ตอนที่ 673 ผมเข้าใจแล้ว
ตอนที่มาถึงโรงแรม ก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี หลินม่ายจึงเปลี่ยนไปเป็นชุดสำหรับงานเลี้ยงกลางคืน
เธอถอดเครื่องเพชรออกทั้งหมดแล้วใส่เครื่องประดับทองแทน ตามฟางจั๋วหรานไปชนแก้วทีละโต๊ะ
ไป๋เหยียนเป็นคนรับผิดชอบเก็บเครื่องเพชรราคาประเมินค่าไม่ได้นั้นไว้ให้หลินม่าย
หล่อนถือกล่องเครื่องเพชรกล่องเล็ก ๆ ราวกับกำลังถือความลับแห่งชาติเอาไว้ ไม่กล้าปล่อยให้คาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว
หลังจากเวียนดื่มสุราหลายรอบ หลินม่ายก็เปลี่ยนชุดเดรสชุดแล้วชุดเล่า ชุดเดรสแต่ละชุดที่เธอใส่ล้วนน่าตื่นตาตื่นใจ
ทุกครั้งที่ฟางจั๋วหรานพาหลินม่ายไปชนแก้วที่โต๊ะนู้นโต๊ะนี้ ซูอวี้เจี๋ยก็อยากจะเห็นหลินม่ายกับสามีมาที่โต๊ะของพวกเขา แล้วแกล้งทำเป็นคว่ำจานหรือแก้วไวน์ใส่หลินม่ายให้ชุดเดรสของหลินม่ายเปื้อนเปรอะเสียจริงๆ แต่อย่างไรเสีย หล่อนก็ไม่มีความกล้านั้น
ตอนที่หลินม่ายเปลี่ยนเปลี่ยนเป็นชุดเดรสชุดที่ห้าและออกมาพร้อมกับฟางจั๋วหราน สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่ประตูโรงแรม
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานก็หันหน้าไปมองเช่นกัน ก่อนเห็นกู้ม่านซือในชุดแต่งงานสีดำ ค่อย ๆ เยื้องย่างเข้ามา
ฟางจั๋วเยวี่ยร้องตะโกนอยู่ในใจ มารดามันเถอะ ผู้หญิงคนนี้โผล่มาจริง ๆ แล้ว!
พี่ชายของเขาบอกให้เขาคอยจับตาดู บอกว่ากู้ม่านซือจะมาก่อเรื่อง เขายังไม่ค่อยจะเชื่อเลย นึกไม่ถึงว่าหล่อนจะมาจริง ๆ!
ไม่รู้ว่าเพื่อนของเขาที่อยู่สวนเฝ้าระวังอย่างไร คนตัวเป็น ๆ ตัวใหญ่ขนาดนี้ก็ยังไม่เห็น ปล่อยให้กู้ม่านซือหลุดเข้ามาได้
ฟางจั๋วเยวี่ยวางตะเกียบลง รีบเข้าไปขวางกู้ม่านซือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “เธอต้องการอะไร?”
กู้ม่านซือพยายามหลบเขา แต่เขาไม่ยอมปล่อย
หล่อนไปทางซ้าย เขาก็ไปทางซ้าย
หล่อนไปทางขวา เขาก็ตามไปทางขวา ขวางทางหล่อนไว้อย่างเหนียวแน่น
กู้ม่านซือเลิกคิ้วแล้วยิ้ม “นายไม่ต้องตระหนกไป ฉันแค่มางานแต่งพี่ชายของนาย ดื่มสุรางานแต่งสักแก้วแล้วก็จะไป”
ฟางจั๋วหรานเดินเข้ามา พูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ผมไม่ต้อนรับคุณ รีบไปให้พ้น!”
