“เขาพาสุนัขล่าเนื้อกลับมาด้วยเพราะสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณในร่างของมัน แต่การฝึกของเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคืบหน้าแม้จะเลี้ยงมันมาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว เขาจึงคิดว่าสุนัขล่าเนื้อไม่ได้ช่วยอะไรเขามากนัก และรู้สึกเหมือนตัวเองเก็บขยะมาเลี้ยง เมื่อใดที่เขาควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เขามักจะมาลงกับสุนัขล่าเนื้อ การทรมานนี้สิ้นสุดลงเมื่อสุนัขล่าเนื้อก็ทนการทารุณกรรมของเขาไม่ไหวและสิ้นใจตายในที่สุด”
ฝูงชนหันไปจ้องเซวียนปิงหลังจากยมทูตตนนั้นพูดจบ
จิตใจเหี้ยมโหดนัก! เขาทรมานสุนัขล่าเนื้อที่เคยช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้จนถึงตายได้อย่างไร
เซวียนปิงตื่นตระหนก ”ไม่ ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด อย่าหลงเชื่อคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยเชียว ข้าแค่พลั้งมือฆ่าสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นตายเพราะมันพยายามกัดข้าทั้งที่ข้าทำดีกับมันทุกอย่างต่างหาก ข้าเสียใจกับการตายของมันอยู่นาน ศิษย์พี่และศิษย์น้องของข้าสามารถเป็นพยานได้!”
“แม้กระทั่งกระต่ายก็ยังกัดได้เมื่อจนตรอก แล้วนับประสาอะไรกับสุนัขล่าเนื้อที่ถูกทรมานอยู่ทุกวันเล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเย็นชาพร้อมกับเอ่ยต่อ ”คำพูดเหล่านั้นเป็นของยมทูต ไม่ใช่ข้า ตัวเจ้าก็เป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ดังนั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่ายมทูตรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์ และเจ้าก็น่าจะรู้ดีว่ายมทูตไม่พูดโกหก พวกเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ดียิ่งกว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้าเสียอีก”
“พระชายาสามพูดถูก ยมทูตไม่มีวันหลงกลผู้ใด” แม้พวกเขาจะไม่ใช่คนของจักรวรรดิจ้านหลง แต่พวกเขาก็เป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ดังนั้นจึงยังมีสติรู้ผิดชอบชั่วดีอยู่ในตัว ”เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ศิษย์พี่เซวียนปิง ท่านยอมรับความผิดของตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป มันจะต้องกลายเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขึ้นมาแน่”
เซวียนปิงเซถอยหลังเพราะเขาหมดคำแก้ตัว เม็ดเหงื่อซึมชื้นขึ้นบนหน้าผากของเขาขณะมองไปทางผู้อาวุโสซวีอู๋และซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์อย่างมีความหวัง
เช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ ผู้อาวุโสซวีอู่เองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่ายมทูตจะเปิดปากพูดเรื่องนี้ออกมา
ผู้อาวุโสซวีอู๋รู้ว่าทุกคนกำลังตัดสินพวกเขาอยู่ และยังเข้าใจดีอีกด้วยว่าสถานการณ์อยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขาแล้ว
ใบหน้าของซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ขาวซีดราวกับกระดาษ ท่าทางหยิ่งผยองที่นางเคยมีหายไปจนหมดสิ้น
หลังจากไตร่ตรองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดูอีกครั้ง เซวียนปิงก็นึกอยากหนีออกไปจากที่นี่ยิ่งนัก
แต่ตอนที่เขากำลังจะเดินออกไปนั้น จู่ๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เข้ามาขวางทางเขาเอาไว้เสียก่อน ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่นางจะพูดขึ้นว่า ”เซวียนปิง ยมทูตยังพูดไม่จบ เจ้าไม่อยากฟังเรื่องราวทั้งหมดหรือ การได้ฟังยมทูตแจกแจงเหตุการณ์ในชีวิตให้ฟังด้วยตัวเองเช่นนี้นับว่าเป็นโอกาสอันหาได้ยากยิ่งเลยมิใช่หรือ”
ราวกับตอบรับคำสั่งของเฮ่อเหลียนเวยเวย เสียงอันราบเรียบราวกับคนตายก็ดังขึ้นจากยมทูตตนหนึ่ง ”เซวียนปิงก่อกรรมทำชั่วไว้มากขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ชีวิตของเขาก็มาพบจุดจบหลังจากถูกสุนัขล่าเนื้อกัดตายเมื่ออายุยี่สิบห้าปี และจะได้เกิดใหม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน”
