอกตัญญู ข้าล่ะนับถือในความหน้าด้านของเจ้าจริงๆ”
ความลับที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งเปิดเผยออกมาอาจจะน่าตกใจเกินไป จึงทำให้คนอื่นๆ รวมถึงผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากเมืองเซวียนหยวนหันไปมองเซวียนปิงอย่างระมัดระวัง พวกเขากำลังพยายามมองหาพิรุธจากสีหน้าของอีกฝ่าย
เซวียนปิงคำรามเสียงดัง ”อย่าได้พยายามใส่ร้ายกระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ! ตอนที่สุนัขล่าเนื้อตัวนั้นปรากฏตัวขึ้นขัดขวางการอัญเชิญของกระหม่อมอย่างกะทันหัน กระหม่อมก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นฝีมือของท่าน! เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าท่านเป็นคนปล่อยมันออกมา!”
“เจ้ารู้ดีกว่าใครว่าเสี่ยวเฮยมาปรากฏตัวที่นี่ทำไม” เฮ่อเหลียนเวยเวยกดสายตามองเขาจากตำแหน่งที่สูงกว่าพร้อมกับเอ่ยต่อ ”เจ้าก็ดีแต่หาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง หากจะว่ากันตามจริงแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเฮย ป่านนี้เจ้าก็คงได้ถูกยมทูตพวกนี้พาตัวไปนานแล้ว”
นิ้วของเซวียนปิงสั่นระริก เขาพยายามปฏิเสธข้อกล่าวหานั้น ”ท่านไม่มีสิทธิ์ใส่ร้ายกระหม่อมเช่นนี้เพียงเพราะท่านเป็นพระชายาสามนะพ่ะย่ะค่ะ! ท่านไม่มีหลักฐานพิสูจน์สิ่งที่ตัวเองกล่าวออกมาด้วยซ้ำ!”
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์เห็นด้วย ”พระชายาสาม พวกเราทุกคนต่างก็รู้ว่าเซวียนปิงดีกับสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นเพียงใด เขาไม่เคยทำร้ายสุนัขของตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว คำพูดของท่านล้วนแต่เหลวไหลทั้งเพ!”
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ พระชายาสาม ท่านจะแต่งเรื่องขึ้นเพียงเพราะต้องการชนะการประลองนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” ผู้อาวุโสซวีอู๋เอ่ยสมทบเป็นลูกคู่แม้ว่าอันที่จริงเขาจะเริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วก็ตาม หากเป็นในสถานการณ์ปกติ สัตว์ตัวนั้นควรจะมุ่งหน้าไปยังยมโลกเพื่อเกิดใหม่ แต่วิญญาณของสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นกลับยังอยู่แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีถึงเพียงนี้ ไม่ใช่แค่นั้น แต่วิญญาณของมันกลับยังเต็มไปด้วยความเคียดแค้นอันรุนแรงอีกด้วย คนคนเดียวที่สามารถทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ย่อมมีแต่เพียงผู้เป็นนายโดยชอบธรรมของมันเท่านั้น
แต่ต่อให้มันจะเป็นเรื่องจริง สุนัขล่าเนื้อก็พูดไม่ได้ ดังนั้นย่อมไม่มีสิ่งใดที่จะกลายเป็นหลักฐานมัดตัวเขาได้!
เซวียนปิงคิดเช่นเดียวกันกับผู้อาวุโสซวีอู๋ เขาคิดว่าตราบใดที่ไม่มีหลักฐาน คนสอดรู้สอดเห็นอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมจนปัญญาที่จะจัดการกับเขา
สุนัขล่าเนื้อรู้ว่าเซวียนปิงกำลังคิดอะไรอยู่ มันหอนขึ้นก่อนจะแยกเขี้ยวใส่เขา ขนบนหลังของมันชี้ขึ้น ดวงตาสีแดงเลือดของมันดูน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง!
ถ้าเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้วางมือลงบนศีรษะของมัน มันก็คงพุ่งเข้าขย้ำเซวียนปิงและกัดเขาตายไปแล้ว!