ถึงแม้เฉินเฟิงจะไม่ได้ลุกออกจากที่ เขาก็จดจ่อกับความเป็นไปของสถานการณ์เต็มที่
ตราบใดที่ผู้หญิงคนนี้กล้าก่อเรื่องขึ้นมา เขาก็จะใช้วิธีที่ต่างออกไป ให้เขาเห็นว่าพี่เฉินคนนี้มีอำนาจมากแค่ไหนในย่านนี้
เขารู้สึกโกรธเล็กน้อยที่หลินม่ายไม่ชายตามองเขา เลือกแล้วเลือกอีก ก็ยังไปเลือกผู้ชายที่มีดอกท้อเน่า[1]เยอะแยะขนาดนี้มา
แต่งงานแล้วก็ยังมีดอกท้อเน่ามาสร้างความวุ่นวายให้
กู้ม่านซือไม่สนใจท่าทีของฟางจั๋วหรานแม้แต่น้อย ทำตัวเหมือนอันธพาลคนหนึ่ง “ในเมื่อฉันมาที่นี่ในฐานะแขก คุณกับเจ้าสาวของคุณก็ควรชนแก้วกับฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!”
พูดจบ มือที่ไพล่หลังไว้ตลอดก็เอื้อมออกมาข้างหน้า
มือคู่นั้นถือขวดขวดหนึ่ง ขวดนั้นบรรจุของเหลวที่ไม่รู้จัก
ก่อนที่ทุกคนจะได้ตอบสนอง หล่อนก็เปิดขวดนั้นแล้วโยนไปทางหลินม่ายทันที
ฟางจั๋วหรานหันหลังขวางของเหลวที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรนั่นด้วยแผ่นหลังของเขา ปกป้องหลินม่ายเอาไว้อย่างหนาแน่น
เห็นกู้ม่านซือมาก่อเรื่องดังนี้ ฟางเว่ยกั๋วก็รีบเข้ามาล้อมทันทีโดยไม่ได้พูดอะไร
เห็นแบบนี้แล้ว เขาก็รีบพุ่งเข้ามาเข้าปกป้องฟางจั๋วหราน ท่ามกลางเสียงอุทานของแขกในงาน
ของเหลวพวกนั้นกระเซ็นโดนหลังของเขา กลายเป็นฟองฟอดขึ้นมาทันที
ฟางจั๋วเยวี่ยตื่นตระหนก “น้ำกรด มันเป็นน้ำกรด รีบส่งไปโรงพยาบาลเร็วเข้า!”
ในตอนที่เขากำลังจะไปช่วยฟางเว่ยกั๋ว กู้ม่านซือก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง “ไม่ใช่น้ำกรด โค้กต่างหากล่ะ กลัวล่ะสิ”
ทุกคนรีบร้อนเลิกเสื้อของฟางเว่ยกั๋วขึ้นแล้วมองดู แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ผิวหนังของเขายังอยู่ในสภาพดี
จากนั้นจึงถามว่าเขาเจ็บไหม เขายิ้มแล้วบอกว่าไม่
ฟางจั๋วเยวี่ยยังคงกังวล ดังนั้นเขาจึงเข้าไปดมของเหลวที่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรนั่นดู และพบว่าเป็นโค้กจริง ๆ
สีหน้าของฟางจั๋วหรานอึมครึม เขาหันไปมองกู้ม่านซือด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว “ถึงคุณอยากจะก่อกวน ก็ต้องรู้จักขอบเขต ผมไม่ใช่คนที่จะโอ๋คุณนะ”
กู้ม่านซือยิ้มอย่างผู้ชนะ “คุณอยากจะแต่งงานอย่างสงบ ๆ ไม่ใช่หรือ? ฉันจะไม่ให้คุณสมหวังหรอก! คุณทำให้ชีวิตของฉันอยู่ไม่สู้ตาย ฉันจะตายอยู่ที่งานแต่งของพวกคุณ! ให้คนอื่นเห็นว่าพวกคุณสามีภรรยาสุนัขฆ่าผู้หญิงบริสุทธิ์คนหนึ่งยังไง!”