“ข้าพบจุดจบหลังจากถูกสุนัขล่าเนื้อกัดหรือ” เซวียนปิงตัวสั่นหลังจากได้ยินประโยคนั้น เขาหันไปมองสุนัขล่าเนื้อที่ยืนอยู่ข้างเฮ่อเหลียนเวยเวย ทันทีที่เขามองเข้าไปในดวงตาอันน่าขนลุกของสุนัขล่าเนื้อตัวนั้น เขาก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดแสน ความกลัวนั้นถึงกับทำให้เสียงหายใจของเขาผิดไปจากปกติ
เฮ่อเหลียนเวยเวยลดสายตาลงมองเขา ก่อนจะกล่าวว่า ”ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว บาปกรรมเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดนัก เสี่ยวเฮย ไปเถอะ ถึงเวลาที่เจ้าจะได้แก้แค้นให้ตัวเองแล้ว”
สุนัขเป็นสัตว์ที่มีความจงรักภักดีที่สุด
ก่อนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะออกคำสั่ง สุนัขล่าเนื้อตัวนั้นก็ทำเพียงแค่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างนาง แม้มันจะมีความเกลียดชังอันรุงแรงให้กับเซวียนปิง แต่มันก็ไม่ได้ทำร้ายเขา
ตอนนี้เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยอนุญาตแล้ว มันจึงปลดปล่อยความอาฆาตเคียดแค้นที่ข่มกลั้นมาอย่างยาวนานออกมา เงาสีดำพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระโจนเข้าใส่เซวียนปิงอย่างไร้ความปรานี!
เสียงกระดูกหักดังกร๊อบเสียดแทงเข้าไปในหูของทุกคน!
เซวียนปิงยกแขนขึ้นเพื่อป้องกันตัว แต่สุดท้ายมันก็ถูกสุนัขล่าเนื้อกัดออก กระดูกหักทิ่มเข้าไปในเนื้อและผิวหนังของเขา ก่อนจะทะลุออกมาสัมผัสกับอากาศภายนอกพร้อมกับเลือดที่ไหลนองไปทั่วพื้น
คนที่ยืนอยู่ใกล้เซวียนปิงที่สุดคือซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ องค์หญิงเช่นนางย่อมไม่เคยเห็นภาพอันน่าสยดสยองนี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงอาเจียนออกมาทันที
ใบหน้าของเซวียนปิงบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวดนั้น แต่เขาก็ยังไม่คิดที่จะยอมแพ้ เขาคว้าหัวของสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง มิหนำซ้ำในมือข้างนั้นก็ยังมียันต์ผ้าเหลืองอยู่อีกด้วย!
แต่เขาก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่ายันต์ผ้าเหลืองของเขาไม่สามารถหยุดยั้งสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นได้ ดวงตาของเขาเบิกโพลงด้วยความกลัวขณะที่พื้นดินเริ่มสั่นสะเสือน
“ฝ่า… ฝ่าบาท! ช่วยกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาตะโกนร้องเรียกซงเจิ้งเหวินเหริน
เฮ่อเหลียนเวยเวยก้าวออกมาก่อนซงเจิ้งเหวินเหริน นางยืนอยู่ที่ด้านหน้าของสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นเพื่อปกป้องมัน แล้วเอ่ยอย่างช้าๆ ว่า ”ข้าไม่ได้จะช่วยเสี่ยวเฮยแก้แค้น แต่ถ้าใครกล้าทำร้ายเสี่ยวเฮย พวกมันจะต้องตอบคำถามของข้า เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้ให้ได้ อีกอย่างหนึ่ง ข้าจะขอแนะนำองค์รัชทายาทซงเจิ้งเหวินเหรินไว้อย่างหนึ่งก็แล้วกัน แม้ว่าจักรวรรดิจ้านหลงของเราจะมีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอยู่เพียงแค่ไม่กี่คน แต่ถ้าเป็นการต่อสู้โดยใช้วรยุทธ์ละก็ เมืองเซวียนหยวนย่อมไม่มีวันเทียบชั้นกับพวกเราได้!”
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดจบ เสียงดังกึกก้องก็พลันปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ผู้ฝึกปราณทั้งสิบคนที่อยู่ด้านหลังนางลุกขึ้นยืน ในจำนวนพวกเขา เจ้าเจ็ดเป็นคนที่เด่นที่สุด
เขายืนอยู่บนศีรษะโล้นของเสนาบดีอาวุโสผู้หนึ่ง ไม้สีดำท่อนยาวที่เขามักจะซ่อนเอาไว้ปรากฏขึ้นในมือคู่นั้น เด็กชายดูองอาจน่าเกรงขามอย่างมาก
ในที่สุดช่วงเวลาที่เขาโปรดปรานที่สุดก็มาถึง
ข้านึกแล้วเชียวว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้
ที่นี่มีนายท่านอยู่ทั้งคน
เราจะฝึกการขับไล่วิญญาณร้ายไปทำไมในเมื่อนายท่านของพวกเราเป็นถึงราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่
คนพวกนี้จำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่พวกเขากลับกล้าโอ้อวดฝีมือการขับไล่วิญญาณร้ายของตัวเอง
ผู้ฝึกปราณต่างหากที่เจ๋งกว่าเป็นไหนๆ
พวกเขาได้ถูกอัดจนน่วมแน่!