“ใจเย็นๆ เสี่ยวเฮย ถ้าเจ้าฆ่าเขาตอนนี้ เจ้าจะไม่สามารถเรียกคืนความยุติธรรมกลับมาได้ ในเมื่อเขาถามหาหลักฐาน เช่นนั้นเราก็แสดงให้เขาดูดีไหม” เฮ่อเหลียนเวยเวยหันไปบอกกับยมทูตที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า ”เล่าสิ่งที่เจ้ารู้ให้พวกเขาฟัง”
เมื่อได้ยินเฮ่อเหลียนเวยเวยออกคำสั่งกับยมทูต บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็ยืนขึ้นทันที ”นางพยายามจะทำให้ยมทูตพูดหรือ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ยมทูตมาที่โลกมนุษย์เพียงเพื่อเก็บวิญญาณ พวกเขาจะไม่มีวันปริปากหากไม่ได้รับคำสั่งโดยตรงจากราชาแห่งนรกมิใช่หรือ” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิตของพวกเขา!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนหนึ่งพึมพำกับตัวเองว่า ”ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้… มันจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อ… คนคนนั้นได้บำเพ็ญเพียรมาหลายร้อยปีแล้วเท่านั้น แต่พระชายาสาม…”
“เดี๋ยวก่อน พวกเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะพูดได้หรือเปล่า!” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต่างพากันกลั้นหายใจขณะตั้งตารอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
แต่พวกเขาไม่รู้ว่าตราบใดที่องค์ชายอยู่ที่นี่ การทำให้ยมทูตยอมอ้าปากย่อมเป็นเรื่องง่ายเหมือนปลอกกล้วย
ต่อให้พวกเขาถูกสั่งให้เต้นท่าผีดิบ พวกเขาก็ยินดีที่จะชูมือขึ้นฟ้าและเต้นตามเพียงเพื่อเอาใจชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้น!
ยมทูตทั้งสี่ที่อยู่ข้างหลังเฮ่อเหลียนเวยเวยขยับตัวอย่างเชื่องช้า ตลอดเวลานั้นสีหน้าของพวกเขาล้วนแต่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แต่ก็แน่ล่ะ เพราะอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนที่ตายไปแล้ว ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยออกคำสั่ง พวกเขาก็หันหน้าไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโดยอัตโนมัติ
ความจริงแล้วคนที่อัญเชิญพวกเขาออกมาคือเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่พวกเขาต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้เห็นอสูรรับใช้ของนาง!
นั่น… นั่นมัน… ผู้ชายคนนั้นคือราชาปีศาจมิใช่หรือ!
ไม่ผิดแน่ เขาคือราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น!
เครื่องหน้าหล่อเหลาที่อยู่บนใบหน้าด้านข้างของเขายังคงสมบูรณ์แบบไร้ที่ติราวประติมากรรมน้ำแข็ง เขานั่งตัวตรง สายตาของเขาราวกับสามารถมองเห็นโลกมนุษย์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และยังดูเกลียดชังเผ่าพันธุ์มนุษย์ยิ่งนัก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรายตามองพวกเขาอย่างไม่แยแส
เพียงแค่นั้นพวกเขาก็ได้รับข้อความของอีกฝ่าย และรู้ว่าสิ่งใดที่พวกเขาควรทำ!
พวกเขาควรเชื่อฟังคำพูดนั้นแต่โดยดี!
บัดซบ ทำไมไม่มีใครบอกพวกเขาเลยว่าราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ยังมีชีวิตอยู่
ราชาแห่งนรกรู้เรื่องนี้หรือเปล่า
สมัยก่อน ราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้กับราชาแห่งนรกมักจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง!
ทุกครั้งที่ราชาแห่งนรกพ่ายแพ้ เขาจะไม่พอใจอย่างมาก และจะอารมณ์เสียอยู่อย่างนั้นไปหลายวัน เขาไม่เคยพอใจกับวิญญาณที่ยมทูตพากลับไป และยืนกรานว่าพวกเขาจะต้องนำวิญญาณของราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้มาให้ได้!