“อยากตายสินะ งั้นฉันจะช่วยเธอเอง” ทันใดนั้นหลินม่ายก็ก้าวเข้ามา คว้าข้อมือของกู้ม่านซือแล้วลากหล่อนไปยังบันได
เห็น ๆ อยู่ว่าเธอผอมกว่ากู้ม่านซือ แต่เธอกลับแข็งแรงกว่ามาก
เธอลากหล่อนไปถึงชั้นสองในอึดใจเดียว
ฟางจั๋วหรานดึงกู้ม่านซือไปจากมือของเธอ แล้วเอ่ยเบา ๆ “ภรรยา งานหยาบ ๆ พวกนี้ผมทำเอง คุณแค่สั่งผมก็พอ”
แขกที่ตามมาข้างหลังเพื่อเกลี้ยกล่อมหลินม่ายไม่ให้ทำเรื่องโง่ ๆ ต่างตกตะลึงกันหมด
ถึงแม้คุณฟางจั๋วหรานจะอยากเอาอกเอาใจภรรยาแค่ไหน ก็อย่าเลือกวินาทีที่อ่อนไหวแบบนี้ได้ไหม ถ้ามีคนตายขึ้นมาล่ะ?
หลินม่ายสั่ง “ลากหล่อนไปชั้นห้า”
ฟางจั๋วหรานทำตามคำสั่ง ลากกู้ม่านซือขึ้นไปที่ชั้นห้าอย่างรวดเร็ว
จากนั้นหลินม่ายก็บอกให้ฟางจั๋วหรานคืนกู้ม่านซือให้เธอ
เธอลากกู้ม่านซือไปที่หน้าต่างริมระเบียง จากนั้นผลักร่างของหล่อนให้ยื่นออกไปนอกหน้าต่างมากกว่าครึ่งตัว
ขอแค่หลินม่ายไม่จับไว้ให้แน่น ๆ กู้ม่านซือจะต้องพลัดตกลงจากหน้าต่างไปที่พื้นแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ตายก็คางเหลือง
กู้ม่านซือหวาดกลัวจนส่งเสียงกรีดร้อง พลางร้องไห้น้ำตานองหน้า พร่ำอ้อนวอนขอให้หลินม่ายปล่อยหล่อนไป
แขกที่ตามขึ้นบันไดมาข้างหลังและโน้มน้าวหลินม่ายไม่ให้ทำเรื่องโง่ ๆ ล้วนตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
นึกว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่กลัวตายจริง ๆ เสียอีก ที่ไหนได้กลับเป็นคนขี้ขลาด
หลินม่ายพูดเยาะเย้ย “ที่แท้เธอก็ยังกลัวตายนี่เอง คิดจะเอาความตายมาขู่ฉันกับฟางจั๋วหรานให้กลัวสินะ! ถ้าอย่างนั้นฉันจะบอกเธอให้ เธอคิดผิดแล้วล่ะ คิดเหรอว่าถ้าเธอตายไปแล้วพวกเราจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต? ฉันจะบอกเธอให้ ไม่ใช่แค่เราจะไม่รู้สึกผิด แต่เรายังจะมีความสุขที่เธอตายอีกด้วย เพราะหลังจากนั้นคงไม่มีใครมาก่อกวนเรา อีกอย่างอีกสองสามปีผ่านไป พวกเราแม้แต่จำเธอก็ยังจำไม่ได้ เธอยังอยากจะตายอยู่อีกไหม?”