ฮึ่ม! กล้ามาหาเรื่องพี่สะใภ้สามหรือ พวกเขาคงเบื่อชีวิตกันหมดแล้วกระมัง!
เสนาบดีอาวุโสที่ศีรษะถูกเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเจ้าเจ็ดรู้สึกเจ็บ เขาพร่ำพูดกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่า ”องค์ชายเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดอ่อนโยนด้วย เส้นผม.. เส้นผมของกระหม่อม!”
ผู้อาวุโสซวีอู๋เป็นคนที่ไหวพริบดีที่สุดในหมู่พวกเขา เขารีบคว้าซงเจิ้งเหวินเหรินไว้พร้อมกับกระซิบว่า ”องค์รัชทายาท ถึงเราจะแพ้ยกนี้ก็ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรในยกที่ผ่านมาพวกเราก็เป็นผู้ชนะ การประลองยกนี้จะจบลงด้วยคำว่าเสมอ แต่ถ้าหากท่านยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องสุนัขล่าเนื้อตัวนี้ พวกเราจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ เพราะอย่างไรพวกเขาก็มีคนมากกว่าเรา”
ซงเจิ้งเหวินเหรินชะงักฝีเท้าพร้อมกับกำมือแน่น ”แล้วเซียนปิงล่ะ ถ้าพวกเราไม่ช่วยเขา ชีวิตเขาจะต้องตกอยู่ในอันตราย”
“ฝ่าบาท พวกเราต้องยอมสละเขาเพื่อส่วนรวมพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของผู้อาวุโสซวีอู๋ยิ่งตึงเครียดขณะที่เสริมว่า ”เมื่อพวกเราคว้าชัยชนะมาได้ เราย่อมสามารถแก้แค้นให้กับเซวียนปิงได้ทันที ยกต่อไปเป็นการประลองแบบกลุ่ม และพวกเราจะต้องร่วมมือกันพ่ะย่ะค่ะ พวกเราสามารถอัญเชิญผู้พิพากษาวิญญาณขึ้นมาจากยมโลกได้ นับประสาอะไรกับยมทูตเพียงสิบตน อีกอย่างหนึ่งเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเพียงคนเดียวในจักรวรรดิจ้านหลง แต่คนอื่นนั้นแทบจะเรียกได้ว่าสิ้นหวัง พวกเขาย่อมไม่มีประโยชน์ในการประลองยกต่อไปพ่ะย่ะค่ะ หลังจากการประลองในยกที่สามจบลง เราก็จะสามารถนำกองทัพเข้ามาในเมืองได้ และจะได้รับสิทธิ์ในการคุ้มกันผนึกอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ” นี่เป็นภารกิจที่ผู้เป็นนายมอบหมายให้กับเขา ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด เขาก็จะต้องทำมันให้สำเร็จให้จงได้ แต่จุดประสงค์หลักของเขาไม่ใช่การคุ้มกันผนึก ทว่าคือการเสริมปราณแห่งความเคียดแค้นและทำลายผนึกให้เร็วที่สุด!
แผนการเสริมปราณแห่งความเคียดแค้นถูกพักไว้ชั่วคราวเพราะอาการบาดเจ็บสาหัสของคุณชาย แต่เขาก็ยังไม่สามารถยอมแพ้ได้ ตราบใดที่ผนึกคลาย เขาก็จะได้เป็นเสนาบดีลำดับหนึ่ง ได้รับใช้อยู่ข้างกายคุณชาย และจะได้รับสิทธิ์สูงสุดในการเข้าถึงชีวิตอมตะอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสซวีอู๋เคยได้สัมผัสกับพลังมหัศจรรย์นี้มาแล้ว หากไม่มีพลังที่ว่า เขาในวัยแปดสิบปีนี้ก็คงจะตายไปนานแล้ว คุณชายเป็นคนเสนอโอกาสให้เขาได้รับชีวิตอมตะ ดังนั้นเขาจึงต้องรีบคว้าโอกาสนั้นเอาไว้ และจะต้องเสริมพลังให้กับปราณแห่งความเคียดแค้นเพื่อทำให้แผนการนี้สำเร็จ!