พวกเขาเป็นกลุ่มยมทูตที่อายุมากที่สุดในยมโลก ถึงพวกเขาจะทำอะไรไม่ได้มาก แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนโง่! พวกเขาไม่โง่พอที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ สุดท้ายพวกเขาจึงส่งยมทูตรุ่นเยาว์ไปหาราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่และใช้ยมทูตรุ่นเยาว์เหล่านั้นเป็นเบี้ยของตัวเอง แต่ก็เป็นอย่างที่พวกเขาคาดเอาไว้ ไม่มีใครได้กลับมาแม้แต่คนเดียว!
พวกเขาฉลาดหลักแหลมเกินไป!
ในตอนแรกนั้น เหล่ายมทูตไม่ได้คิดจริงจังกับการอัญเชิญในครั้งนี้ พวกเขาเพียงแค่ประหลาดใจที่มีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่สามารถอัญเชิญยมทูตที่อายุมากที่สุดอย่างเขาออกมาได้ แต่ทันทีที่พวกเขามาถึงและได้พบกับยมทูตอีกเก้าตน พวกเขาก็ถึงกับตกตะลึง และสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าคนที่ร่ายคาถาอัญเชิญนี้ขึ้นคือใคร
และตอนนี้พวกเขาก็ได้รับคำตอบของคำถามนั้นแล้ว!
ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการก็คือการทำภารกิจที่ราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่มอบหมายให้สำเร็จ แล้วกลับยมโลกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!
โลกมนุษย์อันตรายเกินไป!
อยู่ถิ่นเราย่อมปลอดภัยกว่าเสมอ
พวกเขากลัวจะตายอยู่แล้ว!
มองเพียงผิวเผินพวกเขาอาจจะดูสุขุมเยือกเย็น แต่ความจริงแล้วในหัวของพวกเขาคิดอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ ได้โปรดไว้ชีวิตของพวกเขาด้วยเถิด!
“ดูเหมือนยมทูตคงจะไม่อยากพูด เจ้าดูสีหน้าเย็นชาและบึ้งตึงนั่นสิ” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเริ่มคาดคะเน
ยมทูตทั้งสี่ตนเริ่มใจเสีย
อย่าพูดจาเหลวไหล!
พวกเขาเกิดมาหน้าตาดูเย็นชาโดยธรรมชาติอยู่แล้ว และพวกเขาก็ตอบสนองช้ามาตั้งแต่เกิด!
“ทำไมเจ้ายังไม่พูดอีกล่ะ พวกเจ้าต้องรอให้ข้าถีบก่อนหรือ หือ” น้ำเสียงอันแจ่มชัดนั้นดังเข้ามาในกระแสจิตของพวกเขา
ยมทูตทั้งสี่ตนเริ่มเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่เร็วกว่าปกติของตัวเองเป็นสองเท่า ในไม่ช้ากลิ่นอายแห่งความมืดมิดก็กระจายไปทั่วอากาศ ทันทีที่ริมฝีปากของหนึ่งในยมทูตเหล่านั้นเผยอขึ้น อุณหภูมิภายในท้องพระโรงก็ลดฮวบลงอีกครั้ง
อากาศหนาวจัดนั้นเป็นผลมาจากน้ำเสียงเย็นยะเยือกไร้ซึ่งอารมณ์ของเขา
ฝูงชนต่างตกอกตกใจกับบรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างน่าขนลุก จากนั้นพวกเขาก็รู้สึกเหมือนกับได้ยินเสียงแห่งความน่ากลัวนั้นพูดขึ้นว่า
“เซวียนปิง เกิดปีเจ็ดสอง เข้าร่วมกับลัทธิเต๋าตอนอายุได้ห้าขวบ ตอนอายุเจ็ดขวบ เข้าทำร้ายศิษย์ร่วมสำนักคนหนึ่งเพื่อให้ได้เป็นศิษย์ของอาจารย์ตน อายุสิบขวบ เขาพยายามทำพิธีขับไล่วิญญาณร้ายแต่ความขี้ขลาดของเขาเกือบทำให้ผู้เป็นอาจารย์ต้องตาย อายุสิบสาม เกือบถึงอายุขัย แต่ได้สุนัขล่าเนื้อตัวหนึ่งช่วยชีวิตเอาไว้…”