กู้ม่านซือหน้าซีดเผือด ร้องไห้อ้อนวอน “ฉันยอมรับผิดแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะ~”
หลินม่ายเยาะเย้ย “ถ้าฉันปล่อยเธอไปจริง ๆ เธอก็จะตกลงไป สมองของเธอคงกระจายเต็มพื้นแน่”
ได้ยินเธอพูดอย่างนี้ กู้ม่านซือก็หวาดกลัวมากกว่าเดิมแล้ว “ถ้าอย่างนั้นเธอก็ดึงฉันขึ้นไป”
หลินม่ายเลิกคิ้ว “เธอลุกขึ้นมาเองไม่ได้หรอ? ถ้าอย่างนั้นฉันก็เสียหน้าแย่สิ! นอกจากเธอจะสัญญาว่าจะไม่มาก่อกวนพวกเราอีก ฉันถึงจะปล่อยเธอ”
กู้ม่านซือร้องไห้น้ำตาไหลอาบสองแก้ม “ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่มาก่อกวนพวกเธออีก”
หลินม่ายรอจนกระทั่งหล่อนหวาดกลัวแทบตายแล้วจึงดึงตัวหล่อนขึ้นมา และบอกให้หล่อนไปจากที่นี่
กู้ม่านซือรีบเดินโซซัดโซเซออกไปด้วยความอับอาย
ทันทีที่เดินไปถึงล็อบบี้ชั้นแรกของโรงแรม เฉินเฟิงก็ขวางหล่อนเอาไว้
เขาเตือนอย่างเหี้ยมโหด “ให้เวลาเธอสามวันออกไปจากปักกิ่งซะ ไม่เช่นนั้นฉันจะทำให้เธอหายไป!”
ใบหน้าของกู้ม่านซือบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว
เดิมทีหล่อนอยากจะก่อความโกลาหลในงานแต่งของฟางจั๋วหราน ปลดปล่อยความโกรธแค้นของหล่อน
นอกจากจะไม่ได้ปลดปล่อยความโกรธแล้ว ความปลอดภัยของตัวหล่อนกลับถูกคุกคามอย่างร้ายแรง
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะออกจากปักกิ่ง เพื่อความปลอดภัยของหล่อน หล่อนไม่กล้าแม้แต่อยู่ในประเทศนี้ และอยากกลับไปที่อเมริกา
หลังจากขู่กู้ม่านซือให้กลัวแล้ว ทุกอย่างในงานเลี้ยงแต่งงานก็ดำเนินต่อไปอย่างลื่นไหล
หลังจากงานเลี้ยงแต่งงานจบลง ก็เหลือธรรมเนียมอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือเจ้าสาวและเจ้าบ่าวต้องวิ่งกลับบ้านด้วยกัน ใครถึงบ้านก่อนคนนั้นจะได้เป็นคนดูแลรับผิดชอบเรื่องของครอบครัวในอนาคต
เกมนี้ดูเหมือนจะสนุกมาก
หลินม่ายถอดรองเท้าส้นสูงของเธอออกตรงนั้น ทันทีที่สัญญาณดัง เธอก็ถกกระโปรงยาวของเธอขึ้น วิ่งกลับไปที่เรือนสี่ประสานทันทีราวกับลูกศรพุ่งออกจากคันธนู ทำให้แขกเหรื่อหัวเราะอย่างครื้นเครง บอกว่าเจ้าสาวอยากเป็นหัวหน้าครอบครัว
ฟางจั๋วหรานตามไปข้างหลังติด ๆ
ทุกครั้งที่เขาใกล้จะถึงหลินม่าย เขาก็ค่อย ๆ ผ่อนฝีเท้าลง
สุดท้ายหลินม่ายก็กลับไปถึงเรือนสี่ประสานก่อนเขา พร้อมทั้งทำท่าไชโย
งานแต่งครั้งนี้ไม่มีการปลุกห้องเจ้าสาว แขกที่ตามหลินม่ายกับฟางจั๋วหรานมาถึงเรือนสี่ประสาน นั่งลงก็แล้ว มาเยือนก็แล้ว จึงจากไป
หลินม่ายรีบอาบน้ำร้อนทันที รู้สึกสบายไปทั้งตัว
การแต่งงานนี่ลำบากกว่าเป็นกุลีเสียอีก
เธอออกมาจากห้องน้ำ พูดกับฟางจั๋วหรานที่อยู่อีกด้าน “วันนี้ฉันมีความสุขมาก ฉันยังอยากกินข้าวสักสองถ้วยฉลองสักหน่อย ที่รัก คุณอยากฉลองแบบไหน?”
ฟางจั๋วหรานคิดอย่างจริงจัง “ต้องใช้อีกสองชุด”
ถึงแม้หลินม่ายจะเคยแค่แต่งงานในนามในชาติก่อน
แต่ถึงเธอจะไม่เคยกินเนื้อหมู ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นหมูวิ่ง เธอเข้าใจความหมายของคำพูดของฟางจั๋วหรานในทันที
หน้าแดงเรื่อขึ้นมา คนขับรถอาวุโสคนนี้ขับรถเหาะอีกแล้ว
ตอนรับประอาหารเย็น ฟางจั๋วหรานขอให้แม่บ้านที่เพิ่งจ้างได้ไม่นานไปท้ายตรอกสั่งอาหารจานโปรดของหลินม่ายกลับมาเต็มโต๊ะ
หลินม่ายกินข้าวสองถ้วยใหญ่ ๆ อย่างจริงจัง จากนั้นเธอจึงวางตะเกียบลงอย่างพึงพอใจ
ผ่านมาทั้งวันแล้ว เธอยังไม่ได้กินอะไรนอกจากอาหารเช้าเบา ๆ ที่กินตอนตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
ตอนนี้ได้กินจนอิ่มท้อง ช่างดีจริง ๆ
หลังจากรับประทานเสร็จ ฟางจั๋วหรานช่วยแม่บ้านจัดการเก็บจานชาม จากนั้นจึงไปอาบน้ำ
หลังจากอาบน้ำเสร็จและกลับมายังห้องของสามีภรรยาแล้ว ก็เห็นหลินม่ายกำลังซ่อนอะไรบางอย่างด้วยความตื่นตระหนก
เขาเดินเข้ามาแล้วถามขึ้น “คุณซ่อนอะไรไว้ครับ?”
หลินม่ายกระแอมเบา ๆ แกล้งทำเป็นบอกอย่างใจเย็น “ฉันไม่ได้ซ่อนอะไรนะคะ”
“งั้นหรือ?” ฟางจั๋วหรานกักหลินม่ายไว้ใต้อ้อมแขนด้วยมือเดียว จากนั้นพลิกหมอนขึ้นมาเห็น เผยให้เห็นหนังสือ ‘สามสิบหกกระบวนท่าแห่งการร่วมรัก’ เล่มหนึ่งปรากฎตรงหน้าเขา
หลินม่ายยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง ช่างเป็นการฆ่าตัวตายที่อนาถเหลือเกิน
ฟางจั๋วหรานพลิกดูเนื้อหาในหนังสือ แล้วถามด้วยความประหลาดใจ “จะต้องฝึกท่าพวกนี้หรือ?”
หลินม่ายถามอย่างแปลกใจ “ไม่อยากลองหรือคะ?”
ฟางจั๋วหรานลูบหัวเธออย่างง่าย ๆ เพื่อเตรียมลงมือ “ไม่จำเป็นหรอก ผมเข้าใจแล้ว คุณแค่นอนนิ่ง ๆ ก็พอ”
หลินม่ายหน้าแดงก่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขา
………………………………………………………………………………………………………………………….
[1] ดอกท้อเน่า หมายถึงไปแสวงหาหรือพัวพันกับคนที่ไม่เหมาะสม ไม่น่าเชื่อถือ มักใช้ในเชิงความรัก เช่นการมีคนที่ไม่เหมาะสมมาเกาะแกะตามติดทั้งที่ตนเองมีคนรักอยู่แล้ว
สารจากผู้แปล
ยัยแฟนเก่านี่ไม่เข็ดสินะ ต้องเจอวิธีของม่ายจื่อถึงจะเข็ด
เอาแล้ว วิชารักที่แอบร่ำเรียนมาจะได้ถูกงัดออกมาใช้ในคืนแต่งงานไหมนะ
ไหหม่า(海馬)